ภาคที่ 6 บทที่103 โลหิตสวรรค์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่103 โลหิตสวรรค์

ซูเฉินยังคงบินต่อไปบนท้องฟ้า

เมฆสีขาวลอยละล่องผ่านไป ทิวเขาทั้งแนวดูสงบสุขเป็นอย่างมาก ไร้เผ่าวิญญาณให้เห็น

แต่ซูเฉินก็รู้ดีว่าพวกมันอยู่ตรงนั้น ซุกซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งด้านล่าง

น่าเสียดายที่เผ่าวิญญาณซึ่งถูกเขาสังหารไปแล้วเป็นเพียงระดับต่ำ ที่รับหน้าที่ประจำอยู่จุดสังเกตการณ์แห่งเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มเลยไม่รู้ว่าศูนย์กลางอยู่ในเขาดูดนภาส่วนไหน ดูท่าเผ่าวิญญาณจะเก็บความลับเก่งเสียเหลือเกิน

แม้จะอยู่บนจุดสูงกว่าสองหมื่นจั้ง แต่เขาก็ยังไม่อาจหาศูนย์กลางที่ซ่อนอยู่พบ

ชายหนุ่มรู้ว่าเผ่าวิญญาณซ่อนตัวมิดชิด หาพบได้ยาก คิดอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมา จากนั้นเปิดใช้ลักษณ์เจ็ดสายเลือด

เมื่อเปิดใช้ลักษณ์แล้ว ก็ราวกับสวรรค์และปฐพีสั่นสะเทือน พื้นที่รอบข้างถูกความแข็งแกร่งของซูเฉินโอบล้อมเอาไว้

ซูเฉินพลันรีดเค้นความแกร่งตนจนถึงขีดสุด เกิดเป็นคลื่นความดันมหึมากระจายออกไปรอบกาย ด้วยความที่ที่นี่ว่างเปล่าไร้เงาคนจึงไร้ผลกระทบใดให้เห็นเด่นชัด

แต่ซูเฉินพลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

ภายในอาณาเขตที่พลังลักษณ์กระจายตัวออกไป ยังมีพื้นที่ขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด

ที่มากไปกว่านั้น พลังงานที่ชายหนุ่มปลดปล่อยออกไป เมื่อเข้าใกล้พื้นที่นั้น หากไม่ถูกดูดซับ ก็จะถูกเปลี่ยนทิศไปทางอื่น

เมื่อสัมผัสความผิดปกติในครั้งแรกได้แล้ว ซูเฉินจึงพุ่งความสนใจไปยังพื้นที่ผิดแผกนั้น มันเป็นจุดที่ทั้งเงียบสงบและว่างเปล่าเป็นพิเศษ มีเพียงเมฆก้อนหนึ่งลอยอยู่เหนือพื้นที่

มันเป็นเมฆที่ดูไม่สะดุดตา ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก เป็นเหมือนกับเมฆก้อนอื่นที่อยู่โดยรอบ ทว่าซูเฉินก็ยังสามารถสังเกตถึงความผิดปกติของมันได้

เพราะมันไม่ขยับเขยื้อนเลย

ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่าซูเฉินกระทั่งปล่อยแรงกดดันผ่านมันไป มันก็ยังไม่ขยับเขยื้อน

อีกปัญหาหนึ่งก็คือกลุ่มก้อนของมันเล็กเกินไป

ขนาดเท่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งเท่านั้น

และซูเฉินก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดอยู่บนเมฆก้อนนั้นเลยสักสิ่ง

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ซูเฉินลองครุ่นคิดดู จากนั้นมองตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่างของก้อนปุยสีขาวอย่างถี่ถ้วน อีกทั้งยังใช้เนตรมองโลกจุลภาค ก่อนที่จะพบถึงความแตกต่าง

ฝุ่นเล็ก ๆ จุดหนึ่ง…

ที่กลางเมฆก้อนนั้นมีฝุ่นเล็ก ๆ จุดหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้อย่างดี หากไม่สังเกตให้ดีก็มองไม่เห็น

