บทที่103 โลหิตสวรรค์
ซูเฉินยังคงบินต่อไปบนท้องฟ้า
เมฆสีขาวลอยละล่องผ่านไป ทิวเขาทั้งแนวดูสงบสุขเป็นอย่างมาก ไร้เผ่าวิญญาณให้เห็น
แต่ซูเฉินก็รู้ดีว่าพวกมันอยู่ตรงนั้น ซุกซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งด้านล่าง
น่าเสียดายที่เผ่าวิญญาณซึ่งถูกเขาสังหารไปแล้วเป็นเพียงระดับต่ำ ที่รับหน้าที่ประจำอยู่จุดสังเกตการณ์แห่งเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มเลยไม่รู้ว่าศูนย์กลางอยู่ในเขาดูดนภาส่วนไหน ดูท่าเผ่าวิญญาณจะเก็บความลับเก่งเสียเหลือเกิน
แม้จะอยู่บนจุดสูงกว่าสองหมื่นจั้ง แต่เขาก็ยังไม่อาจหาศูนย์กลางที่ซ่อนอยู่พบ
ชายหนุ่มรู้ว่าเผ่าวิญญาณซ่อนตัวมิดชิด หาพบได้ยาก คิดอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมา จากนั้นเปิดใช้ลักษณ์เจ็ดสายเลือด
เมื่อเปิดใช้ลักษณ์แล้ว ก็ราวกับสวรรค์และปฐพีสั่นสะเทือน พื้นที่รอบข้างถูกความแข็งแกร่งของซูเฉินโอบล้อมเอาไว้
ซูเฉินพลันรีดเค้นความแกร่งตนจนถึงขีดสุด เกิดเป็นคลื่นความดันมหึมากระจายออกไปรอบกาย ด้วยความที่ที่นี่ว่างเปล่าไร้เงาคนจึงไร้ผลกระทบใดให้เห็นเด่นชัด
แต่ซูเฉินพลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ภายในอาณาเขตที่พลังลักษณ์กระจายตัวออกไป ยังมีพื้นที่ขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด
ที่มากไปกว่านั้น พลังงานที่ชายหนุ่มปลดปล่อยออกไป เมื่อเข้าใกล้พื้นที่นั้น หากไม่ถูกดูดซับ ก็จะถูกเปลี่ยนทิศไปทางอื่น
เมื่อสัมผัสความผิดปกติในครั้งแรกได้แล้ว ซูเฉินจึงพุ่งความสนใจไปยังพื้นที่ผิดแผกนั้น มันเป็นจุดที่ทั้งเงียบสงบและว่างเปล่าเป็นพิเศษ มีเพียงเมฆก้อนหนึ่งลอยอยู่เหนือพื้นที่
มันเป็นเมฆที่ดูไม่สะดุดตา ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก เป็นเหมือนกับเมฆก้อนอื่นที่อยู่โดยรอบ ทว่าซูเฉินก็ยังสามารถสังเกตถึงความผิดปกติของมันได้
เพราะมันไม่ขยับเขยื้อนเลย
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่าซูเฉินกระทั่งปล่อยแรงกดดันผ่านมันไป มันก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
อีกปัญหาหนึ่งก็คือกลุ่มก้อนของมันเล็กเกินไป
ขนาดเท่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งเท่านั้น
และซูเฉินก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดอยู่บนเมฆก้อนนั้นเลยสักสิ่ง
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ซูเฉินลองครุ่นคิดดู จากนั้นมองตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่างของก้อนปุยสีขาวอย่างถี่ถ้วน อีกทั้งยังใช้เนตรมองโลกจุลภาค ก่อนที่จะพบถึงความแตกต่าง
ฝุ่นเล็ก ๆ จุดหนึ่ง…
ที่กลางเมฆก้อนนั้นมีฝุ่นเล็ก ๆ จุดหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้อย่างดี หากไม่สังเกตให้ดีก็มองไม่เห็น
แต่เมื่อซูเฉินมองเห็นมันแล้วก็หัวเราะออกมา
“จับได้แล้ว” ชายหนุ่มพึมพำน้ำเสียงยินดี ก่อนจะเอื้อมไปคว้ามันมา
แม้จะเป็นฝุ่นชิ้นเล็กจิ๋ว แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบกายหมุนเวียนและบิดเบี้ยวเปลี่ยนไปยามเขาสัมผัสมัน
เมื่อรอบกายกลับมาเป็นปกติมั่นคง ซูเฉินก็พบว่าตอนนี้กำลังตัวเองยืนอยู่ใจกลางตำหนักโค้งแห่งหนึ่ง
ที่ฐานของตำหนักนั้นมีแผ่นหินจารึกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เต็มไปด้วยอักขระดูลึกลับสลักอยู่ทั่ว มีเผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วนกำลังยืนพึมพำ เหมือนกำลังทำพิธีลึกลับอะไรบางอย่างอยู่
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของซูเฉินส่งผลให้เผ่าวิญญาณทั้งหลายตกตะลึงไป และหันมามองเขาในทันที
จังหวะเดียวกันนั้น ก็เกิดเสียงแจ้งเตือนจิตดังขึ้น
“ผู้บุกรุก!”
พลังจิตสาดซัดเข้าใส่ซูเฉินราวกับคลื่นยักษ์โถมใส่
“นี่ พวกเจ้าปฏิบัติกับแขกอย่างนี้หรือ!” ซูเฉินหัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม ยับยั้งคลื่นพลังจิตที่กำลังซัดเข้ามาไว้ได้
การโจมตีสายนี้คือการโจมตีของเผ่าวิญญาณนับสิบ แม้แรงโจมตีจะไม่ได้ทบเท่าทวีคูณ แต่การที่ซูเฉินสามารถยับยั้งมันได้ด้วยตัวคนเดียวก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามีพลังจิตแข็งกล้าขนาดไหน
เผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ ตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง
“เป็นซูเฉิน! เจ้านิกายไร้ขอบเขตซูเฉิน!”
น้ำเสียงในตอนแรกเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่นานความกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น
“หากเราสามารถสังหารซูเฉินได้ ปัญหาเรื่องอันตรายที่เผ่าวิญญาณต้องเผชิญก็จะหมดไป!”
“หากเราฆ่าซูเฉินได้ เผ่าวิญญาณก็จะเจริญรุดหน้า!”
เผ่าวิญญาณทั้งหลายเริ่มร้องออกมาพร้อมกัน
ริ้วจิตพุ่งเข้าหาซูเฉิน เผ่าวิญญาณทั้งหมดราวกับบ้าคลั่งไปแล้ว ไม่สนใจตำหนักที่เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป
“โอ้โห ไม่ยั้งมือสักนิดเลยหรือ?” ซูเฉินหัวเราะ “น่าเสียดายที่แค่นี้ยังไม่พอ!”
ว่าแล้วเขาก็ปรบมือ ลักษณ์เจ็ดสายเลือดปรากฏขึ้นอีกครั้ง เติมเต็มพื้นที่โดยรอบในพลัน
ลักษณ์เจ็ดสายเลือดแข็งแกร่งทั้งด้านโจมตีและด้านป้องกัน พลังโจมตีทั้งหลายจะถูกลดความแกร่งลงอย่างน้อย 30 ใน 100 ส่วน รวมถึงการโจมตีจิตด้วย มังกรร่างมหึมาม้วนตัวแล้วพุ่งขึ้นไปบนอากาศ ส่วนหัวนั้นหาใช่มังกรทว่าเป็นหญิงงาม ที่เห็นอยู่นี้คือสายเลือดนิมิตลาวัณย์ เมื่อมันเริ่มสำแดงกำลัง ก็เกิดเป็นแดนฝันขนาดใหญ่ขึ้น การโจมตีจิตทั้งหลายพลันหายไปในแดนนั้น
ซูเฉินหัวเราะเย็นยะเยือก “ดูเหมือนจะถึงตาข้าแล้วสินะ”
เขาชูมือขึ้นก่อนกระแทกมันลงกับพื้น เกิดเป็นอักขระขดเลื้อยราวกับอสรพิษไปตามพื้น เรืองแสงสว่างจ้าอย่างน่าผวา
ทันใดนั้นเอง ก็พลันเกิดพลังเพลิงรุนแรงลุกโหมขึ้นมา หลอมรวมกันกลายเป็นมังกรร่างยักษ์
มังกรสุริยะ!
