หลังจากที่เขาใช้จิตสัมผัสสำรวจสร้อยข้อมือมิติสีดำแล้ว เขาก็รีบเก็บมันเข้าไปในมิติของเขาอย่างรวดเร็ว

“เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เจ้าลองไปสำรวจดูสิว่าคนที่หนีไปยังอยู่แถวนี้หรือไม่ ถ้าอยู่ก็แค่ฆ่าเขา” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สั่งเด็กคนนั้นออกไป

เมื่อราชาแมลงได้ยินดังนั้น เขาก็พยักหน้า และสะบัดตัวเล็กน้อย พร้อมกลายร่างเป็นสายรุ้งสีทองเดินทางออกไปทันที

ทางที่เขาไปนั้นเป็นทางที่ซานเฉวียนหลบหนีไป

เมื่อสั่งการเสร็จ หานลี่ก็ส่งลูกไฟเพลิงออกมาอีกครั้งศพและชิ้นส่วนของปู้เมี่ยกลายเป็นเถ้าธุลีไปหมดแล้ว

ในตอนนั้นเขายังเห็นหุบเขาทั้งหุบเขาปกคลุมด้วยเขตอาคมอยู่ ไอสังหารยังคงกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า อย่างไรเขาก็ไม่ควรประมาท เมื่อครู่ที่เขาต่อสู้กับหวงหยวนจื่อและนักพรตอีกสองคน แม้ว่าจะเป็นเวลาไม่นาน แต่เป็นไปไม่ได้ที่เหยียนลี่จะสัมผัสมันไม่ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น หานลี่ก็แบมืออกมาท่ามกลางความว่างเปล่า เมื่อแสงสีเขียวสว่างวาบ อักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกมา หลังจากมันควบรวมกันแล้วก็กลายเป็นกระจกแสงบานหนึ่ง

แรกเริ่ม กระจกแสงบานนี้ยังไม่ปรากฏภาพใดๆ

แต่เมื่อหานลี่สะบัดนิ้ว อักษรรูนสีทองก็พุ่งเข้าไปในบานกระจก ทันใดนั้นมันก็ส่งเสียงดัง และมีภาพสาวงามร่างบางคนหนึ่งปรากฏอยู่ในบานกระจก

คนนั้นก็คือ เหยียนลี่

แต่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง อย่างไม่อยากจะเชื่อผลของการต่อสู้

หวงหยวนจื่อและนักพรตอีกสองคน เป็นศัตรูที่น่ากลัวมาก พวกเขาอยู่ระดับเดียวกับชิงหยวนจื่อ แต่คิดไม่ถึงว่านักพรตทั้งสามจะถูกหานลี่จัดการ คนที่ฆ่าได้ก็ฆ่า คนที่หนีก็ยังตามหา ตอนนี้พวกนั้นก็ไม่สามารถมาคุกคามพวกเขาได้แล้ว

“สหายเหยียน หยวนเหยากับอาจารย์ชิงยังสบายดีอยู่ใช่หรือไม่” หานลี่ถามคนในกระจกอย่างใจเย็น

“อาจารย์ของข้าและน้องหยวนเหยาล้วนปลอดภัย จากนั้นแค่รอต้านทานทัณฑ์สวรรค์รอบสุดท้ายเท่านั้น พี่หาน พี่อยู่ระดับมหาเมธีแล้วหรือ” หลังจากที่เหยียนลี่ตอบคำถามเขาไปแล้ว เขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ดี

“หากข้าไม่ได้อยู่ระดับมหาเมธี ข้าจะสามารถฆ่าและขับไล่ศัตรูอย่างเมื่อครู่ได้อย่างไร ในเมื่อสหายชิงหยวนจื่อยังไม่ผ่านเคราะห์สวรรค์ เช่นนั้นข้าก็จะรออยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน รอเขาและแม่นางหยวนเหยาผ่านเคราะห์สวรรค์แล้ว ข้าจะไปเยี่ยมเขาด้วยตนเอง” หานลี่พูดเสียงเรียบ เขาไม่รอให้เหยียนลี่กล่าวตอบอะไร เขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป

ระลอกคลื่นจากแขนเสื้อไปกระทบที่กระจก กระจกบานนั้นก็แตกสลายกลายเป็นเพียงอักษรรูนและหายไปในอากาศ

