ภาพวาดทั้งสองลงนามด้วยตัวอักษรหกตัว
‘ยอดขุนพลแห่งผาชัน’
ปฏิกิริยาแรกของเฉินฉางเซิงเมื่อเห็นลายเซ็นนี้ก็คือ ‘องอาจนัก’ ทว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าพวกมันช่างโดดเดี่ยวมาก
ข้าคือยอดขุนพล จะไม่ภูมิใจเมื่อมองไปรอบๆ ได้อย่างไร
แม้ว่าเข้าเป็นยอดขุนพลเพียงผู้เดียวในที่ห่างไกลอันเรียกว่าคอกม้าผาชัน
และข้าเป็นยอดขุนพลเพียงหนึ่งเดียว
ความองอาจและโดดเดี่ยวเป็นสองความรู้สึกที่ยากจะรวมกันได้ ทว่าตอนนี้พวกมันดูจะกระโดดออกมาจากกระดาษพร้อมกัน
เฉินฉางเซิงมองไปด้านหลังโต๊ะ เห็นชั้นหนังสือเต็มไปด้วยตำรา มีทั้งคำอรรถาธิบายเต๋าและนิยายทั่วไป แต่ก็มีลักษณะร่วมกันคือสะอาดอย่างมาก การทำเช่นนี้ในที่ซึ่งเกิดพายุทรายตลอดปีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เขาก็เข้าใจว่ามันทำได้อย่างไร
เขามักใช้วิธีการนั้นในการทำความสะอาดตำราในหอตำราของสำนักฝึกหลวง
เขาเดาได้แล้วว่านี่คือห้องของหลัวปู้ และตอนนี้เมื่อเขาคิดเรื่องการที่คนผู้นั้นมีของวิเศษเกี่ยวกับมิติอยู่กับตัวเขาก็เริ่มสงสัยมากขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นพุ่งมา เมื่อมองตามไปก็เห็นว่าเป็นนมเปรี้ยวครึ่งชามที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ เมื่อเห็นพื้นผิวราบเรียบของนมเปรี้ยวที่โรยด้วยงาและมีเชอร์รี่วางไว้ด้านบนก็ทำให้นิ้วเขากระตุก เขาไม่อาจต้านทานและยกชามใส่นมเปรี้ยวมาตรวจดู เขายืนยันว่ามันไม่ใช่อาหารของค่ายทหาร แต่เป็นของว่างที่หลัวปู้ทำให้ตัวเองเมื่อคืน
ตอนนี้ เฉินฉางเซิงเชื่อแล้วและถึงกับรู้สึกด้อยกว่าอยู่บ้าง
จากเมืองซีหนิงสู่จิงตู เขาได้พบกับคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรมากมายนับไม่ถ้วน ศิษย์พี่อวี๋เหริน โก่วหานสือ เจ๋อซิ่ว สวีโหย่วหรงและแม้แต่ตัวเขาเองก็เป็นคนประเภทนั้น อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยพบกับอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้มาก่อน อัจฉริยะในทุกด้าน
ใช่ ในสายตาของเฉินฉางเซิง เจ้าหน้าที่หนุ่มนามหลัวปู้น่าจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
โชคยังดี แม้ว่าคนผู้นี้จะมีทักษะด้านการแพทย์ เขาก็ยังไม่เก่งเท่าข้า เขาปลอบใจตัวเอง
เสียงโหยหวนของสายลมและทรายที่สาดซัดใส่ด้านนอกของหน้าต่างค่อยๆ จางลง มีเสียงผิวปากแหลมสูงดังมาจากระยะไกล ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า
เสียงตุบตับดังมาจากภายนอกเมื่อท่อนไม้เหนือประตูและหน้าต่างเปิดออกแล้วหลัวปู้ก็เดินเข้ามา
แสงแดดส่องเข้ามาในห้องอีกครั้ง ด้วยส่วนที่เหลือของพายุทราย แสงแดดที่ส่องเข้ามานำกลิ่นอายเก่าแก่โบราณเข้ามาในห้อง ดูงดงามทีเดียว
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วเกินไป เฉินฉางเซิงไม่มีเวลาจะวางถ้วยนมเปรี้ยวกลับไปบนชั้นหนังสือ
ทุกคนที่เห็นเขาต้องเชื่อว่าเขากำลังจะแอบกินนมเปรี้ยวเป็นแน่
หลัวปู้ก็คิดเช่นนั้น
บรรยากาศในห้องค่อนข้างกระอักกระอ่วน
ความเงียบดำเนินต่อไป