การศึกษาสายเลือดตระกูลกู่ของชายหนุ่มล้ำหน้าไปอีกขั้นแล้ว ทำให้เขาสามารถเลียนแบบอำนาจพลังของมังกรสุริยะได้บางส่วน เมื่อผสานเข้ากับวิชาทั้งหลายของตน หงส์เพลิงก็ยกระดับไปเป็นวิชาจิตมังกรเพลิงแทน
แต่มังกรเพลิงตัวนี้ยังไม่ใช่มังกรสุริยะอยู่ดี ความต่างระหว่างมังกรทั้งสองในตอนนี้ยังมากเกินไป
แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าหงส์เพลิงในอดีต เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นแล้ว ทั่วทั้งตำหนักก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ บีบให้เผ่าวิญญาณต้องร่นถอยหลัง
“ซูเฉิน ถึงเราจะต้องสละชีพ เราก็ต้องสังหารเจ้าที่นี่ให้จงได้!”
เผ่าวิญญาณตนหนึ่งคำรามเสียงดุดัน ก่อนกระโจนอ้าปากกว้างเข้าใส่อีกฝ่าย
เกิดเป็นเงาร่างคล้ายวิญญาณกำลังขู่เสียงฟ่อ หมายจะฝังเขี้ยวลงบนร่างชายหนุ่ม
“กะโหลกชิงวิญญาณ?” ซูเฉินพลันรู้สึกขนลุกซู่
กะโหลกชิงวิญญาณเป็นวิชาอาร์คาน่าที่ชั่วร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นวิชาที่เป็นของเผ่าวิญญาณแต่เพียงผู้เดียว เงาร่างเหมือนผีที่ปรากฏไม่สามารถแตะต้องได้ และไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดทำอะไรมันได้ หากถูกมันกัด จิตจะได้รับบาดเจ็บสาหัส นับเป็นวิชาน่าปวดหัวที่เผ่าวิญญาณพัฒนาขึ้นมา มีแต่ผู้อาวุโสชั้นสูงจะสามารถใช้ได้ พลัง ‘ไม่รู้จบ’ ของมันทำให้มันเป็นวิชาที่รับมือได้ค่อนข้างยาก
แต่ก็แค่ค่อนข้างเท่านั้น
ซูเฉินลองใช้หลายวิธีเพื่อกำจัดวิญญาณตนนั้นแต่ก็ไร้ผล กระทั่งวิชาจิตมังกรเพลิงก็ทำให้มันดูจางลงเพียงเท่านั้น ส่วนซูเฉินถูกบีบให้ต้องล่าถอยอยู่เรื่อยไป ถึงกระนั้นมันก็ยังไล่ล่าไม่หยุดหย่อนราวกับเล็งเขาไว้ไม่คลาดสายตา
แสงเย็นวาบผ่านนัยน์ตาซูเฉิน “คิดว่าวิชานี้ทำให้เจ้าไร้เทียมทานงั้นหรือ?”
ในตอนที่กะโหลกชิงวิญญาณกำลังใกล้เข้ามาอีกครั้ง เงาร่างซูเฉินกลับกะพริบแล้วหายไป พร้อมกับเอากะโหลกชิงวิญญาณไปด้วย
เผ่าวิญญาณผู้นั้นตะลึงงัน อึดใจต่อมาซูเฉินก็ปรากฎตัว ส่วนกะโหลกชิงวิญญาณไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
ซูเฉินยกยิ้มเหยียดหยัน “กะโหลกชิงวิญญาณนั้นไม่ได้วิเศษอะไร เมื่อเจอพลังสูญเข้าไปสักหน่อยก็หมดท่าแล้ว”
เขาใช้พลังสูญสังหารกะโหลกชิงวิญญาณนั่น
พลังสูญคืออาวุธสุดยอดของซูเฉินในตอนนี้ หากใช้อะไรสู้ไม่ได้ เขาก็แค่เอามันติดมือมาแล้วเขวี้ยงใส่พลังสูญไปก็เท่านั้น สิ่งที่เขาสังหารไม่ได้คือพวกสิ่งที่หนักเกินกว่าตัวเองจะขนไปไหวเท่านั้น
แม้กะโหลกชิงวิญญาณจะรับมือยาก แต่ก็ขนย้ายได้ไม่ยาก
เผ่าวิญญาณระดับสูงนัยน์ตาแดงก่ำเมื่อเห็นว่ากะโหลกชิงวิญญาณใช้การไม่ได้ “ขอใช้ชีวิตอมตะข้าเป็นเครื่องสังเวย จงปลดปล่อยความโกรธาออกมาเสีย โลหิตสวรรค์!”
