ฮวาเยว่เดินออกมาจากด้านหลังฝูงชนอย่างช้า ๆ และใบหน้างดงามของนางในตอนนี้ดูเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่านางก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองฝ่ายก่อนหน้านี้แล้ว เพราะหลังจากที่แยกตัวไปแจ้งข่าวให้จ้าวนิกายทราบ นางก็รีบมุ่งหน้ามาที่นี่ซึ่งทันได้ยินเหลียนซวงกล่าววาจาข่มขู่ฉินอวี้โม่ รวมถึงการตอบโต้ของฉินอวี้โม่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นางไม่รีบร้อนเปิดเผยตัวและซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเนื่องจากต้องการทราบว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร
หากฮวาหรงไม่ปรากฏตัว นางก็จะไม่แสดงตัวออกมาเช่นกัน
“ฮวาหรง ความขัดแย้งระหว่างศิษย์ก็ควรปล่อยให้พวกนางจัดการกันเอง ในฐานะผู้คุมกฎฝั่งขวา เจ้าไม่อายบ้างรึที่ใช้แรงกดดันรังแกศิษย์ใหม่เหล่านี้ ?!”
ฮวาเยว่ทราบดีว่าฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนมิใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้ผู้อื่นข่มเหงรังแกได้ง่าย ๆ หากฮวาหรงไม่เคลื่อนไหวออกมาด้วยตัวเอง เหลียนซวงก็อาจจะมิใช่ภัยคุกคามสำหรับทั้งสองด้วยซ้ำ
เพียงแต่ความแข็งแกร่งของฮวาหรงเหนือชั้นกว่าพวกนางมากจนเกินไป หากมีการประจันหน้ากันโดยตรง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะพ่ายแพ้ไปอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นฮวาเยว่จึงต้องเคลื่อนไหวออกมาเช่นกัน
“ฮวาเยว่ ออกไปข้างนอกนิกายเพียงไม่กี่วัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะวางมาดใหญ่โตกว่าก่อนมาก ศิษย์ใหม่เหล่านี้หาเรื่องเหลียนซวงและพูดจาดูหมิ่นนาง พวกนางจะต้องขอโทษก่อน ไม่เช่นนั้นนิกายหมื่นบุปผาของเราก็คงจะไม่ต้อนรับพวกนาง”
ทัศนคติของฮวาหรงยังคงแข็งกร้าวไม่เปลี่ยนแปลงและต้องการหาทางเล่นงานกลุ่มของฉินอวี้โม่ให้จงได้
นางคาดการณ์ไว้ว่าฮวาเยว่คงไม่ต้องการมีเรื่องกับตน ด้วยเหตุนั้นฉินอวี้โม่และสหายจึงต้องยอมขอโทษต่อเหลียนซวง มิฉะนั้นพวกนางก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปจากนิกายหมื่นบุปผา และด้วยวิธีนี้ เกียรติยศชื่อเสียงของฮวาเยว่ก็จะเสื่อมเสียลงและคนของฝั่งซ้ายก็จะผิดหวังในตัวนางเป็นอย่างมาก ฮวาหรงเชื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้น คนเหล่านี้จะเทียบชั้นฝั่งขวาของตนไม่ได้อีกต่อไป
“พรืดดด ! ไร้สาระชะมัด เราไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดเราจะต้องขอโทษนางด้วย ? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเพียงเป็นห่วงศิษย์พี่และกล่าวไปตามความจริง หากท่านไม่เชื่อข้าก็ไปเรียกหมอมาตรวจดูอาการของศิษย์พี่เหลียนซวงได้เลยเจ้าค่ะ หากข้าโกหกไปแม้แต่ครึ่งคำ ข้าจะยอมรับความผิดเอง”
ฉินอวี้โม่ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ได้ ก่อนที่ฮวาเยว่จะได้กล่าวสิ่งใด นางก็รีบกล่าวแทรกออกไปอย่างรวดเร็วและไม่ไว้หน้าฮวาหรงแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของฮวาเยว่ก็กระตุกเป็นรอยยิ้มทันที “เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็ไปตามหมอมาตรวจดูเถอะและเราจะได้รู้กันว่าอวี้โม่พูดจริงรึไม่ หากร่างกายของเหลียนซวงไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ข้าจะสั่งให้อวี้โม่ขอโทษนางทันที”
แม้ไม่อาจทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของเหลียนซวง ฮวาเยว่ก็เชื่อในวาจาของฉินอวี้โม่ ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางของเหลียนซวงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวนั้นเป็นความจริง มีอาการผิดปกติบางอย่างกับร่างกายของนางอย่างแน่นอน
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ”
เหลียนซวงรีบปฏิเสธไปทันที หากตามหมอมายืนยันอาการของนางจริง ๆ นางก็คงจะเสียหน้าไปกว่านี้มาก
“พวกนางเป็นเพียงศิษย์ใหม่ที่ยังไม่เข้าใจกฎระเบียบของนิกายหมื่นบุปผาเท่านั้น ท่านผู้คุมกฎไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ในอนาคตข้างหน้า เมื่อพวกนางเริ่มฝึกฝน พวกนางก็จะได้ทราบกฎเกณฑ์ของที่นี่อย่างแน่นอน !”
