คนรับใช้พยายามยื่นข้อเสนอต่างๆรวมถึงแอบกล่าวคำขู่ออกไปบ้างว่าสภานะของแขกทั้งสองที่ต้องการใช้ห้องอาหารส่วนตัวไม่ใช่ตัวตนที่พวกหลิงฮันสามารถล่วงเกินได้
โสมเฒ่า เจ้ากระต่ายและทุกคนต่างปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยเฉพาะเจียนเยว่ซวนและเหล่าศิษย์ที่เลือดร้อน พวกเขาปฏิเสธที่จะลุกจากโต๊ะเพื่อรอดูหน้าแขกสองคนที่ว่า
“ยังจัดการไม่เรียบร้อยอีกรึ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส
ช่างคุ้นหู
หลิงฮันกล่าวในใจ เสียงนั่นรึว่าจะเป็นเซียงเฉิงหยิน?
เมื่อตอนที่เขาเพิ่งมาถึงดาวดวงนี้จากการเปิดสวรรค์ เป็นเซียงเฉิงหยินที่ผู้อาวุโสฝ้ายซ้ายส่งมารับจักรวรรดิต้าหลิงให้ไปอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ ในตอนแรกความสัมพันธ์ของเขากับอีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่นัก แต่ยิ่งหลิงฮันเข้าไปพัวพันกับปัญหามากขึ้น เซียงเฉิงหยินก็ตีตัวออกห่างจนพวกเขากลายคนแปลกหน้า
โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเตือนไม่ให้หลิงฮันใกล้ชิดกับหลี่เหว่ยเหว่ยเกินไป เซียงเฉิงหยินย่อมอยู่ฝั่งเดียวกับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและตัดขาดกับหลิงฮันอย่างสมบูรณ์
และเมื่อหลิงฮันเดินทางไปยังดาวเฟยหยุนเขาก็ไม่ได้พบกับเซียงเฉิงหยินอีกเลย
ไม่ได้พบกับอีกฝ่ายมาเป็นเวลาหลายปี ไม่สิ… พูดตามหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วระยะเวลาไม่กี่สิบปีไม่สามารถเรียกได้ว่าหลายปี เซียงเฉิงหยินเองก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนใดๆไปจากเดิม เขายังคงเลียแข้งเลียขาผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอยู่ตลอด โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและขวาเป็นผู้รับหน้าที่ดูแลสถานการณ์ทั้งหมดของจักรวรรดิ ความโอหังของเซียงเฉิงหยินก็พุ้งทะยานสูงเสียดฟ้า
“นายท่านเซียง โปรดรอซักครู่ ห้องส่วนตัวนี้จะถูกจัดเตรียมในไม่ช้า” คนรับใช้เหงื่อตก ในเวลานี้ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการล่วงเกินเซียงเฉิงหยิน ไม่ใช่แค่คนต่ำต้อยเช่นเขา แม้แต่ปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราก็ไม่กล้า ตราบใดที่เซียงเฉิงหยินนำเรื่องของพวกเขาไปใส่ร้ายให้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายฟัง พวกเขาคงจบสิ้น
“ฮึ่ม คนในห้องนั้นเป็นใครกัน ช่างกล้านักที่มัวแต่ลีลา!” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับรุ่นเยาว์คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เขาเป็นจอมยุทธที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับภูผาวารี แต่ท่าทางของเขากลับหยิ่งยโสโอหังราวกับอยู่เหนือสวรรค์
สิ่งที่เขาเข้ามาเห็นไม่ใช่เพียงคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ในห้อง แต่ยังมีกระต่ายและโสมที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าของเขากระตุกทันทีที่เห็น
ถึงแม้สัตว์อสูรจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด แต่การที่พวกมันมาอยู่ร่วมกับมนุษย์โดยเฉพาะในเมืองหลวงเช่นนี้เป็นภาพที่เขาไม่คุ้นเคยเท่าไหร่
ยิ่งกว่านั้นสตรีทั้งสามคนที่อยู่ในห้องก็ยังงดงามมากอีกด้วย หนึ่งคนเป็นสตรีวัยแรกแย้ม หนึ่งคนเป็นสตรีมีออร่าความเป็นผู้ใหญ่ ในขณะที่สตรีคนสุดท้านนั้นมีเสน่ห์อันน่าย้ำยวนที่สุด นางงดงามหาใครเปรียบราวกับเป็นจักรพรรดินีแห่งดาราในตำนาน เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้ผู้คนสูญเสียสมาธิ
แต่อย่างไรสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ก็ไม่ใช่จักรพรรดินีแห่งดารา รุ่นเยาว์ผู้นี้รีบดึงสติกลับมาก่อนจะกล่าวอย่างอวดดี “พวกเจ้าเป็นใคร?”
ใครขณะเดียวกัน เซียงเฉิงหยินเองก็เดินเข้ามาในห้อง แต่เพราะมุมที่เขายืนอยู่ทำให้มองไม่เห็นหลิงฮัน และด้วยการที่หลิงฮันปิดบังออร่าของตนเองเอาไว้ทำให้เขาไม่สามารถตรวจจับพลังของหลิงฮันได้อีกเช่นกัน
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางคาดคิดเอาไว้ว่าหลิงฮันนั้นก้าวเข้าสู่ระดับดาราแล้ว ซึ่งสามารถทุบตีผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้อย่างง่ายดาย!
