บทที่ 898 เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 898 เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่

เกาเฉิงฮั่นมีสีหน้าตึงเครียด

การถูกท้าสู้อย่างซึ่งหน้าเช่นนี้

หากปฏิเสธ ยังจะเรียกตนเองว่าเป็นผู้มีพลังระดับเซียนได้อย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้น

อวี้ซือไป๋คนนี้ถือเป็นศัตรูของชาติ บุกมาเผชิญหน้าอย่างก้าวร้าว

หากเกาเฉิงฮั่นล่าถอยโดยไม่ได้ต่อสู้ ขวัญกำลังใจของผู้คนในนครหลวงจะเป็นอย่างไร? นั่นยังไม่ต้องพูดถึงว่ามันคงส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของนายทหารทั่วจักรวรรดิอีกมากมายนับไม่ถ้วน

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ…

เกาเฉิงฮั่นหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน

คุณชายหลินมองหน้าแม่ทัพหนุ่มใหญ่ด้วยความพิศวงพร้อมกับสอบถาม

“ท่านมองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ไม่ต้องมาโยนให้ข้าตัดสินใจ

ฝีมือที่สูงส่งของท่าน

ย่อมสามารถเอาชนะผู้มีพลังระดับเซียนขั้นที่สองหรือขั้นที่สามได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว”

เกาเฉิงฮั่นยิ้มกว้างอวดฟันขาว

“จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากลองดู”

“แต่ระมัดระวังด้วยนะขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพยายามกระซิบบอก

“ต้องอย่าลืมว่าท่านไม่ได้มีพลังวิเศษอย่างข้า พี่ใหญ่เกา

ท่านไม่รู้หรอกว่าพวกเกมเมอร์เก่ง ๆ เนี่ย

ถูกตบคว่ำมานักต่อนักแล้วเพราะว่าประมาทคู่แข่งมากเกินไป”

“อะไรนะ?”

เกาเฉิงฮั่นขมวดคิ้วด้วยความมึนงง

“เกมเมอร์ที่เจ้าพูดถึงคืออะไร?”

“ให้ตายสิ…

ท่านไม่เข้าใจที่ข้าพยายามสื่อความหมายเลยสินะ”

หลินเป่ยเฉินพูดตัดบทด้วยการส่ายศีรษะและไม่อยากจะพูดคุยกับเกาเฉิงฮั่นอีกต่อไป

“ประเสริฐ

ถ้าอย่างนั้นเราจะต่อสู้กันที่ไหนดี?”

เกาเฉิงฮั่นสูดหายใจลึกก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“เจ้าบ้านย่อมไม่เอาเปรียบแขกผู้มาเยือน

ข้าคือเจ้าบ้าน เจ้าเป็นแขกผู้มาเยือน วันเวลาและสถานที่ ให้เจ้าเป็นผู้กำหนด”

เสียงของแม่ทัพใหญ่ดังกังวานทั่วแผ่นฟ้า

ได้ยินไปไกลหลายสิบลี้

พื้นดินถึงกับสั่นสะเทือน

“ประเสริฐ”

เสียงที่ฟังแสบหูดังมาจากแผ่นหลังของอินทรียักษ์อีกครั้ง

“สมแล้วที่ได้รับฉายาเซียนกระบี่ขี้เมาแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่

ช่างแข็งแกร่งและมีความรับผิดชอบสมกับชายชาตรี… อีกสี่วันหลังจากนี้ ยามบ่าย

ข้าจะไปรออยู่ที่…”

หลังจากบอกสถานที่สำหรับการต่อสู้เรียบร้อย

นกอินทรียักษ์ก็โผบินไปในท้องฟ้า

ปีกสีเขียวมรกตของมันกระพือพัดไม่กี่ครั้ง

ร่างกายก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว

นี่หรือคือความน่ากลัวของอินทรีอสูรปีกมรกต?

