นอกเหนือจากจ้าวนิกายผู้มีอำนาจสูงสุด นิกายหมื่นบุปผาก็ยังมีผู้คุมกฎสองคนและผู้อาวุโสสี่คน
ฮวาเยว่—ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายและฮวาหรง—ผู้คุมกฎฝั่งขวาเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเสมอ และนิกายหมื่นบุปผาก็แบ่งออกเป็นสองฝั่งใหญ่ ๆ ด้วยกัน
ฝั่งแรกคือฝั่งซ้ายที่นำโดยฮวาเยว่ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสี่ อีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งขวาที่นำโดยฮวาหรงซึ่งมีผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามร่วมด้วย
หลายปีที่ผ่านมานี้ ทั้งสองฝั่งต่างก็มีเรื่องบาดหมางกันมาตลอดไม่ว่าจะเป็นทั้งเปิดเผยหรือลับหลังโดยไม่มีฝั่งใดคว้าชัยชนะได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม จ้าวนิกายหมื่นบุปผาก็เลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่งและไม่คิดแทรกแซงหรือจัดการกับเรื่องเหล่านี้
ฮวาหรงมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากฮวาเยว่อย่างชัดเจน แม้ทั้งสองเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน ทว่าฮวาหรงก็มีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายซ่อนไว้มากกว่า
คณะของฮวาเยว่และฝั่งซ้ายแทบไม่เคยเป็นฝ่ายหาเรื่องยั่วยุฝั่งขวาก่อน ทว่าเพียงโต้ตอบเป็นครั้งคราวเท่านั้นและส่วนใหญ่พวกนางก็มักเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะ
ในทางตรงกันข้าม ฝั่งของฮวาหรงพยายามหาเรื่องก่อกวนฝั่งซ้ายในทุกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิกายหมื่นบุปผารับศิษย์ใหม่เข้ามา พวกนางก็มักจะข่มขู่และหลอกล่อให้ศิษย์ใหม่เหล่านั้นเข้าร่วมฝั่งขวาของตน
ฮวาเยว่ก็ไม่สนใจที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านั้นส่งผลให้ฝั่งขวาเข้าใจไปว่าศิษย์ของฝั่งซ้ายเป็นเป้าหมายที่รังแกได้ง่าย ๆ และการกระทำของพวกนางก็เริ่มที่จะหนักข้อมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เหลียนซวง ข้าจะพาศิษย์น้องเหล่านี้ไปที่ลานจัตุรัสและไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า พาคนของเจ้ากลับไปเสียเถอะ !”
สีหน้าของหลานเซียงกลายเป็นเย็นชาอย่างกะทันหันขณะก้าวออกไปขวางหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไว้
เหลียนซวงเป็นหัวหน้าของศิษย์ฝั่งขวาและกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในนิกายหมื่นบุปผา ด้วยวัยเพียงสามสิบปี พลังของนางก็บรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงแล้ว นอกจากนี้นางยังมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่โปรดปรานของผู้คุมกฎฝั่งขวา เพราะเหตุนั้นนางจึงวางท่าเย่อหยิ่งอยู่เสมอและพยายามหาเรื่องสี่ยอดสตรีงามในทุกคราที่มีโอกาส
“หลานเซียง ไม่ได้พบกันเพียงไม่กี่วัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะอาจหาญมากกว่าเดิมทีเดียว ไม่คิดว่าจะกล้าโต้ตอบข้าเช่นนี้ !”
สายตาของเหลียนซวงเลื่อนไปที่ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนด้วยประกายความริษยาฉายวาบขึ้นมาแวบหนึ่ง
เหลียนซวงวางตัวเย่อหยิ่งและมั่นใจมาเสมอว่าตนคือสตรีที่งามที่สุดในนิกายหมื่นบุปผา ทว่ารูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ก็เหนือกว่าตนเสียอีกและมีกลิ่นอายความสง่างามบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด พรสวรรค์ของสตรีทั้งสองก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกันและในอนาคตข้างหน้าทั้งสองจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อนางอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์น้องทั้งหลาย พวกเจ้าคงจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของนิกายหมื่นบุปผาเท่าใดนัก ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าเข้าร่วมกับศิษย์ฝั่งขวาจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าอาจจะไม่ได้รับทรัพยากรดี ๆ และทำให้การฝึกฝนล่าช้ากว่าที่ควร”
นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ และน้ำเสียงเจือคำข่มขู่
ตราบใดที่ฉินอวี้โม่เข้าร่วมกับศิษย์ฝั่งขวา เหลียนซวงก็สามารถหาทางควบคุมยับยั้งพวกนางไว้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกนางก็จะกลายเป็นเพียงผู้มีพรสวรรค์ที่ปราศจากโอกาสในการแสดงศักยภาพ
“จากสีหน้าท่าทางของศิษย์พี่ ดูท่านจะโกรธเคืองมากจนเกินไป มีอารมณ์ที่แปรปรวนและประจำเดือนมาไม่ปกติ หากไม่จับตาดูอาการให้ดี ๆ เกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายได้นะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่ที่ได้ยินถ้อยคำข่มขู่ในวาจาของเหลียนซวง แม้เดิมทีนางตั้งใจจะเก็บตัวเงียบและไม่ก่อความวุ่นวายจนดึงดูดสายตาของผู้คน ทว่าตอนนี้นางไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีก
นางเอ่ยขึ้นเบา ๆ ทันที แม้น้ำเสียงฟังดูถากถางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่นางกล่าวมาก็เป็นความจริง
ทุกคนชะงักไปเล็กน้อยทันที ดูเหมือนว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะกล้าประจันหน้ากับเหลียนซวงโดยตรง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร ?!”