นางกล่าวขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาให้กับฮวาหรง ทว่าน้ำเสียงของนางก็แสดงถึงการข่มขู่ต่อกลุ่มของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน
ฮวาหรงก็เข้าใจดีและรีบกล่าวเสียงดัง “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน”
หลังจากกล่าวจบ ฮวาหรงก็ไม่เสียเวลากล่าวสิ่งใดอีกและหันหลังเตรียมไปที่ลานจัตุรัสเพื่อหาที่นั่งลง
เหลียนซวงจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชั่วร้ายและรีบเดินเข้าไปหาผู้คุมกฎของตนอย่างรวดเร็ว ศิษย์ฝั่งขวาคนอื่น ๆ ก็รวมตัวกันด้านหลังฮวาหรงเช่นกันและสายตาจับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่และสหายอย่างเป็นปฏิปักษ์
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่สนใจสายตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย พวกนางเพียงทักทายบรรดาศิษย์ฝั่งซ้ายที่เพิ่งมาถึงและยืนรวมกันอยู่ตรงกลางลานจัตุรัส
“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์ใหม่ปีนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
เสียงหัวเราะหวานกังวานดังขึ้นในหูของทุกคนและร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ผู้มาใหม่คือสตรีที่ดูมีอายุอยู่ในช่วงสามสิบปีซึ่งมีรูปลักษณ์โดดเด่นและกลิ่นอายความทรงเสน่ห์ซึ่งยากที่ผู้ใดจะละสายตา เพียงปรากฏตัวกลางอากาศก็ดูราวกับนางมีเวทีเป็นของตนเองที่ดึงดูดสายตาทุกคู่ ดวงตาเหยี่ยวงดงามของนางก็น่าหลงใหลอย่างที่สุด เพียงได้สบตาคู่นั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องตกอยู่ในภวังค์และราวกับจมหายเข้าข้างใน
แม้แต่ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็ได้รับผลกระทบกันเล็กน้อยในขณะที่ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
“คารวะท่านจ้าวนิกาย!”
ทุกคนลุกขึ้นและโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกันพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสตรีผู้นี้คือฮวาฟางเฟยซึ่งเป็นจ้าวนิกายของนิกายหมื่นบุปผา
ความแข็งแกร่งของฮวาฟางเฟยล้ำลึกอย่างเกินหยั่งถึงและมากพอที่จะติดอันดับหนึ่งในสิบของยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในดินแดนมหาเทพ แม้อายุที่แท้จริงของนางจะยาวนานถึงหลายร้อยปี ทว่ารูปลักษณ์ของนางก็ดูเหมือนสตรีที่มีอายุประมาณสามสิบปีเท่านั้น
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย”
ฮวาฟางเฟยนั่งลงบนบัลลังก์หลักและมองไปที่ฉินอวี้โม่
“พวกเจ้ามีชื่อว่าอะไร ?”
นางเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ ในสายตาของนางนั้น แม้ว่าฉินอวี้โม่จะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังมีความแข็งแกร่งไม่มากพอที่จะเป็นภัยคุกคามใด ๆ ต่อนาง ยิ่งไปกว่านั้น การที่ผู้มีพรสวรรค์และรูปลักษณ์โดดเด่นเช่นนี้เข้าร่วมเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา ในอนาคตพวกนางจะต้องมีบทบาทที่สำคัญต่อนิกายอย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่และสหายหลายคนก็กล่าวแนะนำตัวและโค้งคำนับต่อฮวาฟางเฟยอย่างนอบน้อม
“เอาล่ะ ต่อไปพวกเจ้าจะได้ฝึกฝนกับผู้คุมกฎฝั่งซ้าย หากมีสิ่งใดก็บอกนางได้เลย แม้พวกเจ้าจะเป็นศิษย์ใหม่ของนิกายหมื่นบุปผา พวกเจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดไป เจ้าจะได้เรียนรู้ทุกอย่างเหมือนกับศิษย์เก่าคนอื่น ๆ”
นางโบกมือและกล่าวกับศิษย์ใหม่ทั้งสี่
สำหรับนาง ไม่ว่าฉินอวี้โม่และสหายจะติดตามผู้คุมกฎฝั่งใดก็ไม่แตกต่างกัน ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาแล้วและเป็นตัวหมากที่นางจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต
“เจ้าค่ะ ท่านจ้าวนิกาย”
ทั้งสี่พยักศีรษะและเดินเข้าไปยืนข้างหลังฮวาเยว่
“ตอนนี้ยังเหลือเวลาหนึ่งปีก่อนถึงการแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกาย ข้าหวังว่าภายในหนึ่งปีนี้ทุกคนจะหมั่นฝึกฝนและลดการขัดแย้งภายในเสียบ้าง ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า…เป้าหมายของเราคือการก้าวข้ามนิกายเมฆาล่องลอยและกลายเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในเก้านิกาย ทุกคนเข้าใจรึไม่ ?”