แต่เมื่อซูเฉินมองเห็นมันแล้วก็หัวเราะออกมา

“จับได้แล้ว” ชายหนุ่มพึมพำน้ำเสียงยินดี ก่อนจะเอื้อมไปคว้ามันมา

แม้จะเป็นฝุ่นชิ้นเล็กจิ๋ว แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบกายหมุนเวียนและบิดเบี้ยวเปลี่ยนไปยามเขาสัมผัสมัน

เมื่อรอบกายกลับมาเป็นปกติมั่นคง ซูเฉินก็พบว่าตอนนี้กำลังตัวเองยืนอยู่ใจกลางตำหนักโค้งแห่งหนึ่ง

ที่ฐานของตำหนักนั้นมีแผ่นหินจารึกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เต็มไปด้วยอักขระดูลึกลับสลักอยู่ทั่ว มีเผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วนกำลังยืนพึมพำ เหมือนกำลังทำพิธีลึกลับอะไรบางอย่างอยู่

การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของซูเฉินส่งผลให้เผ่าวิญญาณทั้งหลายตกตะลึงไป และหันมามองเขาในทันที

จังหวะเดียวกันนั้น ก็เกิดเสียงแจ้งเตือนจิตดังขึ้น

“ผู้บุกรุก!”

พลังจิตสาดซัดเข้าใส่ซูเฉินราวกับคลื่นยักษ์โถมใส่

“นี่ พวกเจ้าปฏิบัติกับแขกอย่างนี้หรือ!” ซูเฉินหัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม ยับยั้งคลื่นพลังจิตที่กำลังซัดเข้ามาไว้ได้

การโจมตีสายนี้คือการโจมตีของเผ่าวิญญาณนับสิบ แม้แรงโจมตีจะไม่ได้ทบเท่าทวีคูณ แต่การที่ซูเฉินสามารถยับยั้งมันได้ด้วยตัวคนเดียวก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามีพลังจิตแข็งกล้าขนาดไหน

เผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ ตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง

“เป็นซูเฉิน! เจ้านิกายไร้ขอบเขตซูเฉิน!”

น้ำเสียงในตอนแรกเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่นานความกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น

“หากเราสามารถสังหารซูเฉินได้ ปัญหาเรื่องอันตรายที่เผ่าวิญญาณต้องเผชิญก็จะหมดไป!”

“หากเราฆ่าซูเฉินได้ เผ่าวิญญาณก็จะเจริญรุดหน้า!”

เผ่าวิญญาณทั้งหลายเริ่มร้องออกมาพร้อมกัน

ริ้วจิตพุ่งเข้าหาซูเฉิน เผ่าวิญญาณทั้งหมดราวกับบ้าคลั่งไปแล้ว ไม่สนใจตำหนักที่เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป

“โอ้โห ไม่ยั้งมือสักนิดเลยหรือ?” ซูเฉินหัวเราะ “น่าเสียดายที่แค่นี้ยังไม่พอ!”

ว่าแล้วเขาก็ปรบมือ ลักษณ์เจ็ดสายเลือดปรากฏขึ้นอีกครั้ง เติมเต็มพื้นที่โดยรอบในพลัน

ลักษณ์เจ็ดสายเลือดแข็งแกร่งทั้งด้านโจมตีและด้านป้องกัน พลังโจมตีทั้งหลายจะถูกลดความแกร่งลงอย่างน้อย 30 ใน 100 ส่วน รวมถึงการโจมตีจิตด้วย มังกรร่างมหึมาม้วนตัวแล้วพุ่งขึ้นไปบนอากาศ ส่วนหัวนั้นหาใช่มังกรทว่าเป็นหญิงงาม ที่เห็นอยู่นี้คือสายเลือดนิมิตลาวัณย์ เมื่อมันเริ่มสำแดงกำลัง ก็เกิดเป็นแดนฝันขนาดใหญ่ขึ้น การโจมตีจิตทั้งหลายพลันหายไปในแดนนั้น

ซูเฉินหัวเราะเย็นยะเยือก “ดูเหมือนจะถึงตาข้าแล้วสินะ”

เขาชูมือขึ้นก่อนกระแทกมันลงกับพื้น เกิดเป็นอักขระขดเลื้อยราวกับอสรพิษไปตามพื้น เรืองแสงสว่างจ้าอย่างน่าผวา

ทันใดนั้นเอง ก็พลันเกิดพลังเพลิงรุนแรงลุกโหมขึ้นมา หลอมรวมกันกลายเป็นมังกรร่างยักษ์

มังกรสุริยะ!

