บทที่ 899 ท่านคือชาวเป่ยไห่คนหนึ่ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 899 ท่านคือชาวเป่ยไห่คนหนึ่ง

หวังจงล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น

ชายชรายกมือปัดป้องพายุกำปั้นที่รัวเข้าใส่พร้อมกับส่งเสียงร้องครางด้วยความสุขสม

หลังจากถูกหลินเป่ยเฉินทุบตีมาเมื่อตอนเช้า

บัดนี้ เจ้าเสือดาวลายมังกรยังมีสภาพอ่อนระโหยโรยแรง

มันยืนตัวสั่นเทาอยู่ด้านข้างไม่ต่างจากสุนัขผู้ตื่นกลัว

จ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความหวาดผวาสุดชีวิต

ในสายตาของมัน

หลินเป่ยเฉินคือคนวิกลจริต

ก่อนหน้านี้

เสือดาวลายมังกรได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีอยู่ในคอกสัตว์อสูรส่วนพระองค์

ไม่เคยถูกมนุษย์ทุบตีหรือต้องใช้แรงงานหนักขนาดนี้มาก่อน

นี่คือครั้งแรกที่มันได้พบเห็นความเลวร้ายของสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์

ตอนแรกมันคิดว่าหลินเป่ยเฉินคือบุคคลที่เลวร้ายมากที่สุดแล้ว

แต่หลังจากถูกนำตัวเข้าสู่ตลาดการค้าสัตว์อสูร

และโดนบังคับให้ผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่น ๆ ตลอดทั้งบ่าย

เสือดาวลายมังกรผู้อ่อนต่อโลกถึงได้รู้ว่าหวังจงมีความเลวร้ายมากกว่าหลินเป่ยเฉินหลายเท่า

แต่มันคิดไม่ถึงเลยว่าชายชราที่เลวร้ายผู้นี้กลับไม่สามารถขัดขืนหลินเป่ยเฉินได้แม้เพียงนิด

สายตาที่เจ้าเสือดาวจ้องมองหลินเป่ยเฉินจึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง

นายน้อยท่านนี้คือปีศาจตัวจริง!

นายน้อยท่านนี้คือคนวิกลจริตผู้น่าหวาดกลัว!!!

“เจ้าตัวบัดซบ

รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำอะไรผิด?”

หลินเป่ยเฉินกระชากคอเสื้อหวังจงขึ้นมาถาม

หวังจงตอบตะกุกตะกักว่า

“ข้าน้อยผิดไปแล้ว แต่ข้าน้อยไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด

รบกวนนายน้อยช่วยบอกออกมา…”

“เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกสินะ”

หลินเป่ยเฉินยกเท้าถีบใส่ก้นของชายชรา

หวังจงเซถลาออกไปอย่างมีความสุข

เสแสร้งแกล้งเป็นเจ็บปวดขณะกล่าวด้วยความกระตือรือร้นว่า

“นายน้อยช่างเมตตาหวังจง

หวังจงขอสาบานว่าจะไม่แอบยักยอกศิลาบูชาของนายน้อยเก็บไว้เองอีกแล้ว

และหวังจงจะนำเสือดาวผีสางตัวนี้ไปขายเดี๋ยวนี้…”

“ศิลาบูชา?”

หลินเป่ยเฉินรีบรับถุงใส่ศิลาบูชาที่หวังจงส่งมาให้มานับดู

หลังตรวจสอบจนแน่ใจว่าพวกมันเป็นศิลาบูชาของจริง เด็กหนุ่มจึงพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น

“เจ้าคิดจะติดสินบนข้าด้วยศิลาบูชาอย่างนั้นหรือ? เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไร? เจ้าคิดว่าข้าอยากได้ศิลาบูชาพวกนี้มากหรือไร?

เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าถึงกับเคยมีเหมืองศิลาบูชาเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ”

หวังจงรีบอธิบายเร็วไว

“นี่ไม่ใช่การติดสินบนนะขอรับ นายน้อย

แต่นี่คือเงินค่าแรงของเจ้าเสือดาวตัวนี้

เมื่อตอนบ่ายมันรับจ้างผสมพันธุ์ไปทั้งหมดหกครั้ง ได้ค่าจ้างเป็นเงิน 15,000

เหรียญทองคำ แต่ด้วยสถานการณ์ที่กำลังปั่นป่วน

หวังจงจึงเห็นว่าสมควรแลกเปลี่ยนเหรียญทองคำเป็นศิลาบูชาแทนดีกว่า… ดังนั้น

หวังจงจึงไปหาคนรู้จักและแลกเปลี่ยนเหรียญทองคำเหล่านั้นขอรับ…”

หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบ

หืม?

สีหน้าของเขาเรียบเฉย

เด็กหนุ่มก้มมองถุงใส่ศิลาบูชาในมือ

เป็นของจริง

ไม่ใช่ของปลอม

หมายความว่า…

นี่คือช่องทางหาเงินอีกทางหนึ่งใช่หรือไม่?

เขาสูดหายใจลึก

ก่อนจะปั้นยิ้มและประคองหวังจงให้ลุกขึ้นยืนด้วยความทะนุถนอม

“ลุงหวัง ลุกขึ้นมาก่อน

ท่านทราบไหมว่าทำไมข้าถึงโกรธท่านขนาดนี้?”

หวังจงตาเหลือก

รีบขยับหนีออกมาจากเงื้อมมือนายน้อยของตัวเอง “นายน้อยอย่าเรียกหวังจงว่าท่านลุงเลยขอรับ

เรียกหวังจงเป็นสุนัขตัวหนึ่งยังดีกว่า หวังจงรับใช้นายน้อยมาหลายปี

หวังจงย่อมเข้าใจความคิดของนายน้อยมากกว่าผู้ใด

นายน้อยโกรธที่หวังจงไม่ได้นำเสือดาวลายมังกรตัวนี้ไปขายตามคำสั่ง…”

“ไม่ใช่เลย”

หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะทันที

เขาพูดด้วยน้ำเสียงของคนที่หัวใจแตกสลายว่า

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าทุบตีท่าน ที่ข้าดุด่าท่าน

นั่นเป็นเพราะว่าท่านเลือดเย็นและละโมบโลภมากเกินไป

ท่านไม่เห็นหรือว่าเสือดาวตัวนี้มันเป็นเพียงเด็กน้อย แต่ท่านกลับนำมันไปรับจ้างผสมพันธุ์กับสัตว์อสูรชั้นต่ำในตลาดการค้า

มิหนำซ้ำ ยังไม่เห็นความเหน็ดเหนื่อยของมันอยู่ในสายตา ท่านยังเป็นคนอยู่หรือไม่?

ทำไมท่านไม่เห็นใจเจ้าเสือดาวตัวนี้บ้าง?”

หวังจงยิ่งฟังยิ่งตัวสั่นเทา

หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ

“เสือดาวลายมังกรตัวนี้เกิดมาเป็นสัตว์อสูรระดับสูง

มันมีสายเลือดมังกร ซึ่งถือเป็นสัตว์วิเศษขั้นสูงสุดในโลกมนุษย์ เปรียบเสมือนดอกบัวงามที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

มีความสวยงามท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย…”

เดี๋ยวนะ

ดูเหมือนเขาจะใช้ประโยคนี้ผิดที่ผิดทางซะแล้วสิ

หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนคำพูดของตนเองใหม่

“เอาเถอะ สรุปว่ามันเกิดมาเป็นสัตว์อสูรระดับสูง

แล้วท่านพามันไปอยู่ในที่ชั้นต่ำอย่างนั้นได้อย่างไร? มิหนำซ้ำ

ยังให้มันไปคลุกคลีอยู่กับสัตว์อสูรระดับต่ำพวกนั้นโดยไม่นึกถึงความเหน็ดเหนื่อยของมันอีก”

สีหน้าของหวังจงแปรเปลี่ยนไปแล้ว

เขาเข้าใจความหมายในทุกคำพูดของนายน้อย

จึงรีบกล่าวว่า “หวังจงเข้าใจแล้วขอรับ

หวังจงจะว่าจ้างผู้คนมาเลี้ยงดูเสือดาวตัวนี้ให้ดีที่สุด

จากนั้นหวังจงจะประกาศโฆษณาว่ามันขอทำหน้าที่ผสมพันธุ์เพียงวันละครั้งเท่านั้น

แต่หวังจงจะปรับราคาค่าจ้างสูงขึ้นเป็นสองเท่า และมันจะรับเพียงคู่ผสมพันธุ์ที่เป็นสัตว์อสูรระดับสูงด้วยกันเท่านั้น…”