ฮวาฟางเฟยกล่าวพลางชำเลืองมองไปที่ฮวาเยว่และฮวาหรงอย่างมีความหมายชัดเจน
ความขัดแย้งระหว่างฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเป็นสิ่งที่จ้าวนิกายอย่างนางทราบดี เพียงแต่ส่วนใหญ่นางมักเลือกปิดตาข้างหนึ่ง ถึงอย่างไรแล้วการแข่งขันระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของทุกคนได้เร็วยิ่งขึ้นซึ่งมิใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนถึงการแข่งขันระหว่างทั้งสามสำนักและเก้านิกาย หลายปีที่ผ่านมานี้ อันดับของนิกายหมื่นบุปผาต่ำกว่านิกายเมฆาล่องลอยมาตลอดซึ่งทำให้ฮวาฟางเฟยไม่พอใจเท่าใดนัก ครานี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็หมายมั่นที่จะก้าวข้ามนิกายเมฆาล่องลอยไปให้ได้และกลายเป็นนิกายอันดับหนึ่งในทั้งเก้านิกาย
โดยปกติแล้วสามสำนักและเก้านิกายจะจัดการแข่งขันในทุก ๆ สิบปีและอันดับของขุมกำลังจะถูกจัดเรียงใหม่ตามคะแนนที่เป็นผลมาจากการแข่งขัน
หลังจากการแข่งขันหลายคราติดต่อกัน นิกายเมฆาล่องลอยก็เอาชนะนิกายหมื่นบุปผาได้อย่างอยู่หมัด เพราะเหตุนั้นพวกนางจึงทำได้เพียงครองอันดับที่สองมาเท่านั้น
ทว่าในการแข่งขันครานี้ ฮวาฟางเฟยไม่คิดที่จะตกเป็นรองผู้ใดอีกต่อไป
“เจ้าค่ะ ท่านจ้าวนิกาย”
ฮวาเยว่และฮวาหรงมองหน้ากันเล็กน้อย แม้ไม่เต็มใจนัก ทั้งสองก็ทำได้เพียงตอบรับไปเท่านั้น
“เอาล่ะ ฮวาเยว่ เจ้าจัดการพาศิษย์ใหม่เหล่านี้ไปที่หอสมบัติโดยเร็วที่สุดเพื่อที่พวกนางจะได้เรียนรู้ทักษะวิชาของนิกายเรา หวังว่าในหนึ่งปีข้างหน้า พวกนางจะกลายเป็นศิษย์อันดับต้น ๆ ของนิกายหมื่นบุปผาได้ !”
หลังจากกล่าวทิ้งท้าย ร่างของฮวาฟางเฟยก็หายวับไปต่อหน้าทุกคน
“ฮวาเยว่ แม้ท่านจ้าวนิกายจะสั่งมิให้เรามีเรื่องขัดแย้งกัน ข้าก็ขอเตือนให้พวกเจ้าระวังตัวไว้ให้ดี อย่าลืมล่ะว่าอีกไม่นานนิกายของเราจะมีการแข่งขันภายใน เมื่อถึงตอนนั้นพวกข้าจะไม่ยั้งมือแน่ !”
ฮวาหรงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาข่มขู่ก่อนหันหลังกลับและเดินจากไปพร้อมคณะศิษย์ฝั่งขวาของตน
“เฮอะ นายหญิงผู้นี้ไม่เกรงกลัวเจ้าหรอก ใครกันแน่ที่จะต้องกลัว !”
อวิ๋นซื่อเทียนถอนหายใจแรงอย่างไม่สบอารมณ์ขณะมองไปในทิศทางที่ฮวาหรงจากไปและกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว
“ไปกันเถอะ ข้าจะจัดเตรียมที่พักให้กับพวกเจ้าก่อน”
ฮวาเยว่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่ศิษย์ฝั่งซ้ายของนางจะได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงเสียที . .