ณ ประตูเมืองเทียนยง ฮวาเยว่มองเห็นฉินอวี้โม่ เหลยเจี้ยนเชิงและคนอื่น ๆ ที่เดินเข้ามาด้วยกัน
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่รึไม่ ?”
นางพยักศีรษะทักทายทุกคนขณะกวาดสายตามองฉินอวี้โม่และศิษย์ใหม่ของนิกายหมื่นบุปผาด้วยสีหน้าเป็นห่วงและเอ่ยถาม
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และทุกคนพยักศีรษะตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ !”
ฮวาเยว่หันหลังกลับและเดินหน้าออกไปนอกเมือง ทว่าหลังจากออกเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว นางก็หยุดชะงักไปชั่วคราว
“จ้าวนิกายเหลย ข้าจะทำตามที่ให้สัญญาอย่างแน่นอน ขอเพียงอย่าส่งคนของนิกายกระบี่สายฟ้ามาที่นิกายหมื่นบุปผาอีก…เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้”
นางกล่าวย้ำเตือนเหลยเจี้ยนเชิงอย่างเย็นชา
“ไม่ต้องห่วง หลังจากนี้พวกเราจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับนิกายหมื่นบุปผาแน่ !”
เหลยเจี้ยนเชิงไม่ขุ่นเคืองใจทว่ายิ้มให้กับฮวาเยว่และมองดูพวกนางเดินจากไป
เวลานี้ นอกเมืองเทียนยงเต็มไปด้วยคนของสามสำนักและเก้านิกายที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางกลับขุมกำลังของตน เมื่อพบฮวาเยว่และคนอื่น ๆ ทุกคนก็ล้วนพยักศีรษะทักทายก่อนแยกกันไปตามทาง
จากนั้นฮวาเยว่ก็โบกมือเล็กน้อยก่อนที่เรือลำหนึ่งจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าฉินอวี้โม่
“ขึ้นไปเถอะ”
นางกล่าวกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พร้อมโบกมือส่งสัญญาณให้ขึ้นไปบนเรือลำนั้น
ฉินอวี้โม่และทุกคนไม่รอช้าและก้าวขึ้นไปบนเรือก่อนหาที่นั่งลงตามสบาย
ฟิ้ววว !
เรือดังกล่าวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและปรากฏท่ามกลางหมู่เมฆในพริบตา
“ศิษย์น้องอวี้โม่ นี่คืออุปกรณ์มายาที่สามสำนักและเก้านิกายมี พวกมันมีไว้เพื่อการเดินทางและมีพลังป้องกันที่ดีพอสมควร”
เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ และคิดว่าพวกนางคงจะไม่เคยเห็นเรือเหินเวหามาก่อน เหมยเซียงจึงกล่าวแนะนำกับพวกนางอย่างสั้น ๆ
แม้ภายนอกดูเหมือนเรือไม้ธรรมดา ๆ ทว่าแท้จริงแล้วมันทำมาจากไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดพิเศษซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังมายา ตราบใดที่ดูดซับผลึกหัวใจมายาจำนวนหนึ่ง เรือเหินเวหาก็จะออกบินได้และความเร็วสูงสุดของมันก็รวดเร็วยิ่งกว่าอสูรมายาที่รวดเร็วที่สุดในดินแดนถึงหลายเท่าตัว
หลายคนที่อยู่ด้านนอกพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ ในขณะที่ฮวาเยว่เดินเข้าไปในห้องพักของเรือเพื่อพักผ่อน
หลังจากเดินชมรอบ ๆ ครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะให้กับหานโม่ฉือก่อนทั้งสองเข้าไปในห้องพักด้วยกัน
ภายในห้องพัก ฮวาเยว่กำลังนั่งนิ่งและหลับตาขณะบ่มเพาะพลังอย่างเงียบ ๆ เมื่อรับรู้ได้ว่าฉินอวี้โม่เดินเข้ามา นางก็ลืมตาขึ้นทันที
“อวี้โม่ โม่ฉือ เจ้าทั้งสองมีเรื่องอะไรรึ ?”
