ภาคที่ 6 บทที่ 104 อารามยมทูต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 104 อารามยมทูต

“ค่อก!” ซูเฉินพ่นเลือดออกมาอีกเล็กน้อยก่อนจะพยุงร่างลุกขึ้น

“ประเมินศัตรูต่ำไปไม่ได้จริง ๆ สินะ?” ซูเฉินพึมพำเสียงเบา

ดูจากพละกำลังของซูเฉินในขณะนี้ จะหาใครมาสู้กันสูสีตัวต่อตัวก็ยากมากแล้ว

เผ่าวิญญาณอาวุโสระดับสูงปกติธรรมดาไม่ควรทำอะไรเขาได้

กระนั้นซูเฉินก็ยังบาดเจ็บสาหัส เผ่าวิญญาณมีรากฐานมั่นคงมากจริง ๆ มากเสียจนเผ่าวิญญาณอาวุโสระดับสูงธรรมดา ๆ ยังสามารถพลิกสถานการณ์ได้ ยิ่งทำให้ตอนนี้ต้องระวังกว่าเก่า

หลังจากพายุผ่านพ้นไปแล้ว ก็ไม่เหลือเผ่าวิญญาณอยู่แถวนี้อีก ซูเฉินหยิบแผ่นจารึกขึ้นเก็บ มันเป็นสมบัติค่ายกล เจียงหานเฟิงต้องชอบเป็นแน่

เมื่อก้าวออกมาจากโลกจุลภาคแล้ว ซูเฉินได้เก็บเอาเศษฝุ่นนั่นออกไปด้วย มันเป็นสมบัติพลังสูญที่มีคุณสมบัติในการซ่อนตัวสูงไม่น้อย

ซูเฉินจึงเหินลงมาพร้อมกับสมบัติใหม่สองชิ้นในมือ

กลุ่มย่อยทั้งหมดพบจุดซ่อนตัวของเผ่าวิญญาณแล้ว และกำลังต่อสู้กันอยู่

ซูเฉินตรวจสอบสถานการณ์ด้วยกล่องสื่อสาร ก่อนเงาร่างจากกะพริบและหายไป ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้านข้างกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่ง เมื่อรู้สถานที่จากกล่องสื่อสาร ซูเฉินจึงไม่ต้องใช้ร่างแยกในการสื่อสารอีก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นระยะไกลมาก

กลุ่มย่อยนั้นโชคร้ายมากเพราะต้องเผชิญหน้ากับเผ่าวิญญาณระดับกลาง ในตอนที่กำลังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่นั้น ก็เห็นว่ามีคนปรากฏตัวขึ้น เมื่อรู้ว่าเป็นใครก็ร้องลั่นด้วยความตื่นเต้นยินดี “ท่านเจ้านิกาย!”

แต่ซูเฉินเหาะลิ่วผ่านไปราวกับลมแล้ว

ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษไปมากกว่าเหินร่างผ่านเผ่าวิญญาณทั้งหลายและจากไปโดยที่ไม่หยุดเลยสักครั้ง

และในจังหวะนั้นเผ่าวิญญาณก็จะแข็งชะงักไป สุดท้ายร่างกายก็สลายกลายเป็นผุยผง

เมื่อจัดการพวกมันหมดแล้ว ซูเฉินจึงเคลื่อนกายไปยังกลุ่มย่อยอีกกลุ่ม รีบจัดการเผ่าวิญญาณระดับกลางตรงนั้นด้วยเช่นกัน

หลังจากใช้เวลาครึ่งวัน เผ่าวิญญาณเกือบทั้งหมดที่กระจายตัวบนเท่าภูเขาก็ถูกพบตัวและสังหารทิ้ง เมื่อศัตรูที่ซุ่มโจมตีถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว อันตรายในแถบนั้นจึงหมดลงไปด้วย

หุบเขาทรุดแห่งนี้ถูกกำชัยเอาไว้แล้วเช่นกัน

ยามกลางวันนั้นเอง นิกายไร้ขอบเขตจึงเริ่มเดินทางผ่านเขาดูดนภา

หลังจากใช้เวลาเดินเท้าอยู่หนึ่งวัน ก็ข้ามเขาดูดนภาและมุ่งหน้าไปสู่อารามยมทูต

เมื่อเทียบกับเขาดูดนภาแล้ว อารามยมทูตนั้นตรงไปตรงมากว่ามาก ความแปลกพิกลของที่นี่ไม่ใช่ความลับแต่ประการใด