หานลี่เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังหุบเขาบริเวณใกล้เคียง แล้วหาก้อนหินที่ไม่สกปรกเพื่อนั่งสมาธิ

เขารู้ดีว่า เมื่อในตอนนั้นที่เขาเริ่มเป็นสหายกับชิงหยวนจื่อ ความสัมพันธ์ของเขากับแม่นางหยวนเหยาก็ไม่ได้แน่นแฟ้นถึงขั้นสามารถร่วมเป็นร่วมตายขนาดนี้

เขาจึงไม่ได้บอกให้เหยียนลี่ยกเลิกเขตอาคม แต่เขากลับนั่งรอทัณฑ์สวรรค์สิ้นสุดที่ด้านนอกหุบเขาแทน

เมื่อเขานั่งได้แล้ว เขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นลำแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมา และหายไปท่ามกลางความว่างเปล่า นั่นคือยันต์ถ่ายทอดเสียง

หานลี่วางแผนจะใช้ยันต์นี้เพื่อส่งข่าวให้กับคนที่อยู่บนเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก เพื่อจะได้มารวมตัวกับเขาที่นี่

เมื่อเวลาผ่านไป บนท้องฟ้าก็ได้ยินเสียงดังครืนๆ เรือยักษ์สีดำขนาดใหญ่เท่ากับเนินเขาก็ปรากฏขึ้น

ภายในเขตอาคม เหยียนลี่ที่นั่งสมาธิอยู่บนวงแหวนเวทย์มนต์ เมื่อเธอมองภาพทิวทัศน์จากกระจกสำริดที่อยู่ด้านหน้า สายตาก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

สามวันต่อมา ภายในหุบเขา หลังจากมีเสียงทัณฑ์สวรรค์ระลอกสุดท้ายเกิดขึ้น เมฆอัสนีก็หายไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องของชิงหยวนจื่อ

เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสุข

“ยินดีกับสหายด้วยที่สามารถพ้นทัณฑ์สวรรค์ได้แล้ว” หานลี่ที่นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ ก็ลืมตาขึ้นทันที พร้อมกล่าวอวยพรเสียงเบา

แม้ว่าเสียงจะไม่ดังมาก แต่มันก็ก้องไปทั่วฟ้า

“ข้ายังไม่ได้ขอบคุณสหายหานที่ช่วยเหลือเลย ไม่เช่นนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะรอดพ้นจากการถูกรบกวนอย่างไร จริงสิ ข้าผู้เฒ่าต้องขอแสดงความยินดีที่เจ้าอยู่ระดับมหาเมธีแล้ว” ชิงหยวนจื่อส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที

เห็นได้ชัดว่าแม้เขาจะไม่สามารถแยกตัวออกมาได้ แต่เขาก็รู้เรื่องราวด้านนอกหุบเขาเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นคงไม่พูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจเช่นนี้

“สหายถ่อมตัวมากเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่ลงมือ ท่านก็น่าจะมีวิธีเตรียมรับมืออยู่แล้ว ข้าก็ถือว่าไปก้าวก่ายแผนการของท่านแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรสหายก็เพิ่งพ้นเคราะห์ทัณฑ์สวรรค์มา การฟื้นฟูปราณเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ข้าจะเฝ้าอยู่ด้านนอกอีกสองวัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนอื่นมารบกวน” หานลี่พูดอย่างไม่คิดมาก

“ในเมื่อสหายมีความหวังดีเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ สองวันหลังจากนี้ ข้าจะคารวะเจ้าเพื่อเป็นการขอบคุณด้วยตนเอง” หลังจากชิงหยวนจื่อครุ่นคิดไปสักพัก ก็ตอบตกลง จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรส่งกลับมาอีกแล้ว

เขาที่เพิ่งต้านทัณฑ์สวรรค์มา ยังต้องการโอสถเพื่อฟื้นบำรุงปราณภายใน

หลังจากที่หานลี่มองไปยังหุบเขาครู่หนึ่ง เขาก็หันไปมองหุบเขาที่สูงใหญ่อีกฝั่ง แววตาปรากฏรอยยิ้ม จากนั้นก็หลับตาลงทำสมาธิ

