ภาคที่ 6 บทที่ 102 เผ่าหินผาเจ้าเล่ห์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 102 เผ่าหินผาเจ้าเล่ห์

ซูเฉินกระโจนเข้าไปใส่เผ่าวิญญาณและขังเอาไว้ในแดนพลังสูญทันที ก่อนเผ่าวิญญาณจะทันตั้งตัว ซูเฉินก็ส่งพลังจิตกล้าแข็งซัดเข้าใส่จิตใจศัตรูแล้ว

การบีบบังคับเพื่อเข้าควบคุมจิตใจของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่เผ่าวิญญาณคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ซูเฉินกำลังทำให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสการกระทำของตนเองบ้าง

มีแต่เขาที่พลังจิตมีมากกว่า 3,000 หน่วย และสามารถฝึกฝนสายเลือดนิมิตลาวัณย์จนเชี่ยวชาญจนจะสามารถล้วงความลับในจิตใจของเผ่าวิญญาณได้

และเมื่อเทียบกับเผ่าวิญญาณ วิธีของซูเฉินก็ดุดันกว่ามาก ทำให้เผ่าวิญญาณที่ถูกสอบปากคำต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

ซูเฉินไม่สนใจสักนิด ไม่นานก็ได้คำตอบที่ต้องการ

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ซูเฉินพึมพํา

ฟ้าว!

เงาร่างของซูเฉินกะพริบก่อนจะหายไปชั่วขณะ แล้วกลับมาปรากฏอีกครั้ง

เผ่าวิญญาณเมื่อก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ถูกแทนที่โดยผลึกพลังสูญที่ซูเฉินถือไว้ในมือ

ซูเฉินจึงเก็บผลึกพลังสูญไว้แล้วหยิบกล่องสื่อสารขึ้นมา “ข้าพบจุดซ่อนตัวหนึ่งของพวกมันแล้ว จึงติดต่อมาเพื่อยืนยันว่าเผ่าวิญญาณแอบซุ่มโจมตีพวกเราจริง แต่ไม่ได้ซุ่มโจมตีอยู่ใต้ดิน เป็นบนฟ้าต่างหาก”

“ท่านเจ้านิกายชาญฉลาดล้ำนัก!” ศิษย์คนอื่นได้ยินคำซูเฉินก็ร้องยินดี

“นายท่าน เผ่าวิญญาณพวกนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่?” กังเหยียนถาม

เขาติดนิสัยเรียกซูเฉินว่านายท่านไปแล้ว และก็เป็นคนเดียวที่เรียกเช่นนั้นได้เสียด้วย กังเหยียนรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่ตนนั้นแตกต่างจากศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคนอื่น ๆ

ซูเฉินอธิบายแล้ว ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าเผ่าวิญญาณสามารถหักล้างการไหลของพลังผันผวนที่นี่ได้แล้ว ตั้งแต่เมื่อ 8,000 ปีก่อน ทั้งยังสามารถหาวิธีนำมันมาใช้ได้ด้วย

พลังต้นกำเนิดผันผวนของเขาดูดนภาเป็นผลมาจากแดนพลังสูญที่ลอยตัวอยู่เหนือพื้นที่ รู้จักกันในชื่อแดนโกลาหล

แดนโกลาหลนั้นเต็มไปด้วยพลังงานรุนแรงไร้สิ่งใดยับยั้ง ทำให้ในแดนนั้นเองก็วุ่นวายโกลาหลมากพออยู่แล้ว แต่มันไม่เหมือนกับพลังสูญตรงที่แดนโกลาหลอย่างไรก็มีความโกลาหลเกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งแก่นแท้เช่นนี้ส่งผลต่อพลังต้นกำเนิดภายในนั้นมาก ทำให้พลังเกิดความปั่นป่วนไปด้วย

เหตุผลที่การไหลของพลังผันผวนปรากฏขึ้นในเขาดูดนภาเป็นเพราะคลื่นพลังจากแดนโกลาหลกระเพื่อมล้นออกมาจากภายใน ส่งผลต่อภายนอกไปด้วย

เมื่อเผ่าวิญญาณรู้ปัญหาข้อนี้แล้ว จึงเริ่มหาทางควบคุมการเปิดและปิดของแดนโกลาหล หาวิธีดึงเอาพลังงานผันผวนภายในออกมาเพื่อให้สามารถนำมันมาใช้ประโยชน์ได้

ลูกผลึกแก้วที่เผ่าวิญญาณใช้เมื่อก่อนหน้าใช้เพื่อเปิดทางเข้าแดนโกลาหล ทำให้สามารถสร้างพลังต้นกำเนิดผันผวนได้