นางเอ่ยถามออกไปราวกับคาดเดาเดาได้ว่ามีอีกฝ่ายมีธุระสำคัญที่ต้องการจะพูดคุยด้วย
“ท่านผู้คุมกฎ เรามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะสารภาพเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและนั่งลงพร้อมหานโม่ฉือ
“คาดว่าท่านผู้คุมกฎน่าจะเดาได้ว่าเรามีจุดประสงค์บางอย่างในการเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผา ความจริงก็คือ…ฉินเทียนคือบิดาของข้า”
นางกล่าวเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกไปโดยตรง
“ฉินเทียนคือบิดาของเจ้างั้นรึ ?”
ฮวาเยว่ชะงักไปเล็กน้อยทันที แม้คาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ น่าจะมีจุดประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างในการเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผา ทว่านางคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นบุตรสาวของฉินเทียน
หากเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างก็จะอธิบายได้ทันที สาเหตุที่ฉินอวี้โม่ปฏิเสธคำเชิญชวนของทั้งสำนักเมฆาครามและสำนักเบิกภูเขาเพื่อเลือกนิกายหมื่นบุปผาก็เพราะเรื่องมารดาของตน
“ถูกต้องเจ้าค่ะ ข้าต้องการเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาตั้งแต่ต้นก็เพื่อตามหาเบาะแสของมารดา อีกอย่าง…ก่อนหน้านี้ข้าก็พลัดพรากกับบิดามานานพอและไม่ทราบว่าเขาเข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้า ข้าเพิ่งทราบเรื่องนี้หลังจากเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาเพียงเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวโดยไม่ปิดบัง
ฮวาเยว่ก็ไม่นึกสงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะสารภาพความจริงด้วยตัวเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกอีก
“เจ้าไม่กลัวรึว่าเมื่อข้าทราบถึงเรื่องนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาอีก ?”
นางขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ฉินอวี้โม่เปิดเผยความจริงอย่างตรงไปตรงมาและดูราวกับไม่กังวลว่าจะถูกตัดสิทธิ์มิให้เข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาเพราะเรื่องนี้แม้แต่น้อย
“ท่านผู้คุมกฎมิใช่บุคคลเช่นนั้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เชื่อมั่นในตัวของฮวาเยว่อย่างมาก
ฮวาเยว่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและกล่าวต่อ “ในเมื่อข้าให้สัญญากับบิดาของเจ้าไว้แล้วว่าจะช่วยสืบเรื่องมารดาของเจ้า ข้าก็จะรักษาคำพูดอย่างแน่นอน เจ้าไม่จำเป็นต้องนำตนเองไปเสี่ยงถึงที่นั่นหรอก”
ในความเป็นจริง ตลอดสองถึงสามวันที่ผ่านมานี้ นางก็ครุ่นคิดอย่างหนักและเริ่มคล้อยตามวาจาของเหลยเจี้ยนเชิงมากขึ้นเรื่อย ๆ นิกายหมื่นบุปผามิได้เป็นอย่างที่เห็นภายนอกอย่างแท้จริง หากเรื่องของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกเปิดเผย มันจะก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ฉินอวี้โม่จะตกอยู่ในอันตรายและยากที่จะหลบหนีได้พ้น
“บางสิ่งบางอย่างก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้น ข้าซาบซึ้งใจอย่างมากที่ท่านผู้คุมกฎเต็มใจช่วยพวกเรา อย่างไรก็ตาม ข้าไม่อยากทำให้ท่านผู้คุมกฎต้องพลอยเดือดร้อนไปเพราะเรื่องนี้”
สีหน้าจริงใจของฉินอวี้โม่ทำให้ฮวาเยว่รู้สึกจนปัญญาและพึงพอใจในเวลาเดียวกัน แม้จะเคยโกหกปิดบังความจริงก่อนหน้านี้ นางก็เชื่อว่าฉินอวี้โม่และทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่จริงใจและยึดมั่นในความชอบธรรม
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร พวกเจ้าจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ทั่ว ๆ ไปจากเมืองเทียนหยวนและไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับนิกายกระบี่สายฟ้า พวกเจ้าไปที่นิกายหมื่นบุปผาก็เพียงเพื่อพัฒนาพลังความแข็งแกร่งและไม่มีจุดประสงค์ใดแอบแฝง”
ฮวาเยว่แตะมือฉินอวี้โม่เบา ๆ เพื่อแสดงจุดยืนและตั้งใจที่จะปกป้องพวกนางอย่างเต็มที่ “ขอบคุณท่านผู้คุมกฎเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณฮวาเยว่ในทันที ในเมื่ออีกฝ่ายลั่นวาจาแล้ว นางก็รู้สึกโล่งใจได้มาก
“เมื่อไปถึงที่นิกายหมื่นบุปผา เจ้าจะติดตามข้า ข้าไม่ถูกกับผู้คุมกฎฝั่งขวาเท่าใดนักและนางจะพยายามหาเรื่องสร้างปัญหาให้กับเจ้าแน่ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าพยายามอดทนอดกลั้นไว้และอย่าเผยไต๋ออกมาเร็วจนเกินไป ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง !”