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว

นับเป็นสัตว์อสูรที่น่าสนใจ

เกาเฉิงฮั่นผู้ยืนอยู่ด้านข้างมีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์

แต่พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาค่อย

ๆ จางหายไป

ทันใดนั้น

เขาหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและเริ่มปล่อยพลังกดดันออกมาอีกครั้ง…

เนื่องจากเห็นหลินเป่ยเฉินพยายามกลั้นยิ้ม

และแววตาของเด็กหนุ่มก็บอกชัดถึงความตลกขบขัน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลินเป่ยเฉินพยายามเต็มที่ที่จะไม่หัวเราะเยาะฉายาประจำตำแหน่งผู้มีพลังระดับเซียนของเกาเฉิงฮั่น

“เจ้าต้องการจะพูดสิ่งใด?”

เกาเฉิงฮั่นถามด้วยแววตาดุร้าย

น้ำเสียงแข็งกระด้าง

หลินเป่ยเฉินหลุดหัวเราะออกมาพรืดใหญ่

เขาต้องยกมือข้างหนึ่งกุมท้องของตนเอง

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดสิ่งใด”

เกาเฉิงฮั่นพูดเสียงห้วน

“แต่ข้าขอแนะนำเจ้า… จงหุบปากให้สนิท อย่าได้บอกใครเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินทนกลั้นขำอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว

เด็กหนุ่มหัวเราะจนตัวโยน

น้ำหูน้ำตาไหล “ฮ่าฮ่าฮ่า เซียนขี้เมา ฮ่าฮ่าฮ่า

เซียนกระบี่ขี้เมา… ฮ่าฮ่าฮ่า ฟังดูไร้ราคามากเลยขอรับ… ไม่แปลกใจเลยที่…

ฮ่าฮ่า… ไม่แปลกใจเลยที่ตอนที่ข้าถามท่านเรื่องนี้…

ท่านก็รีบตัดบทไม่ยอมตอบคำถามของข้า… ที่แท้ก็เป็นเพราะว่า…

ที่แท้ก็เป็นเพราะว่า… ฮ่าฮ่าฮ่า!”

หลินเป่ยเฉินล้มลงไปนอนหัวเราะตัวงออยู่บนพื้นดิน

ก๊าก! ก๊าก! ก๊าก!

“ฮ่าฮ่าฮ่า

เซียนกระบี่ขี้เมา ฮ่าฮ่าฮ่า…”

หลินเป่ยเฉินกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นด้วยความตลกขบขัน

เกาเฉิงฮั่นพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น

ดวงตาเป็นประกายดุร้ายขณะพูดว่า “ตอนที่ข้าไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการนั้น

ข้าเพียงดื่มสุรามากเกินไป แม้สามารถขึ้นทะเบียนได้สำเร็จ

แต่เจดีย์แห่งนั้นกลับตั้งฉายาบัดซบให้ข้าเช่นนี้”

“ฮ่าฮ่าฮ่า

ข้ารู้ขอรับ พี่ใหญ่เกา ข้าจะเป็นกำลังใจให้ท่าน”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะต่อเนื่อง

ใช้กำปั้นทุบพื้นดิน พยายามควบคุมตัวเองไม่หัวเราะสุดความสามารถ

เกาเฉิงฮั่นยิ้มมุมปากเป็นเชิงเหยียดหยาม

“จริงหรือ? เก่งจริงเจ้ากล้ากลับไปขอฉายาใหม่ที่เจดีย์แห่งนั้นไหมเล่า

หึหึ ด้วยนิสัยใจคอของเจ้า รับรองได้ว่าฉายาใหม่ของเจ้า

ต้องไม่มีทางดีมากไปกว่าฉายาของข้าแน่”

หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักราวกับถูกสายฟ้าฟาด

รอยยิ้มบนใบหน้าหายวับไปแล้ว

เขารีบดีดตัวลุกขึ้นมายืน

กัดฟันถามว่า “ท่านหมายความว่าเจดีย์เซียนเหยียบเมฆแห่งนั้นมีบางอย่างผิดปกติใช่หรือไม่?