ท่าทีของเซียงเฉิงหยินเองก็หยิ่งยโสไม่แพ้กัน ถึงแม้สถานะของเขาจะไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่การที่มีผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหนุนหลังทำให้เขามั่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก
เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าเหล่าคนในห้องนี้มีออร่าอันทรงพลัง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ
จอมยุทธระดับดาราในจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะนั้นมีเพียงหยิบมือ ดังนั้นคนเหล่านี้ไม่มีทางเป็นปรมาจารย์ระดับนั้นแน่นอน อย่างมากคนเหล่านี้ก็คงเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แต่เขาจำเป็นต้องกลัวอะไรกับตัวตนระดับนั้น? ไม่เพียงแค่ไม่กลัว แต่แม้แต่ตัวตนระดับสุริยันจันทราก็ต้องไว้หน้าเขา!
ยกตัวอย่างเช่นรุ่นเยาว์ที่ชวนเขามาดื่มในวันนี้คืออัจฉริยะนามว่าหลู่โหย่วจิงแห่งตระกูลหลู่ที่เป็นขุมอำนาจระดับสุริยันจันทรา ครั้งนี้เขานัดพูดคุยกับอีกฝ่ายก็เพราะต้องการหมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลู่
ต้องรู้ก่อนว่าไข่มุกของตระกูลหลู่นั้น ในไม่กี่ปีมานี้ได้เติบโตงดงามจนกลายเป็นสี่สตรีงามแห่งเมืองจักรพรรดิ
แม้เซียงเฉิงหยินจะชื่นชอบหลี่เหว่ยเหว่ย แต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าในสายตาของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย เขาเพียงเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้มีรึที่เขาจะนำหลี่เหว่ยเหว่ยมาเป็นภรรยาได้?
ดังนั้นเขาจึงตัดใจเปลี่ยนเป้าหมายเป็นยุตรสาวของตระกูลหลู่ที่งดงามไม่แพ้หลี่เหว่ยเหว่ย ตระกูลหลู่เองก็มีผู้นำที่เป็นถึงตัวตนระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง
การได้เป็นลูกเขนตระกูลหลู่นั้นจะทำให้เซียงเฉิงหยินได้รับผลประโยชน์มากมายและตระกูลหลู่ก็จะมีเส้นสายกับผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย กล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับผลประโยชน์กันทั้งคู่
เซียงเฉิงหยินตอนนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจที่สูงส่งราวกับสวรรค์ ตราบใดที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเจ็ดแม่ทัพเขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวใคร
โสมเฒ่าทุบโต๊ะและกล่าว “ข้าคือท่านปู่ของเจ้าไง่ล่ะ!”
หลู่โหย่วจิงกลายเป็นเกรี้ยวกราด เหตุใดโสมต้นนี้ถึงได้อันธพาลเพียงนี้?
“พวกเจ้าทั้งหมดใสหัวไปแต่โสมต้นนี้ต้องอยู่ต่อและกลายเป็นซุป!” หลู่โหย่วจิงกล่าว การที่สมุนไพรมีสตินึกคิดจนเคลื่อนไหวเองได้นั้นประสิทธิภาพของมันจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าสมุนไพรในระดับเดียวกันไม่รู้กี่เท่าตัว
“คิดจะกินนายท่านโสมยังเร็วไปแสนปี! อย่าเจ้าได้กินแค่น้ำล้างเท้าของนายท่านโสมก็เพียงพอแล้ว!” โสมเฒ่ากระโดดขึ้นบ่นไหล่ของติงผิงและกล่าว “หนุ่มน้อยติง จัดการมันให้นายท่านโสม!” มันรู้ว่าศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้คือติงผิง
ติงผิงนั้นมีนิสัยใจเย็นไม่ได้กระหายเลือดเหมือนจิ่วเยา ไม่ได้รักสนุกเหมือนเจียนเยว่ซวน ไม่ได้เข้มงวดเหมือนเฉินหลุยเจียงและไม่เหมือนศิษย์อีกสองคนที่ฝึกฝนศาสตร์ปรุงยาอย่างหยุนหย่งหวังและคังซิวหยวน
ติงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง “พวกเรายังกินอยู่ ช่วยออกไปด้วย หลังจากกินเสร็จพวกเราจะไปเอง”
คำพูดของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความอ่อนน้อมหรือหยิ่งยโส แต่เป็นหลักความจริงที่ว่าพวกเขามาก่อนก็ต้องมีสิทธิ์ก่อน
“เยี่ยม ช่างกล้าหาญ!” หลู่โหย่วจิงมีสีหน้าเย็นชาแต่ก็ยังเลือกที่จะไม่ลงมือ
เขาสัมผัสได้ว่าติงผิงและคนอื่นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ต้องมีพลังบ่มเพาะสูงกว่าเขา ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์ผู้หนุนหลัง “พวกเจ้ารู้ถึงสถานะของพี่ใหญ่เซียงรึเปล่า? เขาคือผู้ติดตามที่ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่สุด!”
เขากล่าวอย่างอวดดีก่อนที่สายตาจะจดจ้องไปยังใบหน้าอันงดงามของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
ในเมืองจักรพรรดินี้เกรงว่าคงมีเพียงจักรพรรดินีที่งดงามกว่าสตรีนางนี้ ที่จริงก็เคยมีสุ่ยเยี่ยนยวี่ที่งดงามเทียบเท่ากับนาง แต่โชคร้ายที่หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมทำลายล้างขึ้นที่นิกายสวรรค์เยือกแข็ง นางก็สูญหายไปเลยโดยทุกคนต่างสงสัยไปในทางเดียวกันว่านางตายไปแล้ว
ด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมทำให้เขาเริ่มมีความกล้าที่จะคิดชั่ว