การศึกษาสายเลือดตระกูลกู่ของชายหนุ่มล้ำหน้าไปอีกขั้นแล้ว ทำให้เขาสามารถเลียนแบบอำนาจพลังของมังกรสุริยะได้บางส่วน เมื่อผสานเข้ากับวิชาทั้งหลายของตน หงส์เพลิงก็ยกระดับไปเป็นวิชาจิตมังกรเพลิงแทน

แต่มังกรเพลิงตัวนี้ยังไม่ใช่มังกรสุริยะอยู่ดี ความต่างระหว่างมังกรทั้งสองในตอนนี้ยังมากเกินไป

แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าหงส์เพลิงในอดีต เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นแล้ว ทั่วทั้งตำหนักก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ บีบให้เผ่าวิญญาณต้องร่นถอยหลัง

“ซูเฉิน ถึงเราจะต้องสละชีพ เราก็ต้องสังหารเจ้าที่นี่ให้จงได้!”

เผ่าวิญญาณตนหนึ่งคำรามเสียงดุดัน ก่อนกระโจนอ้าปากกว้างเข้าใส่อีกฝ่าย

เกิดเป็นเงาร่างคล้ายวิญญาณกำลังขู่เสียงฟ่อ หมายจะฝังเขี้ยวลงบนร่างชายหนุ่ม

“กะโหลกชิงวิญญาณ?” ซูเฉินพลันรู้สึกขนลุกซู่

กะโหลกชิงวิญญาณเป็นวิชาอาร์คาน่าที่ชั่วร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นวิชาที่เป็นของเผ่าวิญญาณแต่เพียงผู้เดียว เงาร่างเหมือนผีที่ปรากฏไม่สามารถแตะต้องได้ และไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดทำอะไรมันได้ หากถูกมันกัด จิตจะได้รับบาดเจ็บสาหัส นับเป็นวิชาน่าปวดหัวที่เผ่าวิญญาณพัฒนาขึ้นมา มีแต่ผู้อาวุโสชั้นสูงจะสามารถใช้ได้ พลัง ‘ไม่รู้จบ’ ของมันทำให้มันเป็นวิชาที่รับมือได้ค่อนข้างยาก

แต่ก็แค่ค่อนข้างเท่านั้น

ซูเฉินลองใช้หลายวิธีเพื่อกำจัดวิญญาณตนนั้นแต่ก็ไร้ผล กระทั่งวิชาจิตมังกรเพลิงก็ทำให้มันดูจางลงเพียงเท่านั้น ส่วนซูเฉินถูกบีบให้ต้องล่าถอยอยู่เรื่อยไป ถึงกระนั้นมันก็ยังไล่ล่าไม่หยุดหย่อนราวกับเล็งเขาไว้ไม่คลาดสายตา

แสงเย็นวาบผ่านนัยน์ตาซูเฉิน “คิดว่าวิชานี้ทำให้เจ้าไร้เทียมทานงั้นหรือ?”

ในตอนที่กะโหลกชิงวิญญาณกำลังใกล้เข้ามาอีกครั้ง เงาร่างซูเฉินกลับกะพริบแล้วหายไป พร้อมกับเอากะโหลกชิงวิญญาณไปด้วย

เผ่าวิญญาณผู้นั้นตะลึงงัน อึดใจต่อมาซูเฉินก็ปรากฎตัว ส่วนกะโหลกชิงวิญญาณไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด

ซูเฉินยกยิ้มเหยียดหยัน “กะโหลกชิงวิญญาณนั้นไม่ได้วิเศษอะไร เมื่อเจอพลังสูญเข้าไปสักหน่อยก็หมดท่าแล้ว”