ที่มันถูกเรียกว่าอารามยมทูตเป็นเพราะที่จริงแล้วมันคือสุสาน ซึ่งภายหลังถูกจัดให้เป็นมณฑลแห่งหนึ่ง

แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น มันเป็นสุสานอย่างแท้จริง

สุสานนิรนามแห่งนี้เป็นสถานที่เก่าแก่ยิ่งนัก เต็มไปด้วยพลังลึกลับที่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังแต่ก็แปลกประหลาดไปพร้อมกันขึ้นมาได้ รู้จักกันในชื่อวิญญาณสุสาน

แต่วิญญาณสุสานก็ยังมีข้อจำกัดหลักอยู่สองข้อ ข้อแรกคือไม่อาจออกจากสุสานได้ ข้อสองคือจะสร้างขึ้นมาได้ต้องใช้เครื่องสังเวยที่เหมาะสม และจะต้องเป็นการสังเวยที่เต็มใจด้วย

คนส่วนมากรู้สึกว่าข้อจำกัดเหล่านี้ไร้เหตุผล ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครโง่ขนาดยอมสังเวยตนเองเพื่อให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่ไม่สามารถออกมาจากสุสานได้หรอก

แต่สุสานแห่งนี้กลับมีประโยชน์มากเมื่อมาอยู่ในมือของเผ่าวิญญาณ

ก็แค่สังเวยหนึ่งชีวิตเองไม่ใช่หรือ? ไม่มีปัญหา

เผ่าวิญญาณก็ได้เปลี่ยนกายเนื้อ เปลี่ยนจากจิตวิญญาณทมิฬมาแล้วในอดีต

และการสังเวยให้สุสานแห่งนี้จะสังเวยได้เฉพาะกายเนื้อเท่านั้น

ดังนั้นเครื่องมือกลายวิญญาณของเผ่าวิญญาณจึงได้ถูกนำมาตั้งไว้ในอารามยมทูต เพื่อทำการกลายวิญญาณและสังเวยมาชั่วเวลาหนึ่งแล้ว

ด้วยเหตุนี้ อารามยมทูตจึงเป็นเสมือนเมืองหลวงของอาณาจักรหมองหม่นอยู่ระยะหนึ่งทีเดียว

ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เผ่าวิญญาณรุ่งเรืองถึงขั้นสุด ไม่เพียงแต่มีเผ่าวิญญาณทรงพลังอยู่มากมาย แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดให้ใช้งานได้อย่างไม่จำกัด แม้พวกมันจะถูกกักขังไว้ในสุสาน แต่ก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่นคอยช่วยงานวิจัย คอยเป็นทหารเฝ้าเมือง หรือทำประโยชน์อย่างอื่น

จนกระทั่งบ่อพลังต้นกำเนิดเกิดระเบิดขึ้นมา

การระเบิดของบ่อพลังต้นกำเนิดส่งผลกระทบต่อเผ่าวิญญาณเป็นอย่างมาก ตำหนักอุบัติชีวาถูกทำลาย นางพญาเกือบจะสูญสิ้น กระทั่งสิ่งมีชีวิตประหลาดในสุสานยังได้รับผลกระทบไปด้วย สุดท้ายแล้วเผ่าวิญญาณจึงถูกบีบให้ต้องเดินทางขึ้นเหนือ ย้ายเมืองหลวงไปจนถึงถ้ำว่านไหล

หลังจากนั้นมา เผ่าวิญญาณซึ่งค้นพบว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้บ่อพลังต้นกำเนิดระเบิด หนึ่งในนั้นคืออิทธิพลที่มาจากพลังงานประหลาดในอารามยมทูต เมื่อสิ่งมีชีวิตประหลาดเพิ่มจำนวน ก็ส่งผลต่อเผ่าวิญญาณเด่นชัดมากขึ้น ใช้ทรัพยากรที่จำเป็นหมดสิ้นไปเรื่อย

จากนั้นมา เผ่าวิญญาณจึงค่อย ๆ ถอยห่างจากอารามยมทูต กระทั่งการกลายวิญญาณก็ไม่ทำที่นั่นอีกต่อไป ในตอนนี้ที่นี่เป็นเพียงจุดยุทธศาสตร์ ที่เป็นแนวป้องกันของถ้ำว่านไหลเท่านั้น มีเพียงเผ่าวิญญาณส่วนน้อยที่ประจำการอยู่ เพื่อคอยควบคุมดูแลจำนวนวิญญาณสุสาน