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เผ่าวิญญาณสามารถนำคุณสมบัติของเขาดูดนภามาใช้ประโยชน์ได้เช่นนี้ แต่นับเป็นเรื่องผิดปกติที่พวกมันเก็บเป็นความลับต่อเผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ

เห็นได้ชัดว่าพวกมันเก็บเป็นความลับสุดยอด จะได้ใช้มันตลบหลังผู้บุกรุกในยามจำเป็น

ทางทฤษฎีแล้วก็เป็นความคิดที่ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ซูเฉินก็ยังมองมันออก

“เป็นเช่นนี้นี่เอง แล้วเราจะทำอย่างไรต่อดีนายท่าน?” กังเหยียนถาม

ซูเฉินหัวร่อ “ทำอย่างไรหรือ ก็ทำลายการควบคุมนั้นอย่างไรเล่า การควบคุมมีอยู่สองส่วน ส่วนหลักอยู่บนฟ้า ประกอบด้วยชั้นลอยที่ซ่อนอยู่ อีกส่วนหนึ่งอยู่ภายในภูเขา เผ่าวิญญาณบางส่วนได้กระจายตัวออกไปตามที่นั่น คอยจับตาดูเราเพื่อรอจังหวะใช้ลูกผลึกเหล่านี้เพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหวของเรา เนื่องจากพวกมันสามารถควบคุมพลังงานผันผวนได้ หากพวกเราพยายามต่อต้านด้วยกำลัง การไหลเวียนพลังผันผวนก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นนับร้อยเท่า แรงพลังเท่านี้ก็มากพอจะฉีกร่างเราหลาย ๆ คนเป็นชิ้นได้แล้ว ภารกิจของพวกเจ้าในตอนนี้คือการค้นหาที่หลบซ่อนของศัตรูและชิงเอาลูกผลึกแก้วมา เมื่อได้ลูกผลึกแก้วแล้ว เราก็จะสามารถหลบเลี่ยงแรงผันผวนพลังเหล่านั้นได้”

“รับทราบ!” ศิษย์ทั้งหลายตอบพร้อมกัน

ได้คำชี้แนะจากซูเฉินแล้ว ศิษย์ทั้งหลายก็หาที่ซ่อนของเผ่าวิญญาณพบได้ไม่ยาก

ไม่นานนัก กังเหยียนก็พบว่าตนอยู่ใกล้กับทางเข้าถ้ำลับแห่งหนึ่ง

เขาไร้ความสามารถในการเคลื่อนกายเช่นซูเฉิน แต่ก็มีวิธีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนอยู่

ตู้ม!

กังเหยียนกระแทกหมัดเข้าใส่ผิวภูเขา สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งบริเวณ

ก้อนหินกระจายไปทั่ว ฝุ่นควันพลันปรากฏ

เผ่าวิญญาณลอยออกมาจากซากปรักหักพัง

“เผ่าหินผา!” เผ่าวิญญาณส่งเสียงด้วยความรังเกียจ

ในสายตาเผ่าวิญญาณ เผ่าอื่นทุกเผ่านับว่าด้อยกว่า แต่ด้อยกว่าเท่าไหร่นั้นก็แตกต่างกัน เผ่าหินผาที่เป็นข้ารับใช้และไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ถูกมองว่าด้อยกว่ามาก ความสูงต่ำระหว่างพวกมันกับเผ่าหินผานั้นแตกต่างราวกับยามมืดและยามสว่าง

แล้วมีหรือที่เผ่าวิญญาณจะไม่รู้สึกรังเกียจเมื่อเผ่าหินผาพังทางเข้าเข้ามายังรังลับของพวกมัน

แม้จะถูกค้นพบที่ซ่อนตัว แต่เผ่าวิญญาณก็หาได้เกรงกลัวไม่

มันร้องโวยวายด้วยความโกรธจัด หุ่นเชิดกลุ่มใหญ่พุ่งออกมา กระโจนใส่กังเหยียน ส่วนเผ่าวิญญาณตนนั้นก็ฉวยโอกาสหลบหนีไป

“เอาอีกแล้ว” กังเหยียนชินชากับอุบายนี้ดี เผ่าวิญญาณมักโจมตีรุนแรง แต่หลบตัวอยู่หลังแนวหน้า ใช้พวกหุ่นเชิดเข้าโจมตีอย่างไม่ลดละ ดังนั้นกังเหยียนจึงไม่ปล่อยให้เผ่าวิญญาณผู้นั้นได้มีเวลาหลบซ่อนตัว พุ่งเข้าใส่ศัตรูทันใด หุ่นเชิดของเผ่าวิญญาณก็ให้เผ่าหินผาคนอื่นจัดการ

“เจ้าโง่เอ๊ย!” เผ่าวิญญาณคำรามเสียงเย็น “เจ้าไม่รู้หรอกกว่ากำลังต่อกรอยู่กับใคร!”