เขาใช้พลังสูญสังหารกะโหลกชิงวิญญาณนั่น

พลังสูญคืออาวุธสุดยอดของซูเฉินในตอนนี้ หากใช้อะไรสู้ไม่ได้ เขาก็แค่เอามันติดมือมาแล้วเขวี้ยงใส่พลังสูญไปก็เท่านั้น สิ่งที่เขาสังหารไม่ได้คือพวกสิ่งที่หนักเกินกว่าตัวเองจะขนไปไหวเท่านั้น

แม้กะโหลกชิงวิญญาณจะรับมือยาก แต่ก็ขนย้ายได้ไม่ยาก

เผ่าวิญญาณระดับสูงนัยน์ตาแดงก่ำเมื่อเห็นว่ากะโหลกชิงวิญญาณใช้การไม่ได้ “ขอใช้ชีวิตอมตะข้าเป็นเครื่องสังเวย จงปลดปล่อยความโกรธาออกมาเสีย โลหิตสวรรค์!”

ยามซูเฉินได้ยินคำว่า ‘โลหิตสวรรค์’ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “บัดซบ ไม่คิดยั้งมือเลยเชียว”

เขารีบถอยไปทันใด

ทั่วทั้งตำหนักพลันมีแสงสีแดงโอบล้อมเอาไว้

เผ่าวิญญาณทั้งหลายเองก็เริ่มส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไปพร้อมกัน

ร่างวิญญาณของพวกมันบิดเบี้ยวไปมาและเริ่มสลายไปพร้อมกับแสงสว่างจ้า กระทั่งเผ่าวิญญาณระดับสูงก็ยังร่างสลายไปด้วย

ทว่าเผ่าวิญญาณระดับสูงผู้นั้นหาได้เกรงกลัวไม่ กลับใช้สายตาเกลียดชังอย่างถึงที่สุดจ้องมองซูเฉิน “พวกข้าเต็มใจสละชีวิตเพื่อสังหารเจ้าเสียที่นี่ จงออกมา โลหิตสวรรค์!”

แสงสีแดงเลือดที่ส่องทั่วตำหนักพลันเข้มขึ้นพร้อมกับบิดเบี้ยวผิดรูป ขจายกลิ่นอายทำลายล้างออกมายังพื้นที่โดยรอบ

ซูเฉินคิดจะเคลื่อนกายไปยังพลังสูญเพื่อหลบหลีก แต่ก็พบว่าไม่สามารถทำได้

พื้นที่โดยรอบถูกปิดกั้นไว้แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นเพราะพลังแห่งเจตจำนงบางอย่าง

จากที่เผ่าวิญญาณว่าไว้ กระทั่งใต้หล้านี้ก็มีเจตจำนงเป็นของมัน

และเจตจำนงนี้ก็เป็นของสรวงสวรรค์

เป็นเจตจำนงแห่งเทพ

ต้นพลังของมันคือพลังดั้งเดิมเริ่มแรก มันตกอยู่ในความเงียบสงัดชั่วนิรันดร์และหลับใหลไปชั่วกาล

แต่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ ก็สามารถปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาได้ สามารถชี้นำเจตจำนงของมันได้

เจตจำนงโบราณบรรพกาลเดิมทีไร้ช่องทาง แต่เสียงทำนองร่ายคาถานั้นสามารถนำทางจิตของมันได้ชั่วคราว

มันจึงได้ชื่อว่า ‘โลหิตสวรรค์’!

เผ่าวิญญาณยอมสละหลายชีวิตเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้สรวงสวรรค์ ไม่สิ เป็นตัวกระตุ้นให้มันพิโรธ ให้มันโกรธเสียจนนภาหลั่งโลหิตลงมา

สวรรค์โกรธาเสียจนหลั่งเลือด นำพาความพิโรธแห่งท้องนภา ลงอาญาใต้หล้าด้วยมหันตภัย

มหันตภัยนี้แตกต่างจากพลังสูญมาก กระทั่งซูเฉินยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้

ใช่แล้ว เขาไม่สามารถทำได้

ที่ชายหนุ่มต้านพลังสูญได้เพราะมีความเข้าใจในกฎแห่งพลังสูญ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ฝืนทนมัน แต่ใช้วิธีถ่ายโอนพลังของมันผ่านการใช้กฎแห่งพลัง ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ หากให้เขาฝืนพลังมันจริงก็คงทำไม่ได้