เหตุไฉนพวกเขาถึงได้ตั้งฉายาผู้มีพลังระดับเซียนในจักรวรรดิเป่ยไห่แปลกประหลาดพิสดารถึงเพียงนี้?”

เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้

ดวงตาของเกาเฉิงฮั่นก็ปรากฏความโกรธแค้นเล็กน้อย ราวกับได้พบเจอศัตรูคู่แค้นแต่ชาติปางก่อนอีกครั้ง

เซียนกระบี่ขี้เมายกมือกอดอกและกระทืบเท้า

กล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องโทษสุนัขผู้นั้น…

บุรุษผู้ทำหน้าที่พิทักษ์เจดีย์หาใช่มนุษย์ไม่

เขาทำให้เจดีย์เซียนเหยียบเมฆมีนิสัยเช่นนี้

ปัจจุบันหากเขาจะถูกไล่ฆ่าจนไม่สามารถอยู่ในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆได้

ข้าก็คงไม่สงสัยอีกแล้ว…”

เกาเฉิงฮั่นอธิบายให้หลินเป่ยเฉินฟังว่าเจดีย์เซียนเหยียบเมฆจะมีลักษณะนิสัยที่ถอดแบบมาจากผู้พิทักษ์ของมัน

และคนที่เขากำลังพูดถึงก็คือผู้พิทักษ์ถังฉงเยวียน

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เขาก็นึกแล้วเชียวว่าตอนที่ขึ้นทะเบียนได้เป็นผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำนั้น

ฉายาที่ได้รับแต่ละครั้ง ล้วนฟังดูไม่ปกติเลยสักครั้ง

“หากไม่ใช่ว่าบัดนี้ข้ายุ่งเกินไป

ข้าก็คงต้องลงนามเป็นผู้ไล่ล่าสุนัขพิทักษ์เจดีย์ตัวนั้น

เพื่อแก้แค้นให้แก่พี่ใหญ่แน่นอน”

หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด

เกาเฉิงฮั่นพยักหน้า ตอบว่า

“หากมีโอกาสในอนาคต

พวกเรามาร่วมมือกันไล่ล่าสุนัขตัวนั้นด้วยกันเถอะ… เอาล่ะ

บัดนี้เห็นทีข้าคงต้องขอตัวกลับไปเตรียมตัวสู้กับอวี้ซือไป๋ก่อนดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย

ก็พูดออกมา “เอาเป็นว่าบทที่ข้าให้ท่านไปก่อนหน้านี้…

ท่านส่งคืนมาก็ได้ เดี๋ยวข้าจะให้คนอื่นรับหน้าที่นี้เอง

พี่ใหญ่จะได้มีเวลาเตรียมตัวต่อสู้กับอวี้ซือไป๋ได้อย่างเต็มที่”

“ไม่จำเป็น”

เกาเฉิงฮั่นตอบกลับมาด้วยความมุ่งมั่น

“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไม่ถือเป็นการรบกวนข้าแต่อย่างใด”

พูดจบ

แม่ทัพหนุ่มใหญ่ก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างองอาจผ่าเผย

แต่เมื่อเดินไปถึงประตูแล้ว

เกาเฉิงฮั่นก็เหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันกลับมากำชับหลินเป่ยเฉินว่า

“น้องชาย อย่าลืมมาดูการประลองของข้าด้วย… เจ้าต้องเรียนรู้

จดจำและนำไปใช้”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบรับว่า

“ได้เลยขอรับ พี่ใหญ่”

เกาเฉิงฮั่นพยักหน้าด้วยความพอใจ

ก่อนจะเดินจากไปจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินจ้องมองแผ่นหลังของพี่ใหญ่เกา

ความเคารพเลื่อมใสปรากฏในแววตา

เด็กหนุ่มไม่ใช่คนโง่

เกาเฉิงฮั่นรู้ดีว่าตนเองเป็นรองอวี้ซือไป๋

แล้วเหตุไฉนถึงยังรับคำท้าสู้?