ว่าแล้วก็เกิดเป็นกรงเล็บวิญญาณง้างเข้าใส่ตรงตำแหน่งหัวใจกังเหยียน จังหวะเดียวกันนั้น ร่างกายก็เรืองแสงเย็นยะเยือก เกิดเป็นชั้นกระจกสีล้อมรอบกาย ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีกะโหลกน่าประหลาดผุดขึ้นมาแล้ววนอยู่รอบกายด้วย

เผ่าวิญญาณใช้วิชาอาร์คาน่าทรงพลังมากมายหลายวิชาในชั่วพริบตา เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ตนมี

ทว่ากังเหยียนไม่คิดสนใจ คำรามเสียงแล้วก็พุ่งเข้าไปต่อ

กรงเล็บวิญญาณทิ้งรอยขวากยาวไว้บนร่างกังเหยียน และชั้นน้ำแข็งคลุมร่างเขาไว้ แต่กระนั้นกังเหยียนก็ยังพุ่งเข้าไปอย่างอาจหาญ ปะทะเข้ากับชั้นกระจกสี ยังผลให้มันแตกกระจายออก ขณะที่ชายร่างโตพุ่งเข้าไปราวกับวัวคลั่ง

หัวกะโหลกพุ่งออกมากัดลงกล้ามเนื้อกังเหยียน พ่นพิษเข้าไปข้างใน

แต่กังเหยียนยังคงมุ่งหน้าไปต่อราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

พุ่ง! พุ่ง! พุ่งเข้าไป!

ชายร่างใหญ่ทำเพียงพุ่งเข้าไปเท่านั้น

เผ่าวิญญาณรีบลอยถอยหลัง ปลดปล่อยเปลวเพลิงแถบหนึ่งออกมา ตามมาด้วยสายฟ้าฟาดสองสาย มันผ่าร่างกังเหยียนเสียจนไหม้

แต่กังเหยียนก็ยังพุ่งเข้าไป ทำลายระยะห่างระหว่างทั้งคู่

เผ่าวิญญาณเริ่มรู้สึกกลัว ปล่อยลูกเพลิงออกมาสามลูก และปล่อยริ้ววายุออกมาอีกสี่เส้นติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยพุ่มหนามที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ถึงตอนนี้มันไม่มีเวลาร่ายวิชาอาร์คาน่าระดับสูงแล้ว ได้แต่ใช้วิชาระดับต่ำซึ่งใช้ได้รวดเร็วเหล่านี้เพื่อหยุดยั้งศัตรูแทน

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

ลูกไฟเข้าปะทะร่างกังเหยียน แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้สักนิด ริ้ววายุถูกร่างแล้วก็กระเด็นออกไปโดยไร้อันตรายใด ส่วนพุ่มหนามถูกกังเหยียนใช้เท้ากระทืบตั้งแต่ตอนที่มันยังไม่ทันขยายใหญ่ ดังนั้นมันจึงฉุดรั้งความเร็วของชายร่างใหญ่ไม่ได้เลย

กังเหยียนเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ตายซะ!” กังเหยียนคำรามพร้อมยิ้มเหี้ยม แล้วปล่อยหมัดออกมา

แต่ในตอนที่หมัดนั้นกำลังจะกระแทกศัตรู นัยน์ตาผ่าวิญญาณตนนั้นกลับมีแสงกะพริบประหลาด “เจ้าไม่อยากโจมตีข้าหรอก!”

กังเหยียนพลันชะงักไป

เผ่าวิญญาณเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเอ๋ย เงยหน้าขึ้นมาดูว่าเจ้ากำลังสู้อยู่กับใครเสียสิ เจ้าไม่มีทางขึ้นมาอยู่บนจุดสูงเช่นนี้ หรือประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้หรอก จงติดตามข้า เป็นทาสรับใช้ของข้า แล้วเจ้าจะได้รับความสำเร็จนั้น…”

เผ่าวิญญาณใช้นิ้วแตะลงที่หน้าผากกังเหยียน

วิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณอาจใช้ไม่ได้ผลกับนิกายไร้ขอบเขต แต่เผ่าวิญญาณผู้นี้กำลังใช้วิชารุกรานจิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่พวกมันสามารถใช้ควบคุมศัตรูได้ เห็นได้ชัดว่ามันซับซ้อนกว่าวิชาบงการจิตทาสมากนัก มันไม่ทำให้ความแกร่งของผู้ใช้ลดลง ที่สำคัญที่สุดคือสามารถใช้ได้ผลกับนิกายไร้ขอบเขตด้วย

‘หวังว่าจะใช้ควบคุมเจ้านี่ได้นะ’ เผ่าวิญญาณคิด จากนั้นก็เอ่ยคำโน้มน้าวต่อ และฝังมันลงในจิตใจของกังเหยียน

มันสัมผัสได้ว่าวิชารุกรานจิตกำลังเป็นไปได้ด้วยดี ราวกับไร้ซึ่งการขัดขืนเลยสักนิด

ทำให้มันตื่นเต้นไม่น้อย

มันกำลังจะทำสำเร็จแล้ว!