พลังของโลหิตสวรรค์นั้นคล้ายกับพลังสูญก็จริง ทว่าซูเฉินไม่ได้มีความเข้าใจในเจตจำนงแห่งสวรรค์ จึงไร้ทางอื่นนอกจากต้องหลบหลีกมันให้ได้

ซูเฉินจึงรู้สึกเสียววาบขึ้นถึงศีรษะขึ้นมาเมื่อเห็นเลือดนั่น

โชคดีที่ดูเหมือนว่าเผ่าวิญญาณระดับสูงผู้นั้นไม่ได้ใช้โลหิตสวรรค์ขั้นสมบูรณ์

ทำให้ซูเฉินยังพอมีโอกาส

แสงสีแดงรอบกายชายหนุ่มเข้มข้นขึ้นกว่าเก่า ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอันตรายเพิ่มสูงขึ้น รูขุมขนบนร่างซูเฉินเริ่มปรากฏหยาดเลือดผุดออกมา

ซูเฉินเห็นแล้วจึงรีบลงมือ แทนที่จะถอยกลับบุกเข้าไป พุ่งกายเข้าใส่จารึกหินแผ่นนั้น

จารึกนั่น… ในตอนนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้แล้ว

เผ่าวิญญาณระดับสูงเห็นดังนั้นแล้วก็ตกใจยิ่งนัก เอื้อมมือออกไปคว้าร่างชายหนุ่มตามสัญชาตญาณ แต่มันได้สละชีวิตเพื่อใช้วิชาโลหิตสวรรค์ไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายกว่าครึ่งสลายหายไป จึงไม่เหลือเรี่ยวแรงหยุดอีกฝ่ายไว้ได้อีก

ซูเฉินพุ่งเข้าหาแผ่นศิลาประทับฝ่ามือลงไปพลัน

ตูม!

แรงพลังพลันระเบิดออก

เป็นคลื่นพลังต้นกำเนิดผันผวน!

แผ่นจารึกนี่เป็นกลไกที่คอยควบคุมประตูสู่แดนโกลาหล เชื่อมมันไว้กับแดนต้นกำเนิดเบื้องล่าง เมื่อซูเฉินเปิดใช้มันจนถึงขีดสุด พลังต้นกำเนิดรุนแรงก็พุ่งเข้ามาในห้องโดยไร้การยับยั้งใด กระทั่งตัวซูเฉินยังไม่อาจต้านทานกับแรงพลังนี้ได้ รู้สึกว่าพลังต้นกำเนิดในกายกำลังจะปะทุ แทบทำให้สิ้นสติ

แต่กระนั้น ก็ดูเหมือนว่าพลังของโลหิตสวรรค์จะพลันหยุดชะงักลง

ในตอนนี้มันกำลังอยู่ในกระบวนการก่อร่างให้สมบูรณ์ แต่แทนที่มันจะดำเนินการต่อ มันกลับค่อย ๆ สลายไป

“ม่ายยย !!!” เผ่าวิญญาณระดับสูงร้องลั่นด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง ซึ่งตอนนี้มันเหลือแต่เพียงหัวแล้ว

มันยังอุตส่าห์ได้เห็นโลหิตสวรรค์คลี่คลายกลายเป็นสงบ ก่อนจะหายไปเพราะแรงพลังต้นกำเนิดผันผวน

แรงพลังของพลังต้นกำเนิดปั่นป่วนสามารถขัดขวางการก่อร่างของโลหิตสวรรค์ไว้ได้ พร้อมกันนั้นพลังของมันเองก็กลับกลายเป็นสงบลงเช่นกัน

และจังหวะนั้น

แค่ก!

ซูเฉินผละมือออกจากแผ่นหิน ร่างล้มลงกับพื้นแล้วกระอักเลือดคำใหญ่ออกมา

โลหิตสวรรค์ไม่อาจสังหารเขา แต่พลังต้นกำเนิดผันผวนที่ชายหนุ่มเคยสามารถรับมือและเมินมันได้ ตอนนี้กลับทำร้ายร่างจนบาดเจ็บสาหัส