วิญญาณสุสานจำนวนมากในแถบนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเป็นยิ่งนัก ผู้เชี่ยวชาญมากมายหลายคนถูกพวกมันเล่นเอาเสียขวัญกระเจิงมานักต่อนักแล้ว แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ปิดผนึกความทรงจำเพื่อลืมทุกสิ่งที่เคยประสบที่นี่ไป ดังนั้นมนุษย์จึงมีความรู้ความเข้าใจในอารามยมทูตไม่มาก

มองบางมุม อารามยมทูตก็คล้ายกับหุบเหว ซึ่งไม่มีความสามารถในการโจมตี แต่ก็มีความสามารถในการป้องกันสูง ในความเป็นจริงแล้ว เผ่าวิญญาณค่อนข้างภูมิใจกับแนวป้องกันนี้ไม่ใช่น้อย

วิญญาณพวกนี้เป็นอาวุธลับของพวกมัน ไม่จำเป็นต้องใช้อย่างอื่นอีก

นิกายไร้ขอบเขตเดินทางมาถึงหลังจากใช้เวลาไปสองวัน

ทั้งหมดยังสามารถเห็นอารามขนาดใหญ่ได้จากไกล ๆ แม้จะถูกหมอกปกคลุม ซึ่งหมอกนี้จะทำให้ทัศนวิสัยไม่ค่อยชัดเจนเพื่อป้องกันการแอบมองเข้าไปด้านใน และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับเผ่าวิญญาณ

มันคืออารามยมทูตนั่นเอง

อารามยมทูตใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 80 ปี กินพื้นที่ขนาดใหญ่ ทั้งการออกแบบและโครงสร้างมีความสลับซับซ้อน เหมาะจะสร้างเป็นเมืองเมืองหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง

เผ่าวิญญาณมักอาศัยอยู่ในสุสาน ทว่าอารามยมทูตกลับเป็นข้อยกเว้น พวกมันลักพาตัวช่างออกแบบเผ่ามนุษย์ เผ่าช่างโลหะ เผ่าช่างฝีมือ และเผ่าปักษา รวมถึงทาสเผ่าคนเถื่อนมาเพื่อสร้างตำหนัก นับว่าเป็นการล่วงเกินเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมดเลยทีเดียว

แล้วตำหนักแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับสุสานและวิญญาณสุสานที่นี่

ที่ใจกลางเมืองมีสุสานแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่อาศัยของวิญญาณสุสาน

ด้วยความที่จำนวนวิญญาณสุสานเพิ่มขึ้นอยู่ตลอด ดังนั้นเมืองจึงมีการขยับขยายอยู่ตลอดเวลา มีเพียงตอนที่เผ่าวิญญาณตัดสินใจว่าการสร้างวิญญาณสุสานเพิ่มขึ้นเป็นภาระมากกว่าประโยชน์เท่านั้นถึงได้หยุดการเพิ่มจำนวน ทำให้การขยับขยายค่อย ๆ ชะลอตัวลงในที่สุด

จากนั้นเป็นต้นมา ก็แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเมืองจนถึงตอนนี้เลย

วิญญาณสุสานจำนวนมากในปัจจุบันทำให้สถานที่นี้นับว่าเป็นสถานที่ร้างผู้คนที่มีชื่อที่สุดในทวีป และมีชื่อมากที่สุดในอาณาจักรหมองหม่นเช่นกัน

ช่องแคบวายุเงียบนั้นอันตรายเพราะมีรอยแยกพลังสูญขนาดใหญ่อยู่ สวนภูตผีอันตรายเป็นเพราะมีพิษร้ายอยู่ที่นั่น และอารามยมทูตอันตรายเพราะวิญญาณสุสานพวกนี้

เมื่อดูในเรื่องพลังโจมตีแล้ว อารามยมทูตดูจะเป็นสถานที่ที่แข็งแกร่งที่สุด

ไม่ว่ารอยแยกพลังสูญหรือพิษร้าย ไม่มีสิ่งใดเป็นปัญหาต่อซูเฉินเลย แต่วิญญาณสุสานพวกนี้หมายความว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ อย่างไรก็ต้องมีความสูญเสีย

“เมื่อพยายามเอาชนะอาณาจักรสักแห่ง อย่างไรก็เลี่ยงการต่อสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็คงไร้เหตุผลเกินไป” ซูเฉินพูดเสียงเนิบ ๆ แล้วก็จ้องมองตำหนักที่อยู่ห่างออกไป