หลัวปู้หันกลับและเดินออกไปจากห้องแล้วกล่าว “ข้าจะไปดูหญ้าสักหน่อย”
……
……
สาเหตุที่ราชสำนักต้าโจวสร้างคอกม้าขึ้นในที่ห่างไกลและลึกเข้ามาในเทือกเขาอย่างผาชันก็เพราะทุ่งหญ้าในผาชันเต็มไปด้วยหญ้าน้ำค้างแข็งที่ม้ามังกรชื่นชอบ จึงเหมาะสมแล้วที่หลัวปู้ซึ่งเป็นผู้บัญชาการที่แห่งนี้จะไปดูสภาพทุ่งหญ้าหลังพายุทราย แต่เฉินฉางเซิงกับถ้วยนมเปรี้ยวในมือรู้ดีว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง เหมือนกับที่เขารีบพูดว่าเขาจะไปดูหญ้าเช่นกันเพื่อแก้ตัวในการวางถ้วยนมเปรี้ยวลงอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
พายุทรายหยุดลงแล้ว แต่ร่องรอยความเสียหายที่มันสร้างไว้ยังอยู่ ค่ายทหารและคอกม้าไม่เสียหายแต่กระท่อมหน้าไม้ต่อเนื่องสองหลังที่อยู่ไกลออกไปจำเป็นต้องซ่อมแซม และที่มีปัญหาที่สุดก็คือหญ้าน้ำค้างแข็งที่เติบโตบนทุ่งในตอนนี้อยู่ใต้ชั้นฝุ่นหนา
แม้ว่าม้ามังกรจะมีปัญหาทางอารมณ์เล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นสัตว์พาหนะที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการทำสงคราม แต่ไม่มีทหารม้าคนใดปฏิเสธความต้องการอาหารที่สะอาดของม้าพวกนี้ได้ หากหญ้าที่เติบโตบนเทือกเขานี้ไม่ล้างทำความสะอาด พวกมันจะไม่มีทางกิน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยจำนวนทหารที่อยู่ในคอกม้าผาชัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะล้างหญ้าทั้งหมดด้วยมือ ทั้งคนและม้าต่างก็ทำได้แต่รอให้มีฝนตกลงมาจากฟากฟ้า
บางทีเพราะเหตุนี้ ม้ามังกรหลายร้อยตัวที่เดินไปมาบนทุ่งหญ้าริมลำธารจึงค่อนข้างหงุดหงิด พวกมันจะส่งเสียงร้องไม่ก็เตะก้อนหินเป็นระยะๆ ทหารที่ด้านข้างก็สบถไปทำการซ่อมแซมไป
เมื่อร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ม้ามังกรก็เงียบสงบลงมาก พวกทหารก็เช่นกัน เปลี่ยนเป็นเงียบงันราวแมลงในฤดูหนาว
ร่างนั้นก็คือหลัวปู้
หลัวปู้ไม่ได้ตำหนิ แค่โบกมือเพื่อบอกให้ทุกคนกลับไปทำงาน
ทหารรู้ว่าวันนี้แม่ทัพของพวกเขาอารมณ์ไม่เลวและผ่อนคลาย
ในตอนนี้ องครักษ์ที่เคยเอายามาส่งได้เห็นเฉินฉางเซิงข้างกายหลัวปู้และร้องออกมาด้วยความตกใจ
พี่น้องนักปรุงยาที่ถูกช่วยของคอกม้าผาชันเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้สำหรับพวกทหารที่รู้สึกเบื่อและไม่เคยพบเจอกับเผ่ามารแม้แต่คนเดียว หลายคนรู้เรื่องนี้และได้ลอบเข้าไปในห้องนั้นเพื่อดูเฉินฉางเซิง พวกทหารที่เคยคุยกับเฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้ล้วนคุ้นเคยกับเขาและเดินเข้ามาเพื่อแสดงความยินดี
“เดี้ยงน้อย ในที่สุดเจ้าก็ลุกออกจากเตียงได้แล้วหรือ”
“เดี้ยงน้อย เดินได้แล้วหรือ”
“เดี้ยงน้อย เจ้ามารับแดดอย่างนั้นหรือ”