แต่ประเดี๋ยวก่อน นั่นมันอะไรน่ะ?

เผ่าวิญญาณที่กำลังล้วงลึกเข้าไปในจิตใจของกังเหยียนกลับพบว่าในร่างศัตรูมีแสงสว่างจ้าเริ่มส่องขึ้นมา

เผ่าวิญญาณผู้นั้นจึงเพ่งมองให้ดี พบว่าภายใต้แสงสว่างจ้านั้นเหมือนจะมีตำหนักแห่งหนึ่งอยู่

นั่นมัน… วัฏจักรสมบูรณ์?

เผ่าวิญญาณจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตำหนักแห่งนั้นคือวัฏจักรสมบูรณ์… ตำหนักจิตแห่งแรกที่เกิดขึ้นหลังจากทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ!

แม้มันจะยังไม่สมบูรณ์ดี แต่ก็เห็นเป็นเงาร่างของวัฏจักรสมบูรณ์แล้ว!

ซึ่งก็หมายความว่าศัตรูผู้นี้กำลังจะทะลวงด่านแล้ว แต่ยังขาดบางสิ่งอีกเล็กน้อยที่จะเติมเต็มตำหนักนั้นให้เสร็จสมบูรณ์เท่านั้น

เผ่าวิญญาณพลันรู้สึกว่าจิตใจตนสะดุ้ง

ที่มันตกตะลึงไม่ใช่เพียงเพราะเผ่าหินผาผู้นี้สามารถทะลวงด่านเกินขีดจำกัดที่มีได้ แต่เป็นเพราะวิชารุกรานจิตของมันไม่อาจใช้ได้ผลกับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณต่างหาก

ถึงจะเป็นผู้ที่เพียงอีกครึ่งก้าวจะฝ่าถึงด่านผลาญจิตวิญญาณ ก็ไม่สามารถใช้วิชานี้ควบคุมได้แล้ว เพราะอีกฝ่ายมีพลังสูงส่งกว่าที่มันจะสยบได้

เช่นนั้นเหตุใดถึง… แย่แล้ว! ต้องเป็นกับดักแน่!

เผ่าวิญญาณจึงรู้ว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก

มันพยายามดึงจิตตนเองกลับมา ทว่ากังเหยียนกลับลงมือในจังหวะนั้น

เขาเหลือบมองเผ่าวิญญาณ ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “คราวนี้เข้าใจหรือยัง?”

พริบตาต่อมา ก็เกิดคลื่นพลังรุนแรงกำเนิดขึ้นในจิตของกังเหยียน

วัฏจักรสมบูรณ์ที่สร้างเสร็จไปครึ่งหนึ่งเริ่มส่องแสงสว่างจ้า เกิดเป็นพลังหมุนวนอยู่ด้านบน

ภาพเผ่าวิญญาณที่อยู่ในทะเลความรู้ของกังเหยียนเริ่มแตกสลายและหายไปในพลังหมุนวนนั้น กลับคืนสู่รูปแบบพลังงานจิตดั้งเดิม

“ม่ายย!” เผ่าวิญญาณร้องเสียงโหยหวน พลังจิตถูกดึงออกไปจากร่างอย่างรวดเร็ว มันถูกดึงเข้าไปในพลังหมุนวนนั้นและทะเลความรู้ของกังเหยียน พร้อมกันนั้นวัฏจักรสมบูรณ์ของกังเหยียนก็เริ่มขยับขยายและก่อรูปร่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น

เขากำลังจะใช้จังหวะนี้เพื่อทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ

ใช้พลังของเผ่าวิญญาณเพื่อทะลวงด่าน!

เผ่าวิญญาณรู้สึกว่าตนเองกำลังจะเสียสติ

ศัตรูของมันใช่เผ่าหินผาจริงหรือ?

เผ่าหินผาชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

“ติดตามนายท่านมานานเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องเรียนรู้สักอย่างสองอย่างมาบ้าง ขอบใจสำหรับความช่วยเหลือ!” กังเหยียนหัวเราะ แสงสว่างจนตาพร่าแผ่ออกมาจากทะเลแห่งความรู้ ก่อนจะแผ่ออกจากร่าง ทำให้ตั้งแต่หัวจรดเท้าปกคลุมไปด้วยแสงสว่างเรืองรอง