แทบจะในเวลาเดียว ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีทอง และสวมกวานสีทองทรงสูง ก็ปรากฏตัวขึ้นใต้ต้นไม้ยักษ์ในหุบเขาที่หานลี่เพิ่งมองไปเมื่อครู่

ชายคนนี้ท่าทางสง่างาม มีเคราสีดำยาวครึ่งชุน คนผู้นี้คือ มหาเมธี “จินเยี่ยนโฮ่ว” ที่เขาเคยเจอที่แม่น้ำอเวจี

เดิมทีผู้คนนี้ควรจะออกจากแม่น้ำอเวจีได้แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับมาปรากฏตัวที่ในหุบเขาของชิงหยวนจื่อ และเขาได้มาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องมาด้วยเจตนาร้ายแน่นอน

จินเยี่ยนโฮ่วในตอนนี้ เขามองหานลี่จากระยะไกลๆ ใบหน้าดูมืดครึ้มอย่างมาก จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง และร่างกายของเขาก็หายไปในพริบตา

หลังจากที่เขาเห็นพลังของหานลี่และราชาแมลงกลืนทองคำแล้ว จินเยี่ยนโฮ่วผู้นี้ก็เปลี่ยนความคิดเดิมของตัวเองไปทันที

ยิ่งไปกว่านั้นสายตาที่หานลี่มองมาเมื่อครู่ เหมือนปกติที่มองผ่านแต่เขากลับรู้สึกใจเต้นแรงอย่างมาก เหมือนกับว่าหานลี่รับรู้ตัวตนของเขาแล้ว เขาจึงไม่กล้าซ่อนตัวอยู่ที่เดิมอีกต่อไป

เวลาต่อมา จินเยี่ยนโฮ่วผู้นี้ได้ปรากฏตัวที่บนท้องฟ้าที่ห่างออกไปในระยะหมื่นลี้ จากนั้นเขาก็กลายร่างเป็นแสงสีทองแล้วบินกลับถ้ำไป

“คิดไม่ถึงจริง เมื่อร้อยปีก่อนเขายังเป็นเพียงเด็กที่อยู่ระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น ตอนนี้ไม่เพียงแต่อยู่ระดับเดียวกับข้าแล้ว ยังสามารถฆ่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย ส่วนเจ้าคนตัวเล็กสีม่วงทองนั้นก็เก่งกาจมาก ไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรที่น่ากลัวเช่นนั้นอยู่…” จินเยี่ยนโฮ่วกระตุ้นพายุให้เดินไปด้านหน้า พร้อมครุ่นคิดด้วยสีหน้ามืดมน

สองวันต่อมา กลางห้องโถงที่ดูเรียบหรู ชิงหยวนชิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน และฝั่งตรงข้ามของเขาคือหานลี่ ที่กำลังยกสุราคารวะเขาอยู่

แม้ว่าใบหน้าของเขายังจะดูซีดเซียว ลมปราณไม่มั่นคง แต่อารมณ์ของเขาก็ดีเป็นพิเศษ

หยวนเหยาและเหยี่ยนลี่ยืนอยู่ด้านหลังของชิงหยวนจื่อ พวกนางใช้สายตามองจูกั่วเอ๋อร์และ

เซวี่ยพั่วอย่างสงสัย

ก่อนการโดนลงทัณฑ์สวรรค์ หยวนเหยาเข้ามาช่วยชิงหยวนจื่อตามคำขอร้องของอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้รับการแว้งกัดอันใด เมื่อเขาเดินออกจากหุบเขามาก็ถือว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

แต่ว่าหลังจากที่นางรู้ว่าหานลี่อยู่ระดับมหาเมธีแล้ว หยวนเหยาก็ตกใจเช่นเดียวกับเหยี่ยนลี่ ปากเล็กๆ อ้าค้างอยู่เป็นเวลานาน

หานลี่จ้องมองไปที่ใบหน้าของหยวนเหยา แล้วรู้สึกว่านางน่ารักมาก จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้