ทหารของคอกม้าผาชันเรียกเฉินฉางเซิงว่าเดี้ยงน้อยตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะเขายังหนุ่มมาก มีใบหน้าอ่อนนุ่มและติดอยู่กับเตียงเนื่องจากบาดเจ็บสาหัส ไม่มีเจตนาร้ายในฉายานี้และเฉินฉางเซิงก็เติบโตมากับศิษย์พี่อวี๋เหริน จึงไม่รู้สึกแย่สักเท่าไหร่กับเรื่องนี้ เขารู้สึกแค่ว่าเมื่อเส้นลมปราณแค่ฉีกขาดชั่วคราว เขาก็ไม่ใช่คนบาดเจ็บพิการจริงๆ ดังนั้นฉายานี้ออกจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับมันและต้องแก้คำพวกทหารอยู่ทุกครั้ง
แต่ยิ่งเขาปฏิเสธฉายานี้เท่าไหร่ พวกทหารคอกม้าผาชันก็ยิ่งสนุกปาก พวกเขาแค่อยากล้อเล่นแต่พวกทหารก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้างเมื่อพบว่าชายหนุ่มติดเตียงไม่เคยแสดงความโกรธออกมาบนใบหน้า มีแต่ความเรียบเฉยอยู่ตลอด
เหมือนกับตอนนี้
“ข้าไม่ได้พิการ”
เฉินฉางเซิงมองพวกเขาและอธิบาย “พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าข้าลุกออกจากเตียงและเดินได้แล้ว”
บางคนล้อ “เจ้าก็ยังเดินไม่สะดวกไม่ใช่หรือ ลองเดินให้ดูสักสองก้าวสิ”
เฉินฉางเซิงใช้กิ่งไม้พยุงก้าวไปสองก้าวอย่างเชื่อฟัง
เขาเพิ่งจะลุกจากเตียงได้เมื่อคืน จากนั้นก็เดินมาตลอด สำหรับร่างที่ยังอ่อนแอของเขา นี่เป็นภาระที่หนักพอสมควร ดังนั้นเมื่อเขาก้าวไปอีกสองก้าว จึงโงนเงนอยู่บ้าง ทำให้พวกทหารตกใจจนรีบก้าวเข้ามาพยุงเขา
องครักษ์ตะโกน “เลิกทำอวดเก่งได้แล้ว แล้วเจ้าเดินได้อีกสองก้าวมันมีความหมายอะไร พวกเราอยู่ในแนวรบ อยู่ในคอกม้า ไว้เจ้าขี่ม้าได้เมื่อไหร่เราจะนับว่าเจ้าหายดีแล้ว”
เขามีเจตนาดี แต่กับฝูงชนมันฟังเหมือนคำล้อเลียน ทำให้พวกเขาเริ่มหัวเราะกัน
ม้ามังกรที่เลี้ยงในคอกม้าผาชันเป็นพาหนะหลักของกองทหารม้าชุดดำ พวกมันกล้าหาญและดุดันอย่างมากในสนามรบ มีอารมณ์รุนแรงแต่ก็ขี้อายอย่างมาก แม้แต่ทหารม้ายอดฝีมือก็ยังต้องใช้เวลานับร้อยวันเพื่อสื่อสารกับม้ามังกรเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นและทำให้มันยอมเป็นพาหนะ ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงจำเป็นต้องให้คนอื่นช่วยพยุง แล้วเขาจะขี่ม้ามังกรได้อย่างไร
หลัวปู้ยังคงนิ่งเงียบตลอดเวลา ตอนนี้ริมฝีปากที่ซ่อนอยู่ใต้หนวดเคราก็โค้งเป็นรอยยิ้มจางในขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นเฉยชาอยู่บ้าง มีแต่คนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดจึงรู้ว่าอารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ดีเท่าไรนัก
เขาไม่พอใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชาล้อเลียนเฉินฉางเซิง
เขาต้องประหลาดใจ เฉินฉางเซิงไม่ได้โกรธ ถึงกับมีรอยยิ้มบนใบหน้า
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มจางๆ แต่ก็จริงใจมาก ไม่มีความโกรธเคืองแม้แต่น้อย
ม้ามังกรหลายร้อยตัวเดินมาจากริมลำธารเข้ามาในทุ่งหญ้า เมื่อแสงแดดยามเช้าค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น พวกมันก็มาถึงฝูงชน
ม้าตัวหนึ่งพลันหยุดลงและหันหัวมามองฝูงชน ที่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้น
ในที่สุดมันก็มองไปที่ร่างเฉินฉางเซิงและดูเหมือนจะคิดว่า เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้หัวเราะยินดีเรื่องใดกัน