เฉียนจ้วงคือหนึ่งในศิษย์นอกที่ทรงพลังและมากประสบการณ์ที่สุดในนิกายหมื่นบุปผา และเขาอาศัยอยู่ในนิกายมานานกว่าสิบปีแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยเรียกจากฮวาเยว่ เขาก็รีบเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
เขายิ้มให้กับหานโม่ฉือก่อนกล่าว “ศิษย์น้องโม่ฉือ มากับข้าเถอะ ข้าจะจัดเตรียมที่พักให้เจ้าก่อนและจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับนิกายหมื่นบุปผาของเรา”
แม้ว่ารูปร่างของเขาจะดูอ้วนท้วมเล็กน้อย ทว่าหน้าตาของเขาก็รูปงามพอสมควร เขาดูเป็นคนเรียบง่ายและจริงใจซึ่งน่าจะเข้ากับคนอื่นได้ง่าย
“ข้าขอตัวก่อน”
หานโม่ฉือเขย่ามือฉินอวี้โม่เบา ๆ ด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง ไม่เกิดปัญหาอะไรหรอก เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ข้าจะออกมาหาเจ้า”
ฉินอวี้โม่สวมกอดหานโม่ฉืออย่างอ่อนโยนเพื่อมิให้เขาเป็นกังวล
“ทุกคนระวังตัวด้วยล่ะ หากมีเรื่องอะไรก็ส่งคนมาบอกข้าได้เลย”
หานโม่ฉือกำชับอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ให้ระวังตัวเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะช่วยปกป้องเสี่ยวโม่เอ๋อร์แทนเจ้าเอง”
อวิ๋นซื่อเทียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนผายมือเพื่อส่งสัญญาณให้หานโม่ฉือไปก่อน
ศิษย์นอกมากกว่าสิบคนก็ล้วนมองมาที่พวกนางด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้พลางคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างหานโม่ฉือและศิษย์สตรีรูปงามเหล่านี้
“เราเข้าไปในฝั่งของชั้นในกันเถอะ”
ฮวาเยว่กล่าวกับฉินอวี้โม่และเดินนำเข้าไปก่อน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เดินตามไปอย่างรวดเร็วและไม่นานนักร่างของพวกนางก็หายลับไปจากสายตาของหานโม่ฉือ
“ศิษย์น้อง ไม่ต้องมองแล้วล่ะ พวกนางจากไปแล้ว”
เมื่อเห็นหานโม่ฉือที่ยังคงมองตามไปยังทิศทางที่ฉินอวี้โม่หายไป เฉียนจ้วงก็ก้าวออกไปข้างหน้าและกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ศิษย์น้องโม่ฉือ สตรีเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างไรรึ ?”
ศิษย์นอกคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามาและมองด้วยความสงสัยใคร่รู้เช่นกัน
“ภรรยาของข้าและสหายของนาง”
หานโม่ฉือควบคุมกลิ่นอายความเยือกเย็นจากร่างของตนเองและกล่าวแนะนำพวกนางอย่างสั้น ๆ
“ภรรยางั้นรึ ? ศิษย์น้องโม่ฉือช่างโชคดียิ่งนัก เจ้าคงจะทนแยกจากศิษย์น้องอวี้โม่ไม่ได้จึงเลือกมาเป็นศิษย์นอกของที่นี่สินะ”
บุรุษคนหนึ่งคาดเดาความคิดของหานโม่ฉือได้ในทันที หากมีภรรยาที่ทั้งงดงามและโดดเด่นเช่นฉินอวี้โม่ พวกเขาก็คงจะไม่ยอมแยกห่างจากนางเช่นกัน
“ใช่”
หานโม่ฉือไม่ปฏิเสธแต่อย่างใดและแววตาของเขาก็แสดงถึงความหลงใหลอย่างเห็นได้ชัด
“ฮ่า ๆ ๆ อย่ามัวแต่พูดคุยกันอยู่เลย ศิษย์น้องโม่ฉือ ไปดูที่พักของเจ้ากันเถอะ”