ความจริงนั้นมีอยู่หลายเหตุผลด้วยกัน

แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือการประลองระหว่างเขากับอวี้ซือไป๋จะช่วยทำให้หลินเป่ยเฉินได้มีโอกาสพิจารณาการต่อสู้ของอวี้ซือไป๋

เพื่อเอาไว้ใช้ในการประลองของตนเองต่อไป

และการต่อสู้กับเกาเฉิงฮั่นก็จะถือเป็นการตัดกำลังอวี้ซือไป๋ก่อนการประลองกับหลินเป่ยเฉินในภายหลังด้วยเช่นกัน

กล่าวโดยสรุปก็คือ

เกาเฉิงฮั่นรับคำท้าสู้ครั้งนี้… เพื่อหลินเป่ยเฉิน!!

ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับเกาเฉิงฮั่นเพียงรู้จักกันได้ไม่กี่เดือน

แต่เกาเฉิงฮั่นถึงกับยอมทำเพื่อเขาขนาดนี้เชียวหรือ?!!

หลินเป่ยเฉินได้แต่ยืนเหม่ออยู่หน้าประตูห้องรับแขกอยู่อย่างนั้น

ความรู้สึกอยากกลับสู่โลกมนุษย์ใบเก่าปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อไหร่ความรู้สึกเช่นนี้จะหายไปเสียที?

เกิดเป็นมนุษย์

ย่อมหลีกหนีบ่วงแห่งความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลงไม่พ้น มิหนำซ้ำ

บ่วงเหล่านั้นก็จะรัดพันผู้คนโดยที่ไม่มีวันรู้ตัวอีกด้วย

ต่อให้เกิดมาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์

เป็นยอดฝีมือแห่งแผ่นดิน เป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ถึงกระนั้น…

ทุกคนก็หลีกหนีบ่วงแห่งความรู้สึกเหล่านี้ไม่พ้นอยู่ดี

เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ผู้คนไม่อาจควบคุมได้

หลินเป่ยเฉินยืนเอามือไขว้หลัง

กำลังจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องรับแขก

แต่จังหวะนั้นก็เห็นหวังจงเดินจูงเสือดาวลายมังกรที่มีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงกลับเข้ามาพอดี

“เกิดอะไรขึ้น?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย

“ข้าให้เจ้านำมันไปขายไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงเอากลับมาอีก?

อย่าบอกนะว่าเสือดาวลายมังกรคือสัตว์อสูรที่ไม่มีผู้ใดต้องการ?”

หวังจงรีบตอบกลับมาโดยเร็ว

“มีคนต้องการขอรับนายน้อย มีคนต้องการมากมายเสียด้วย

แต่พวกเขาต้องการจ่ายเงินนำมันไปผสมพันธุ์กับสัตว์อสูรของตนเอง

นี่หวังจงก็ได้รับค่าจ้างมาหลายรอบแล้ว

แต่ถึงอย่างไรเสือดาวลายมังกรตัวนี้ก็ไม่ใช่เหล็กไหล วันนี้มันผสมพันธุ์มากเกินไป

ร่างกายจึงรับไม่ไหวอีกแล้วขอรับ”

มีคนต้องการจ้างเสือดาวลายมังกรตัวนี้ไปเป็นพ่อพันธุ์ในการขยายพันธุ์สัตว์อสูรของตนเองอย่างนั้นหรือ?

หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก

ใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล

ริมฝีปากของเขาสั่นระริก

เขาสั่งให้หวังจงนำมันไปขายไม่ใช่หรือ?

“หวังจง

ข้าขอถามเจ้าสักคำ เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่?”

แล้วเด็กหนุ่มก็วิ่งเข้าไปกระโดดถีบหน้าหวังจงเต็มแรง