ยามซูเฉินได้ยินคำว่า ‘โลหิตสวรรค์’ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “บัดซบ ไม่คิดยั้งมือเลยเชียว”
เขารีบถอยไปทันใด
ทั่วทั้งตำหนักพลันมีแสงสีแดงโอบล้อมเอาไว้
เผ่าวิญญาณทั้งหลายเองก็เริ่มส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไปพร้อมกัน
ร่างวิญญาณของพวกมันบิดเบี้ยวไปมาและเริ่มสลายไปพร้อมกับแสงสว่างจ้า กระทั่งเผ่าวิญญาณระดับสูงก็ยังร่างสลายไปด้วย
ทว่าเผ่าวิญญาณระดับสูงผู้นั้นหาได้เกรงกลัวไม่ กลับใช้สายตาเกลียดชังอย่างถึงที่สุดจ้องมองซูเฉิน “พวกข้าเต็มใจสละชีวิตเพื่อสังหารเจ้าเสียที่นี่ จงออกมา โลหิตสวรรค์!”
แสงสีแดงเลือดที่ส่องทั่วตำหนักพลันเข้มขึ้นพร้อมกับบิดเบี้ยวผิดรูป ขจายกลิ่นอายทำลายล้างออกมายังพื้นที่โดยรอบ
ซูเฉินคิดจะเคลื่อนกายไปยังพลังสูญเพื่อหลบหลีก แต่ก็พบว่าไม่สามารถทำได้
พื้นที่โดยรอบถูกปิดกั้นไว้แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นเพราะพลังแห่งเจตจำนงบางอย่าง
จากที่เผ่าวิญญาณว่าไว้ กระทั่งใต้หล้านี้ก็มีเจตจำนงเป็นของมัน
และเจตจำนงนี้ก็เป็นของสรวงสวรรค์
เป็นเจตจำนงแห่งเทพ
ต้นพลังของมันคือพลังดั้งเดิมเริ่มแรก มันตกอยู่ในความเงียบสงัดชั่วนิรันดร์และหลับใหลไปชั่วกาล
แต่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ ก็สามารถปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาได้ สามารถชี้นำเจตจำนงของมันได้
เจตจำนงโบราณบรรพกาลเดิมทีไร้ช่องทาง แต่เสียงทำนองร่ายคาถานั้นสามารถนำทางจิตของมันได้ชั่วคราว
มันจึงได้ชื่อว่า ‘โลหิตสวรรค์’!