สีหน้าของเหลียนซวงกลายเป็นเย็นชาทันทีและแววตาเยือกเย็นอย่างที่สุด แม้ไม่ต้องการยอมรับมัน ฉินอวี้โม่ก็กล่าวความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอยู่ต่อหน้าคนมากมาย การประกาศออกมาอย่างชัดเจนเช่นนั้นก็ทำให้นางรู้สึกอายขึ้นมา
“ศิษย์พี่ มิใช่เรื่องใหญ่เลย ตราบใดที่ท่านพยายามสงบสติอารมณ์ไว้ในอนาคต ไม่อารมณ์ร้อนง่ายนัก รับประทานอาหารเบา ๆ และนับรอบวันให้รอบคอบ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองเจ้าค่ะ นอกจากนี้ข้าก็สามารถจัดหาโอสถบางอย่างให้ท่านได้ โอสถจะช่วยรักษาอาการผิดปกติเพื่อที่ศิษย์พี่จะได้ไม่ต้องหาเรื่องกัดคนอื่นไปทั่วอีกในอนาคต”
ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยและวาจาที่ดูเหมือนเป็นห่วงอีกฝ่ายก็แอบแฝงไปด้วยการเหน็บแนม ยิ่งไปกว่านั้น ประโยคสุดท้ายของนางทำให้ดวงตาของเหลียนซวงแดงก่ำและสีหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้
“เจ้าอยากตายสินะ !”
นางตะโกนเสียงดังลั่นก่อนฝ่ามือวายุฟาดตรงไปที่ฉินอวี้โม่
ศิษย์ใหม่ที่ริอาจกล่าววาจาดูหมิ่นนางเช่นนี้ ช่างรนหาที่ตายเสียแล้ว !
“เหลียนซวง มันชักจะมากเกินไปแล้ว !”
หลานเซียงปล่อยการโจมตีออกไปออกไปขัดขวางฝ่ามือวายุของเหลียนซวงได้อย่างทันท่วงทีพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เจ้าเป็นฝ่ายที่หาเรื่องพวกเราก่อนและยังข่มขู่ศิษย์น้องอวี้โม่และสหาย ศิษย์น้องอวี้โม่เพียงย้ำเตือนเจ้าด้วยความหวังดีเท่านั้น ทว่าเจ้ากลับไม่ซาบซึ้งใจและยังพยายามทำร้ายนางอีกรึ !”
ครานี้หลานเซียงตั้งใจที่จะปกป้องฉินอวี้โม่จนถึงที่สุด แท้จริงแล้วนางก็ไม่พอใจเหลียนซวงมาเป็นเวลานานแล้ว อีกฝ่ายพยายามกดข่มกลุ่มของพวกนางด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าเพียงเล็กน้อย แม้ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายจะกล่าวว่าพวกนางไม่ควรเก็บมาใส่ใจ ทว่าหลานเซียงและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกไม่เต็มใจนัก
ทว่าครานี้ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายก็กำชับให้นางปกป้องดูแลฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เป็นอย่างดี แน่นอนว่านางไม่กังวลที่จะประจันหน้ากับเหลียนซวงอีกต่อไป
“ถูกต้อง ไม่ทราบเลยว่าเหตุใดเจ้าถึงได้มั่นใจนักและต้องการที่จะลงมือทำร้ายอวี้โม่ เพียงแค่เข้าร่วมนิกายก่อนพวกเรามานานหลายปีและบรรลุความสำเร็จเช่นตอนนี้ได้ มันเป็นเรื่องใหญ่อะไรกัน ? หากต้องการจะต่อสู้ อย่าคิดว่าพวกเราจะเกรงกลัวเจ้า !”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวไม่สบอารมณ์และไม่ไว้หน้าเหลียนซวงแม้แต่น้อย
หากต้องการจะรังแกพวกนาง อีกฝ่ายก็ควรพิจารณาตนก่อนกว่ามีฝีมือมากพอหรือไม่ แม้ว่าจะมีพลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูง ทว่าหากพวกนางใช้ไพ่ตายทั้งหมดที่มีออกมา อีกฝ่ายก็อาจจะมิใช่คู่มือของพวกนางด้วยซ้ำ ทว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ระเบิดพลังมายาของอวิ๋นซื่อเทียนก็สามารถทำให้เหลียนซวงตกที่นั่งลำบากได้อย่างแน่นอน
“โอ้ ช่างเป็นบรรดาศิษย์ใหม่ที่โอหังยิ่งนัก !”