เฉียนจ้วงตบไหล่หานโม่ฉือดังปุและกล่าวขึ้นเบา ๆ “ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็นศิษย์นอก ทว่ามันก็มิใช่ว่าจะไม่มีทางได้พบกับศิษย์ใน ในทุก ๆ เดือน พวกเราศิษย์นอกจะมีโอกาสเข้าไปในฝั่งชั้นในเป็นเวลาสามวัน ศิษย์ที่แสดงผลงานดีก็จะได้เข้าไปที่หอสมบัติชั้นในนานถึงเจ็ดวัน เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็จะได้พบกับศิษย์น้องอวี้โม่อย่างแน่นอน อีกอย่าง…เมื่อศิษย์น้องอวี้โม่จัดการทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง นางก็จะต้องออกมาพบกับเจ้าเช่นกัน”
นี่คือสาเหตุหนึ่งที่พวกเขาเหล่านี้เลือกอยู่ในนิกายหมื่นบุปผา การเป็นศิษย์นอกของนิกายหมื่นบุปผาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผู้ใดคาดคิด อันที่จริงพวกเขาก็มีความสุขกับที่นี่ไม่น้อยเลย
พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตรอบนอกของหุบเขาหมื่นบุปผาซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามรอบตัวและมีสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารการกินของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าบรรดาศิษย์ในมากนัก แม้ต้องทำงานสกปรกบางอย่าง พวกเขาก็มีความสุข ถึงอย่างไรศิษย์ในทั้งหมดก็เป็นสตรีและพวกเขาละอายใจที่จะปล่อยให้พวกนางทำงานสกปรกเหล่านั้นเอง
นิกายหมื่นบุปผาจะมอบคะแนนจำนวนหนึ่งให้กับพวกเขาในทุก ๆ เดือนและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปยังหอชั้นในเพื่อฝึกฝนเป็นเวลาสามวัน ส่วนศิษย์ที่แสดงผลงานได้ดีก็จะมีโอกาสเข้าไปที่หอสมบัติของนิกายและเรียนรู้ทักษะวิชาอันดับต้น ๆ ของนิกายหมื่นบุปผาได้
แม้จะได้รับสิทธิพิเศษที่น้อยกว่าศิษย์ใน ทว่าพวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์ของสามสำนักและอีกแปดนิกายเท่าใดนัก ถึงอย่างไรศิษย์นอกก็มีเป็นจำนวนนับสิบคนเท่านั้นและย่อมมีอัตราการแข่งขันต่ำ พวกเขาเกือบทุกคนสามารถเข้าไปที่หอสมบัติและศึกษาวิชาที่ต้องการได้
ในเวลานี้ เฉียนจ้วงก็นำทางหานโม่ฉือไปยังที่พักในส่วนของศิษย์นอก
อีกฟากหนึ่งของนิกาย ฉินอวี้โม่ก็ตามฮวาเยว่และเหมยเซียงเข้าไปด้านในหุบเขาหมื่นบุปผา
ขณะเดินหน้าไปตามเส้นทาง พวกนางก็ได้พบกับอาคารขนาดใหญ่ที่หรูหรามากกว่าสิบหลัง หุบเขาหมื่นบุปผาแห่งนี้กว้างใหญ่อย่างแท้จริงและมีพื้นที่เทียบเท่ากับทั้งอำเภอซ่างหยวนที่ฉินอวี้โม่อาศัยอยู่ก่อนหน้านี้
ภายในหุบเขาแห่งนี้มีทั้งหอสมบัติ หอฝึกยุทธ์ หอหลอมโอสถ โรงครัวขนาดใหญ่และลานประลองยุทธ์ที่กว้างขวาง
ฮวาฟางเฟย—จ้าวนิกายหมื่นบุปผาพักอยู่ในเรือนหลังใหญ่ที่สุดในนิกายและผู้คุมกฎทั้งสองฝั่งก็เป็นเจ้าของเรือนคนละหนึ่งหลัง ศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายก็จะพักอยู่ในเรือนที่แตกต่างกันแยกตามระดับความแข็งแกร่ง ส่วนศิษย์ใหม่อย่างฉินอวี้โม่และสหายพักจะอยู่ในเรือนขนาดเล็กที่ดูธรรมดาที่สุด
เมื่อฮวาเยว่นำทางพวกนางเข้ามา แน่นอนว่าย่อมดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย
“ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายกลับมาแล้ว !”
สตรีนางหนึ่งเอ่ยด้วยความตื่นเต้นเมื่อมองเห็นกลุ่มคนข้างกายฮวาเยว่
“เหมยเซียง ไปแจ้งศิษย์ทุกคนให้ไปรวมตัวกันที่ลานจัตุรัส หลานเซียง จู๋เซียง พวกเจ้าพาอวี้โม่และสหายไปก่อน ส่วนข้าจะไปแจ้งท่านจ้าวนิกาย”
ฮวาเยว่สั่งการก่อนพุ่งตรงหายไปยังทิศทางของเรือนที่หรูหราและมีขนาดใหญ่ที่สุดในนิกายซึ่งอยู่ในระยะห่างออกไปพอสมควร
“ศิษย์น้องทั้งหลาย ตามข้ามาเถอะ”
เหมยเซียงแยกตัวไปแจ้งศิษย์คนอื่น ๆ ในขณะที่หลานเซียงและจู๋เซียงนำทางกลุ่มของฉินอวี้โม่ไปยังลานจัตุรัสของนิกายหมื่นบุปผา
“ว้าวว ! บรรดาศิษย์ใหม่ช่างมีรูปลักษณ์ที่งดงามจริง ๆ !”
หลายคนตามพวกนางมาอย่างรวดเร็วและเริ่มกล่าวกระซิบกระซาบเสียงเบา
“ใช่ เป็นจริงอย่างที่ว่า พวกนางเป็นสตรีที่งดงามจริง ๆ สองคนข้างหน้าก็งดงามยิ่งกว่าสี่ยอดสตรีงามของนิกายเสียอีก แม้แต่บรรดาศิษย์ฝั่งขวาก็เทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
สตรีส่วนใหญ่ที่ปรากฏอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นศิษย์ฝั่งซ้ายของฮวาเยว่และทัศนคตินิสัยของพวกนางก็เป็นมิตรอย่างยิ่ง พวกนางไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างเปิดเผย
“อีกสองคนก็ไม่เลวเลยนะ แม่สาวน้อยคนนั้นน่าจะมีอายุเพียงสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้น ทว่านางดูร่าเริงและน่ารักจนข้าอยากจะเข้าไปหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของนาง”
ศิษย์เหล่านั้นกล่าวชมเหมียวเจินเจินและจางซือถงอย่างกระตือรือร้น
ต้องกล่าวเลยว่ากลุ่มสตรีทั้งสี่ของฉินอวี้โม่ล้วนงดงามสะดุดตาอย่างยิ่ง แม้แต่จางซือถงที่กล่าวได้ว่ามีรูปลักษณ์ที่ด้อยที่สุดในกลุ่มก็ยังมีกลิ่นอายความเป็นอิสระและเรียบง่ายที่ไม่ว่าผู้ใดก็ยากที่จะละสายตา
“ศิษย์พี่หลานเซียง พวกนางมีนามว่าอะไรกันรึ ? พวกนางจะติดตามท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้ายใช่รึไม่ ?”
ศิษย์สตรีนางหนึ่งที่สนิทสนมกับหลานเซียงเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้และรู้สึกว่าสตรีที่โดดเด่นอย่างฉินอวี้โม่จะต้องทำให้ผู้คุมกฎฝั่งขวารู้สึกริษยาอย่างแน่นอน สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเช่นนี้ พวกนางก็ควรที่จะติดตามฮวาเยว่ หากพวกนางอยู่ร่วมกับผู้คุมกฎฝั่งขวา พวกนางอาจจะไม่มีโอกาสได้เฉิดฉายนัก
“สบายใจได้ พวกนางจะติดตามท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ในภายภาคหน้า ทุกคนต้องช่วยกันดูแลคุ้มกันความปลอดภัยให้กับศิษย์น้องเหล่านี้และอย่าทำให้พวกนางอึดอัดหรือลำบากใจเป็นอันขาด”
หลานเซียงยิ้มและพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนกล่าวกำชับกับทุกคน
“ไม่ต้องห่วง เราจะปกป้องศิษย์น้องเอง”
ศิษย์คนอื่น ๆ ก็กล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่และสหายคลายกังวลในทันที
“เหอะ คิดที่จะปกป้องศิษย์น้องเหล่านี้รึ ? พวกเจ้ายังปกป้องตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ !”
จู่ ๆ น้ำเสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในลานจัตุรัสก่อนกลุ่มสตรีหลายคนก้าวเดินออกมาจากด้านข้าง
หัวหน้ากลุ่มผู้มาใหม่ดูอ่อนเยาว์ราวกับมีอายุเพียงยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกสิบปีเท่านั้น อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์และทรวดทรงที่งดงามดูดี ทว่าร่างกายของนางกลับแผ่กลิ่นอายความยโสโอหังออกมาอย่างชัดเจน
สายตาของคนเหล่านั้นก็เลื่อนไปบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่และไม่แสดงถึงความเป็นมิตรแม้แต่น้อย