หวังจงเข้าใจในวิธีการดำเนินธุรกิจเช่นนี้เป็นอย่างดี

ไม่ต่างจากพวกหอนางโลมชื่อดังในนครเจาฮุย

ซึ่งนางคณิกาชื่อดังของพวกเขา ก็ออกรับแขกเพียงคืนละครั้งเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

นายน้อยก็คงต้องการเช่นนี้กระมัง?

ใช่แล้ว

แค่เปลี่ยนจากนางคณิกามาเป็นเสือดาวลายมังกร

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและตอบว่า

“นับเป็นความคิดที่ดี แต่อย่าตั้งราคาสูงมากเกินไปเลยดีกว่า

อีกอย่างผสมพันธุ์วันละครั้งมันน้อยเกินไป วันละสามครั้งข้าว่ากำลังพอดี

แล้วก็ไม่ถึงกับต้องว่าจ้างผู้คนมาดูแลมันหรอก เสียเงินเปล่า ๆ

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หน้าที่การดูแลเสือดาวลายมังกรตัวนี้

ข้าขอยกมันให้กับท่านลุงหวังเพียงผู้เดียว”

“นายน้อยวางใจได้เลยขอรับ”

ชายชราตบหน้าอกตนเองด้วยความมุ่งมั่น

“หวังจงจะดูแลเสือดาวตัวนี้ให้ดีที่สุด”

พูดจบ

หวังจงก็หมุนตัวจูงเสือดาวลายมังกรที่ตัวสั่นเทาราวกับกระต่ายน้อย

เดินกลับไปยังทิศทางของตลาดการค้าสัตว์อสูรอีกครั้ง

เมื่อเดินออกมาจากจวนซางจั้วหยวนแล้ว

ชายชราถึงเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ถ้าข้ามาดูแลเสือดาวตัวนี้

แล้วใครจะดูแลนายน้อยล่ะ?”

“หรือว่าข้าไม่ได้เป็นคนรับใช้คนโปรดของนายน้อยอีกต่อไปแล้ว?”

“แต่เจ้าหลินฮุนยังคงอยู่ในนครเจาฮุย

ส่วนเฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็มีวิธีการรับใช้นายน้อยแตกต่างไปจากข้า

เจ้าเซียวปิงก็เป็นบุคคลโง่งม มีค่าไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงเช่นอากวง นับดูแล้ว

ข้ายังคงเป็นคนรับใช้คนโปรดของนายน้อยอยู่ดีสินะ…”

“หุหุ

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล”

เมื่อหวังจงคิดได้เช่นนี้

เขาจึงสามารถเดินออกมาอย่างมีความสุข

เย็นย่ำค่ำแล้ว

หลินเป่ยเฉินนั่งตั้งค่าแอปพลิเคชันต่าง

ๆ ในโทรศัพท์มือถือจนเสร็จเรียบร้อย

ก่อนที่เขาจะนำตัวสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจินมาถ่ายทอดสดการเดินเล่นในถนนฮัวเติ้งฉู่ซาง

สำหรับผู้มีพลังระดับเซียน

แค่ถ่ายทอดสดการเดินเล่นริมถนนก็สามารถหาเงินได้มากมาย

ไม่ต้องใช้ความยากลำบากใด ๆ เลย

ระหว่างเดินท่องเที่ยวไปตามตรอกซอกซอยหลายแห่ง

หลินเป่ยเฉินก็เปิดแอปไป่ตู้ แมป พยายามค้นหาชื่อของฉู่เหินไปด้วย

การหายตัวไปของยอดฝีมือทั้งสิบคนคือเรื่องที่แปลกประหลาดมากเกินไป

หลินเป่ยเฉินไม่สามารถพึ่งพาองค์ชายเจ็ดและขันทีชราจางเชียนเชียน

เพราะโทรศัพท์มือถือของเขาน่าจะพึ่งพาได้มากกว่า

แต่น่าเสียดายที่หลังจากอัปเกรดอุปกรณ์แล้ว

ความสามารถของแอปไป่ตู้ แมปก็ยังมีจำกัดอยู่ดี

มันจะสามารถหาตำแหน่งของผู้คนได้ในระยะทางที่กำหนดเท่านั้น นครหลวงมีพื้นที่กว้างใหญ่มากเกินไป

แอปไป่ตู้ แมปจึงไม่สามารถหาตัวเขาได้เหมือนตอนที่หาพวกของกงกง ซึ่งพบเจอในเมืองเล็ก

ๆ อย่างเมืองหยุนเมิ่ง

ในเมื่อขณะนี้ยังไม่มีเบาะแสใด ๆ

หลินเป่ยเฉินจึงทำได้เพียงเดินค้นหาไปทั่วนครหลวงเช่นนี้เอง

วันต่อมา

อีก 23 ชั่วโมงจะถึงกำหนดการเดินขบวนขับไล่หลินเป่ยเฉินจากกลุ่มศิษย์สำนักศึกษา

ในเวลาเดียวกันนี้

อากวงกลับมาแจ้งข่าวเป็นระยะ

ตอนบ่าย

พวกของหลี่ซิวเยวียนมาปรากฏตัวที่โรงเตี๊ยม

หลังได้พบกับกู่เทียนเล่อ

พวกเขาก็ออกเดินทางไปพร้อมกัน

คืนนั้น

มีผู้คนบุกรุกสำนักแสงตะวัน

ในห้องฝึกวิชาของท่านจ้าวสำนัก

ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่ามีการป้องกันหนาแน่น

หากไม่ใช่ผู้มีพลังระดับเซียนก็ยากที่จะบุกฝ่าเข้าไปได้

ทว่าตู้กู่จิงหงกลับพบเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญถึงสามคน

“พวกเจ้าเข้ามา…

ได้อย่างไร?”

ตู้กู่จิงหงลุกขึ้นยืนราวกับมังกรถูกเหยียบหาง

จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน

เยวียนเหวินจวิ้นและตู้กู่อู๋อิงที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

“ท่านพ่อ…”

ตู้กู่อู๋อิงมองหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดด้วยแววตาเป็นประกายเศร้าโศก

ตลอดเวลาที่ผ่านมา

บิดาของนางเป็นเจ้าสำนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครหลวง ควบคุมผู้คนนับหมื่น

มีท่าทางองอาจผ่าเผยและหนุ่มแน่นเกินวัย แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น บัดนี้

บิดาดูแก่ลงไปหลายปี แม้แต่เส้นผมดำขลับก็เริ่มหงอกขาวแล้ว

“เป็นเจ้าเองหรือ?”

ตู้กู่จิงหงมองหน้าบุตรสาวของตนเอง

ทันใดนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเมื่อนึกอะไรได้บางอย่าง

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ

ท่านพ่อ ลูกพาศิษย์พี่กู่เทียนเล่อและอาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นมาด้วย

พวกเขายินดีที่จะช่วยเหลือพวกเรา ข้ารู้ว่าศิษย์พี่กู่มีพลังระดับเซียน

เขาจึงพาพวกเราเข้ามาที่นี่ได้อย่างไม่มีปัญหา”

ดวงตาของตู้กู่อู๋อิงเป็นประกายขอร้องอ้อนวอน

“บัดนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะหันหลังกลับนะเจ้าคะ

ศิษย์พี่กู่และอาจารย์เยวียนรับปากว่าหากท่านยอมเปิดเผยความลับออกมา…”

เยวียนเหวินจวิ้นไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป

รีบรับช่วงกล่าวต่อว่า “ท่านประมุขตู้กู่ นี่คือโอกาสดีที่สุดที่ท่านจะได้กลับสู่อ้อมอกของแผ่นดินเกิดแล้ว

อย่าได้ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด

ไม่ว่าพวกจักรวรรดิจี้กวงจะทำดีกับท่านอย่างไร

แต่ท่านต้องไม่ลืมว่าตัวท่านคือชาวเป่ยไห่คนหนึ่งเช่นกัน”