น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนแรงกดดันทรงพลังจะแผ่ตรงไปที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
แรงกดดันดังกล่าวทรงพลังกว่าแรงกดดันของเหลียนซวงหลายเท่าตัวส่งผลให้เหมียวเจินเจินและจางซือถงถึงกับเข่าทรุดลงไปบนพื้นอย่างไม่อาจควบคุม
ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนเองก็รู้สึกถึงความหนักหน่วงที่ขาทั้งสองข้าง หากมิใช่เพราะมีจิตใจที่แกร่งกล้าและหนักแน่นมากพอ พวกนางก็คงจะเข่าทรุดลงไปแล้วเช่นกัน
“โอ้ ถือว่าไม่เลวทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าทั้งสองจะกล้าทำตัวหยิ่งผยองนัก !”
ตรงหน้าเหลียนซวงในตอนนี้มีร่างสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏอยู่ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่ดูธรรมดาทั่วไปและแทบไม่เป็นที่สังเกตหากอยู่ท่ามกลางฝูงชน หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นนี้ นางก็คงจะเป็นได้เพียงสตรีธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น
สตรีผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฮวาหรง—ผู้คุมกฎฝั่งขวาของนิกายหมื่นบุปผานั่นเอง
“คารวะท่านผู้คุมกฎ”
เมื่อฮวาหรงปรากฏตัว คนของฝั่งขวาก็รีบโค้งคำนับนางทันที อย่างไรก็ตาม หลานเซียงไม่ได้ขยับเขยื้อนและไม่มีความคิดจะคำนับอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับศิษย์ฝั่งซ้ายแล้ว แน่นอนว่าพวกนางไม่คิดที่จะก้มหัวให้กับฮวาหรงเช่นกัน
“ทั้งที่เพิ่งเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก ทว่าพวกเจ้ากลับริอาจกล่าววาจาหยาบคายต่อผู้ที่เป็นศิษย์พี่เช่นนี้ ช่างไม่รู้จักกาลเทศะจริง ๆ นิกายหมื่นบุปผาของเราไม่ต้องการศิษย์ที่หยิ่งยโสและหยาบคายอย่างพวกเจ้า !”
ฮวาหรงกล่าวอย่างเย็นชาและวางแผนที่จะหาทางขับไล่ฉินอวี้โม่ออกไปจากนิกายโดยตรง
ฮวาหรงเป็นคนชาญฉลาดอย่างมาก แม้มองเพียงแวบเดียว นางก็ตระหนักได้ทันทีว่าไม่มีทางเอาชนะใจฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ การปล่อยให้ฮวาเยว่รับศิษย์เหล่านี้เข้าไปและพัฒนาความแข็งแกร่งโดยรวมของศิษย์ฝั่งซ้ายก็มิใช่สิ่งที่นางต้องการให้เกิดขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้น การขับไล่พวกนางออกไปตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งขวา แต่ศิษย์น้องอวี้โม่ถูกเหลียนซวงรังแกก่อนนะเจ้าคะ”
หลานเซียงก็อดกล่าวออกมาเพื่อปกป้องฉินอวี้โม่ไม่ได้
“หุบปาก ในขณะที่ข้ากำลังพูดอยู่ เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดแทรกขึ้นมา !”
ฮวาหรงตวัดสายตามองหลานเซียงทันทีและแผ่แรงกดดันออกไปกดข่มศิษย์ฝั่งซ้ายทุกคน
“ฮวาหรง แรงกดดันของเจ้าก็ถือว่าทรงพลังทีเดียว แต่คิดหรือว่าจะมีใครกลัวเจ้า ?!”
ทันใดนั้น เสียงของฮวาเยว่ก็ดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่แรงกดดันที่กดข่มฉินอวี้โม่และทุกคนจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย . .