ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 125 ยอดขุนพลแห่งผาชัน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลัวปู้ต้องการจะเปลี่ยนน้ำแกงเนื้อในมือหนานเค่อกับยาน้ำแต่หนานเค่อไม่ยอม

นางมองไปที่เฉินฉางเซิง เฉินฉางเซิงกะพริบตาด้วยความยากลำบากแล้วเขาก็หันหน้าไปทางหลัวปู้ด้วยความยากลำบากยิ่งกว่า ก่อนแสดงความขอบคุณทางแววตา

ถ้วยยาน้ำถูกส่งไปที่ปากของเขา และเขาก็สังเกตเห็นว่าถ้วยถูกทำความสะอาดอย่างดี ไม่มีกลิ่นตกค้างของอาหารหรือคราบมัน

จากนั้นก็ได้กลิ่นตัวยาสิบเจ็ดชนิดจากน้ำยา ในจิงตู ตัวยาพวกนี้ไม่นับว่าล้ำค่า แต่ในคอกม้าอันห่างไกลนี้ พวกมันย่อมหาได้ไม่ง่ายนัก แน่นอน ที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดไม่ใช่ความสะอาดของชามหรือตัวยาที่ใช้แต่เป็นทักษะการแพทย์ของหลัวปู้ที่แสดงออกมาผ่านยาน้ำชามนี้

น้ำแกงเนื้อกับยาน้ำสลับกันไปมาเวลาก็ผ่านไป เฉินฉางเซิงกับหนานเค่อก็อยู่ในคอกม้าผาชันมานานสี่วันแล้ว

หนานเค่อยังคงปัญญาอ่อน ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นใครหรือนางเป็นใคร นางแค่จดจำได้คร่าวๆ ว่าเฉินฉางเซิงมีความสำคัญกับนางมาก ดังนั้นนางจึงใช้เวลาทุกวันอยู่ข้างกายเขา เป่ายาให้เย็น ต้มเนื้อ เช็ดตัวราวกับสาวใช้ นอกจากนี้นางก็มองไปที่คนอื่นที่กล้าเข้ามาอย่างเป็นกังวล มีคนเดียวที่ได้รับยกเว้นก็คือหลัวปู้

ช่วงสามวันแรกที่เขาพูดไม่ได้ เฉินฉางเซิงมักจะคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะหลัวปู้ให้นางกินเนื้อเยอะหรือเปล่า

ในวันที่สี่ เขายังไม่อาจลุกออกจากเตียงได้ แต่ร่างของเขาในตอนนี้สามารถเคลื่อนไหวได้เล็กน้อยแล้ว อย่างเช่นเอี้ยวตัวหรือยกมือ ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาพูดได้ในที่สุด เขาต้องประหลาดใจที่เจ้าหน้าที่นามหลัวปู้ไม่ได้ถามถึงที่มาของเขาต่อ

แม้ว่าที่นี่จะเป็นคอกม้าห่างไกล แต่ก็ยังมีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ในฐานะเจ้าหน้าที่บัญชาการหลัวปู้ย่อมไม่อาจเกียจคร้านอยู่ในห้องไปตลอด หลายครั้งที่คนนำยาเข้ามาเป็นหนึ่งในองครักษ์ของเขาหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่อีกคนของคอกม้า ด้วยคุณสมบัติที่อยู่ในสายเลือดของเขาและเขาฝึกเต๋าแห่งการทำตามใจตน เฉินฉางเซิงมีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้คนอื่นต้องการรู้จักเขา ในตอนนั้นแม้แต่แพะดำของวังหลวงกับมังกรดำใต้สะพานอุดรใหม่ก็ยังได้รับผลกระทบจากลักษณะนี้ ดังนั้นทหารพวกนี้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์เรียบง่ายยิ่งกว่าจะต้านทานได้อย่างไร ในเวลาอันสั้น พวกเขาก็สนิทสนมกัน

ตราบใดที่เขาไม่สนใจสายตาของหนานเค่อ ซึ่งเหมือนกับสัตว์อสูรตัวน้อยปกป้องอาหาร การสนทนาระหว่างเฉินฉางเซิงกับพวกทหารก็เป็นไปอย่างราบรื่น เขาเห็นภาพสถานการณ์ในแนวรบได้ชัดเจนขึ้น เข้าใจจิตใจของทหารได้ชัดเจนขึ้น ที่สำคัญที่สุด เขาก็เข้าใจเรื่องราวของคอกม้าผาชันและหลัวปู้

ใครที่ได้ยินเรื่องของหลัวปู้ย่อมรู้สึกเห็นใจและโมโหในความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับเขาอย่างไม่อาจเลี่ยง และเฉินฉางเซิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เขาเชื่อว่าหลัวปู้สามารถสะสมความชอบทางทหารมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะโชคช่วยหรือมีคนหนุนหลัง หากแต่เป็นเพราะเขามีความสามารถอย่างแท้จริง

เพียงมองดูการจัดการและชีวิตในคอกม้าผาชันซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปอย่างเกียจคร้านและอ่อนโยนทุกวัน ก็จะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่นี้มีความสามารถในการจัดการ ยิ่งไปกว่านั้นแค่ยาน้ำที่เขาจัดมาให้ก็ทำให้อาการบาดเจ็บของเฉินฉางเซิงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ซึ่งพิสูจน์ว่าเขามีทักษะการแพทย์ที่โดดเด่น

แน่นอน นี่คือความประทับใจที่ได้รับผ่านการสนทนาจึงย่อมด้อยกว่าการได้สัมผัสด้วยตัวเอง

หากเขาต้องการที่จะสัมผัสมันด้วยตัวเอง เขาก็ต้องลุกขึ้นจากเตียงก่อนและเดินเตร่ไปทั่วคอกม้า

แต่เขาไม่เคยคิดสงสัยว่าทำไมเจ้าหน้าที่หลัวปู้ถึงได้สนใจเขานัก

ในวันที่เจ็ด เฉินฉางเซิงลุกออกจากเตียง

ย้อนไปตอนที่เจ๋อซิ่วทนทุกข์กับการทรมานในสวนโจวเนื่องมาจากเส้นลมปราณถูกทำลาย เขาก็พึ่งพาเพียงแค่การกระตุ้นความเจ็บปวดเพื่อฟื้นฟูในเวลาอันสั้นที่สุด และเฉินฉางเซิงก็ใช้วิธีการเดียวกัน เขาใช้เวลาไม่กี่คืนในการต่อสู้กับความเจ็บปวดที่ยากจะจินตนาการได้อย่างต่อเนื่อง

หนานเค่อดูแลเขาตลอดเวลา ใช้ผ้าเช็ดเหงื่อให้ ช่วยเขาดื่มน้ำ นวดท้องให้เขาอย่างแผ่วเบา การกระทำของนางย่อมเงอะงะอยู่บ้าง แต่ก็ทำอย่างจริงใจ และนางก็ลงแรงไปมากเพื่อเขา มีแต่ชั่วยามสุดท้ายของคืนเท่านั้นเมื่อนางเห็นว่าเขาสงบลงในที่สุด นางจึงพักผ่อนและนอนหลับไป น่าประหลาดใจที่นางไม่รู้ตัวตอนที่เขาออกจากห้อง

รุ่งอรุณมาเยือนทุ่งหญ้าระหว่างเทือกเขา ผ่านหมอกบางที่ลอยลงมาจากเทือกเขา และเสียงก็ดังขึ้นจากฝูงม้าที่เพิ่งตื่น

เฉินฉางเซิงเก็บกิ่งไม้เอามาใช้พยุงร่างที่อ่อนแอขณะเดินไปในคอกม้าอย่างไร้ทิศทาง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายตัวเอง ในทางกลับกัน เขาจะต้องเคลื่อนไหวบ้าง เส้นลมปราณจะได้เชื่อมต่อกันใหม่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

คอกม้าผาชันมีพื้นที่กว้างใหญ่ นอกจากค่ายทหารและหอธนู ก็ยังมีค่ายกล ดูเหมือนจะถูกวางแบบสุ่มๆ แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะเห็นว่ามันมีรูปแบบที่จะส่งผลกระทบอย่างมากเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู

เฉินฉางเซิงเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋า แต่เขาไม่ได้เรียนกลยุทธ์ทางทหาร ที่เขาสามารถมองค่ายกลในคอกม้าผาชันออกในพริบตาเดียวก็เพราะตอนที่ซูหลีสอนกระบี่ให้เขาระหว่างเดินทางไกลจากทุ่งหิมะกลับสู่แดนใต้ เขาก็สอนความรู้ในเรื่องนี้ให้ด้วย

จากรั้วไม้รอบค่ายกลและโคลนสดใหม่ที่เป็นฐาน เขามองเห็นการจัดวางที่ถูกดัดแปลงหลังจากหลัวปู้มาถึงคอกม้าผาชัน

ยิ่งเห็นมากเท่าไหร่ เฉินฉางเซิงก็ยิ่งรู้สึกว่าหลักการทหารที่อยู่ในการจัดวางค่ายกลนี้สอดคล้องกับความรู้ที่ซูหลีถ่ายทอดให้เขามากขึ้นเท่านั้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมหลัวปู้ แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อมโยงความคิดนี้กับเรื่องอื่น

เทือกเขาแดนเหนือสูงชัน ยิ่งใหญ่ ไร้ความรู้สึก ในขณะที่สภาพอากาศผันผวน รุ่งอรุณเหน็บหนาวนำสายลมเย็นเยียบมา เม็ดทรายนับไม่ถ้วนถูกสายลมรุนแรงพัดมา ผ่านเทือกเขาเข้าสู่คอกม้า โลกก็เปลี่ยนเป็นมืดมัวในทันที

เสียงธนูสัญญาณดังหวีดหวิว เสียงตะโกนออกคำสั่ง เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังไปทั่วค่าย

เฉินฉางเซิงไม่คิดที่จะเพิ่มความโกลาหล เขาใช้กิ่งไม้ยันกายกลับไปตามชายคาของสิ่งก่อสร้างช้าๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นหลัวปู้

หลัวปู้รู้สึกยินดีมากที่เห็นเขาสามารถเดินได้ ยิ้มยิงฟันขาวเต็มปากและกล่าว “ยินดีด้วย”

ในตอนนั้นเขารีบสั่งงานผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อรับมือกับพายุทราย ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามาพูดอย่างอื่นอีก มองไปที่กิ่งไม้ใต้รักแร้ของเฉินฉางเซิง เขาก็ส่ายหน้าและชี้ไปที่ประตูด้านหลัง บอกว่าเฉินฉางเซิงควรซ่อนอยู่ที่นั่นไปก่อน

ด้วยความเร็วของเฉินฉางเซิง กว่าเขาจะกะโผลกกะเผลกกลับมาถึงห้องที่เคยอยู่ พายุทรายคงกลืนกินเขาไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธจึงเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง ไม่รอให้เขาหันกลับไป หลัวปู้ปิดประตู แล้วจากนั้นเสียงดังสนั่นก็ดังมาจากภายนอก

หลัวปู้น่าจะกดปุ่มบางอย่างบนผนังหรือประตู ท่อนไม้หนาขวางประตูในขณะที่กระดานไม้หลายแผ่นร่วงลงมา ปิดผนึกหน้าต่างเอาไว้แน่น ในเวลาเดียวกัน ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะก็พลันสว่างขึ้น แม้ว่าจะไม่มีเปลวไฟ

เฉินฉางเซิงไม่ได้เข้าใจผิด ดังนั้นเขาจึงไม่ตื่นตระหนก หลังจากสำรวจมองกลไกในห้องอย่างละเอียด เขาก็พบว่ามันเรียบง่ายแต่ก็สร้างอย่างประณีต แม้แต่คนที่ธรรมดาที่สุดก็สามารถใช้งานมันได้ คาดว่าที่พักทั้งหมดในคอกม้านี้ล้วนติดตั้งกลไกแบบนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้เขาผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง

หลังจากนั้น วัตถุหลายชิ้นบนโต๊ะก็กระตุ้นความสนใจเขา

แสงหม่นมัวจากตะเกียงส่องไปทั่วโต๊ะและส่องสว่างกระดาษหลายแผ่นบน

มันเป็นกระดาษราคาแพงจากเมืองซือโจว อย่าว่าแต่คอกม้าที่ห่างไกลแบบนี้เลย กระดาษแบบนี้ในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานก็ยังหาได้ยาก

กระดาษบางแผ่นมีตัวอักษร บ้างก็เป็นภาพวาด

เฉินฉางเซิงไม่มีทักษะด้านบทกวี ภาพวาดหรือตัวอักษร แต่การเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋า เขามีดวงตาที่ดีเยี่ยม

ตัวอักษรที่เขียนลงไปอย่างดีเยี่ยม ตัวอักษรที่ชัดเจนซ่อนอยู่ใต้เปลือกนอกอวบอ้วน ดูถูกการมองเห็นของผู้อื่น

ภาพวาดก็ยอดเยี่ยม ภาพวาดใหญ่ที่วาดฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงวาดแบบเสี่ยอี้ ในขณะที่อีกภาพหนึ่งวาดรูปนกและดอกไม้สะท้อนความงามของโลกวาดแบบกงปี่[1]

นี่เป็นห้องของใครกัน ใครวาดภาพเหล่านี้ เขียนตัวอักษรพวกนี้

ในคอกม้าที่ห่างไกล มีคนที่สามารถใช้กระดาษจากสือโจวอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้อย่างไรกัน ใครกันที่เขียนตัวอักษรและภาพวาดที่งดงามนี้

ในใจเขา เฉินฉางเซิงพอจะรู้คำตอบแล้ว

จากนั้นเขาก็เห็นลายเซ็นบนภาพวาดสองภาพ

[1] เสี่ยอี้กับกงปี่เป็นเทคนิคการวาดภาพแบบจีนโบราณ กงปี่เป็นการวาดแบบประณีตเหมือนจริงในขณะที่เสี่ยอี้จะไม่ชัดเจนสมจริงเท่า