“พูดตามตรง แม้ว่าข้าจะรู้ว่าสหายหานมีความสามารถไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าช่วงที่เราไม่ได้เจอกันไม่กี่ปี เจ้าจะมาอยู่ระดับนี้ได้แล้ว ซ้ำยังสามารถฆ่าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของข้าได้ด้วย ดูๆ ไปแล้ว เหมือนว่าตอนแรกข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ” ชิงหยวนจื่อพูดกับหานลี่เสียงเรียบ

“สหายชิงคิดมากไปแล้ว ความสามารถของข้าล้วนธรรมดา หากไม่ได้เข้าไปในแดนมาร และได้รับโชคจากที่นี่ ข้าคงไม่ได้เป็นมหาเมธีได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ หลังจากสหายชิงผ่านด่านเคราะห์ครั้งนี้แล้ว ท่านจะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสขึ้นไปบนแดนเซียนได้ด้วย” หานลี่พูดอย่างยิ้มๆ “ถ้าหากเจ้าไม่ใช่คนพิเศษ จะได้โอกาสแบบพิเศษได้อย่างไร อย่างน้อยผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ทั่วไปก็ไม่กล้าเข้าไปในแดนมารแน่นอน หมายความว่าสหายหานนั้นแตกต่างจากคนทั่วไปนัก อย่างนี้ที่ข้าพ้นจากด่านเคราะห์ในครั้งนี้ ก็น่าจะมีชีวิตได้อีกหลายปี ส่วนเรื่องขึ้นไปที่แดนเซียนนั้น แค่คิดข้ายังไม่กล้า สหายหานยังหนุ่มนัก ในตอนนี้ยังมีพลังขนาดนี้ ถือว่ามีโอกาสเป็นไปได้มากนัก” ชิงหยวนจื่อโบกมือปฎิเสธ

“หึๆ เรื่องขึ้นไปอยู่บนแดนเซียนนั้น ยังถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับข้ามาก ต้องฝึกฝนอย่างหนักตลอดหมื่นปี ไม่เช่นนั้นแล้วโอกาสหนึ่งในล้านยังไม่มี” หานลี่ตอบอย่างถ่อมตัว

“ฮ่าๆ เวลาไม่กี่หมื่นปีสำหรับข้านั้น ถือว่าแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เดิมทีไม่รับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่หากสหายหานต้องการไปแดนเซียนแล้วจริงๆ ล่ะก็ เตรียมตัวไว้ก่อนก็น่าจะดี”

“อ่า หรือว่าสหายชิงไปรู้อะไรมา…” สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ถึงอย่างไรข้าก็แก่กว่าเจ้า ย่อมรู้เรื่องพวกนี้ดีเป็นธรรมดา หากมีวันใดเจ้าต้องการขึ้นไปที่แดนเซียนจริงๆ ก็ต้องเตรียมผ่านด่านเคราะห์ล่วงหน้า เพื่อปกป้องเรื่องไม่คาดฝัน หากสหายหานไม่รังเกียจล่ะก็ ข้าก็ยินดีแบ่งปันประสบการณ์ให้เจ้า” ชิงหยวนจื่อพูดโดยไม่ครุ่นคิด

“เช่นนั้นถือว่าเป็นเกียรติของข้าแล้ว” แน่นอนว่าหานลี่ไม่ปฏิเสธเรื่องดีๆ แบบนี้แน่นอน จึงตอบตกลงทันที

เวลาต่อมาหานลี่และชิงหยวนจื่อก็ได้พูดคุยเรื่องด่านเคราะห์และแดนเซียนกันอย่างออกรส

พวกเขาสนทนากันนานครึ่งค่อนวัน จากนั้นถึงจบหัวข้ออย่างโล่งใจ

ในตอนนั้นหานลี่ก็มองไปที่หยวนเหยาแล้วถามชิงหยวนจื่ออย่างใจเย็น

“สหายชิง ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะอยากรู้ว่าท่านกับแม่นางหยวนเหยาเป็นอย่างไรกันบ้าง เดิมทีก็ไม่ได้มีความหมายอื่น แต่ตอนนี้สหายชิงได้ผ่านด่านเคราะห์แล้ว และแม่นางทั้งสองก็ได้กลับร่างมนุษย์แล้ว ข้าจึงอยากพาแม่นางทั้งสองกลับไปที่เผ่าของพวกนาง ท่านจะว่าอย่างไร”