เผ่าวิญญาณยอมสละหลายชีวิตเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้สรวงสวรรค์ ไม่สิ เป็นตัวกระตุ้นให้มันพิโรธ ให้มันโกรธเสียจนนภาหลั่งโลหิตลงมา
สวรรค์โกรธาเสียจนหลั่งเลือด นำพาความพิโรธแห่งท้องนภา ลงอาญาใต้หล้าด้วยมหันตภัย
มหันตภัยนี้แตกต่างจากพลังสูญมาก กระทั่งซูเฉินยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้
ใช่แล้ว เขาไม่สามารถทำได้
ที่ชายหนุ่มต้านพลังสูญได้เพราะมีความเข้าใจในกฎแห่งพลังสูญ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ฝืนทนมัน แต่ใช้วิธีถ่ายโอนพลังของมันผ่านการใช้กฎแห่งพลัง ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ หากให้เขาฝืนพลังมันจริงก็คงทำไม่ได้
พลังของโลหิตสวรรค์นั้นคล้ายกับพลังสูญก็จริง ทว่าซูเฉินไม่ได้มีความเข้าใจในเจตจำนงแห่งสวรรค์ จึงไร้ทางอื่นนอกจากต้องหลบหลีกมันให้ได้
ซูเฉินจึงรู้สึกเสียววาบขึ้นถึงศีรษะขึ้นมาเมื่อเห็นเลือดนั่น
โชคดีที่ดูเหมือนว่าเผ่าวิญญาณระดับสูงผู้นั้นไม่ได้ใช้โลหิตสวรรค์ขั้นสมบูรณ์
ทำให้ซูเฉินยังพอมีโอกาส
แสงสีแดงรอบกายชายหนุ่มเข้มข้นขึ้นกว่าเก่า ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอันตรายเพิ่มสูงขึ้น รูขุมขนบนร่างซูเฉินเริ่มปรากฏหยาดเลือดผุดออกมา
ซูเฉินเห็นแล้วจึงรีบลงมือ แทนที่จะถอยกลับบุกเข้าไป พุ่งกายเข้าใส่จารึกหินแผ่นนั้น
จารึกนั่น… ในตอนนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้แล้ว
เผ่าวิญญาณระดับสูงเห็นดังนั้นแล้วก็ตกใจยิ่งนัก เอื้อมมือออกไปคว้าร่างชายหนุ่มตามสัญชาตญาณ แต่มันได้สละชีวิตเพื่อใช้วิชาโลหิตสวรรค์ไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายกว่าครึ่งสลายหายไป จึงไม่เหลือเรี่ยวแรงหยุดอีกฝ่ายไว้ได้อีก
ซูเฉินพุ่งเข้าหาแผ่นศิลาประทับฝ่ามือลงไปพลัน
ตูม!
แรงพลังพลันระเบิดออก
เป็นคลื่นพลังต้นกำเนิดผันผวน!
แผ่นจารึกนี่เป็นกลไกที่คอยควบคุมประตูสู่แดนโกลาหล เชื่อมมันไว้กับแดนต้นกำเนิดเบื้องล่าง เมื่อซูเฉินเปิดใช้มันจนถึงขีดสุด พลังต้นกำเนิดรุนแรงก็พุ่งเข้ามาในห้องโดยไร้การยับยั้งใด กระทั่งตัวซูเฉินยังไม่อาจต้านทานกับแรงพลังนี้ได้ รู้สึกว่าพลังต้นกำเนิดในกายกำลังจะปะทุ แทบทำให้สิ้นสติ
แต่กระนั้น ก็ดูเหมือนว่าพลังของโลหิตสวรรค์จะพลันหยุดชะงักลง
ในตอนนี้มันกำลังอยู่ในกระบวนการก่อร่างให้สมบูรณ์ แต่แทนที่มันจะดำเนินการต่อ มันกลับค่อย ๆ สลายไป
“ม่ายยย !!!” เผ่าวิญญาณระดับสูงร้องลั่นด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง ซึ่งตอนนี้มันเหลือแต่เพียงหัวแล้ว
มันยังอุตส่าห์ได้เห็นโลหิตสวรรค์คลี่คลายกลายเป็นสงบ ก่อนจะหายไปเพราะแรงพลังต้นกำเนิดผันผวน
แรงพลังของพลังต้นกำเนิดปั่นป่วนสามารถขัดขวางการก่อร่างของโลหิตสวรรค์ไว้ได้ พร้อมกันนั้นพลังของมันเองก็กลับกลายเป็นสงบลงเช่นกัน
และจังหวะนั้น
แค่ก!
ซูเฉินผละมือออกจากแผ่นหิน ร่างล้มลงกับพื้นแล้วกระอักเลือดคำใหญ่ออกมา
โลหิตสวรรค์ไม่อาจสังหารเขา แต่พลังต้นกำเนิดผันผวนที่ชายหนุ่มเคยสามารถรับมือและเมินมันได้ ตอนนี้กลับทำร้ายร่างจนบาดเจ็บสาหัส