นางกล่าวกำชับฉินอวี้โม่ด้วยความหมายที่ชัดเจนนั่นคือพวกนางต้องหลีกเลี่ยงการเปิดเผยคมดาบของตนเองและอย่าทำตัวสะดุดตาจนเกินไปเพื่อมิให้ตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะกำชับกับทุกคนอีกที”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจ
หลังจากพูดคุยกันครู่ใหญ่ นางและหานโม่ฉือก็เดินออกไปจากห้องพัก
เมื่อมองดูแผ่นหลังของทั้งสองที่เดินจากไป ฮวาเยว่ก็ส่ายศีรษะเบา ๆ และหลับตาลงอีกครั้ง ในโลกใบนี้มีผู้ที่จริงใจและยึดมั่นในความชอบธรรมเพียงไม่มากนัก ทว่าตอนนี้ในเมื่อได้พบกับคนที่มีคุณสมบัติเช่นนั้นแล้ว นางก็จะพยายามปกป้องพวกนางอย่างสุดความสามารถและจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาใด…
หลังจากที่ออกไป ฉินอวี้โม่ก็กำชับกับอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ พวกนางก็รับปากว่าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดโดยไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายใด ๆ
หลายวันต่อมา ทุกคนก็ใช้เวลาอยู่บนเรือเหินเวหานานเจ็ดวันจนกระทั่งปรากฏตัวตรงหน้าหุบเขาแห่งหนึ่งในที่สุด
นิกายหมื่นบุปผาตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งทางตะวันออกของดินแดน
บรรยากาศในหุบเขาเสมือนเป็นฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลาและพืชพรรณบุปผานับพันนับหมื่นไม่เคยแห้งเหี่ยวโรยราซึ่งกล่าวได้ว่าตรงกับชื่อของนิกายอย่างแท้จริง
ด้านหน้าของหุบเขาก็มีป้ายหินสูงที่สลักอักษรระบุคำว่า ‘นิกายหมื่นบุปผา’ ไว้อย่างชัดเจน
ทั้งสองข้างทางมีบุรุษหนุ่มมากกว่าสิบคนคอยคุ้มกันอยู่ พวกเขาคือผู้พิทักษ์เฝ้าประตูของนิกายหมื่นบุปผาและเป็นศิษย์นอกของนิกายนั่นเอง
สำหรับบุรุษส่วนใหญ่ ต่อให้เข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผา พวกเขาก็จะเป็นได้เพียงศิษย์นอกที่รับผิดชอบในการคุ้มกันหน้าประตูและจัดการงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งไม่มีความสำคัญเท่าใดนัก
คนเหล่านั้นสังเกตเห็นฮวาเยว่ในทันทีและโค้งคำนับอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นสายตาของพวกเขาก็เลื่อนไปที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้านหลังนางด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ไม่คิดเลยว่าครานี้จะมีบุรุษเข้าร่วมกับนิกายของเราด้วย”
ใครคนหนึ่งอดเอ่ยขึ้นเบา ๆ ไม่ได้ รูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาของฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนทำให้ทุกคนตกตะลึงในขณะที่หานโม่ฉือผู้ซึ่งติดตามมาด้วยก็ทำให้ศิษย์นอกเหล่านี้ประหลาดใจอย่างมาก ต้องกล่าวเลยว่าไม่มีบุรุษคนใดเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผามาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษผู้นั้นก็ยังดูยอดเยี่ยมโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด แล้วเหตุใดเขาจึงเต็มใจเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผาในฐานะศิษย์นอกเช่นนี้ ?
“เฉียนจ้วง นี่คือศิษย์นอกคนใหม่นามว่าหานโม่ฉือ ฝากเจ้าจัดการดูแลเขาด้วย”
ฮวาเยว่ตะโกนเสียงดังก่อนศิษย์ร่างท้วมคนหนึ่งเดินออกมา . .