“น่าเสียดายที่เราไม่ได้สู้กับเผ่าวิญญาณตรง ๆ แต่ต้องสู้กับพวกตัวที่ตายแล้วพวกนี้แทน” หลินเฉ่าเซวียนถอนใจ

หากเขาเลือกได้ ก็อยากสู้กับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะมากกว่า เพราะจะได้ประลองกันทั้งในด้านกลยุทธ์และพละกำลัง

หลินเฉ่าเซวียนรู้สึกว่าการต่อสู้กับพวกไร้สติปัญญาเหล่านี้เป็นการต่อสู้ฝั่งเดียว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหมัดหนักสักเพียงไหน แต่ก็ไร้ซึ่งสติปัญญาในด้านความคิด

พวกมันแข็งแกร่งกว่าอสูรทะเลในหุบเหวหรือไม่? แต่หุบเหวก็ยังถูกทำลายลงแล้วเลย

“เผ่าวิญญาณคงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ หรอก คงซ่อนตัวอยู่ แล้วอาศัยจังหวะความวุ่นวายเข้าโจมตี” หลี่ฉงซานเอ่ย

หลินเฉ่าเซวียนได้ยินแล้วก็ดูยินดี “เช่นนั้นแหละดีที่สุด ถ้าหากเผ่าวิญญาณโจมตีเมื่อไหร่ ให้เป็นหน้าที่ข้ารับมือเอง”

ซูเฉินพยักหน้า “ย่อมได้ ท่านอาจจะอยากรังแกเผ่าวิญญาณพวกนั้น แต่ข้าอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนั้นคืออะไรกันแน่ ข้าสงสัยว่าสุสานแห่งนี้ทำอย่างไรจึงสามารถสร้างสิ่งประหลาดทว่าทรงพลังขนาดนี้ขึ้นมาได้”

ความอยากรู้อยากเห็นในด้านงานวิจัยย่อมทำให้ซูเฉินรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

งานวิจัยด้านเผ่าวิญญาณของชายหนุ่มรุดหน้าในระดับหนึ่งแล้ว จนถึงจุดที่เขาอยากจับเผ่าวิญญาณทั้งหมดมาสลายเป็นทรัพยากรแทนมากกว่า แต่ชายหนุ่มไม่เคยพบวิญญาณสุสานมาก่อน ตอนนี้จึงตื่นเต้นไม่น้อย

หลังจากปรึกษากันครู่หนึ่ง คนระดับสูงแห่งนิกายไร้ขอบเขตจึงตัดสินใจได้

กองทัพจะได้พักสักหนึ่งวันก่อนที่จะมุ่งหน้าโจมตีต่อ

เช้าตรู่วันต่อมา

นิกายไร้ขอบเขตจัดกองทัพเป็นค่ายกลอยู่ตรงข้ามกับอารามยมทูต

“ชิงลั่ว ทำลายหมอกเสีย!” ซูเฉินออกคำสั่ง

กู่ชิงลั่วเป็นคนแรกที่ได้ลงมือ สายเลือดมังกรสุริยะส่องประกายสว่างจ้า เมื่อพลังงานร้อนระอุแผ่ไปทั่วทุกทิศ หมอกหนาที่ลอยตัวอยู่รอบอารามจึงเริ่มกระจายหายไป

อุบายซ่อนตัวของเผ่าวิญญาณที่พวกมันภูมิใจหนักหนาถูกกู่ชิงลั่วทำลายอย่างง่ายดาย ภาพเมืองขนาดใหญ่ดูโอ่อ่าเผยให้เห็นแก่สายตา

ด้วยความที่กองกำลังนิกายไร้ขอบเขตส่วนมากสามารถเหาะเหินได้ จึงสามารถเห็นภาพภายในเมืองได้ชัดเจนเป็นพิเศษ แต่ ณ ศูนย์กลางของเมืองนั้นน่าก็กลัวเป็นพิเศษเช่นกัน

ที่ใจกลางเมืองมีศพกองทับถมกันสูงเป็นภูเขา ซึ่งก็มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอยู่ในนั้นไม่ใช่น้อย พวกมันเสมือนถูกเอาศพหลาย ๆ ศพมาเย็บติดกัน บางครั้งก็คว้าศพที่อยู่ใกล้ ๆ เข้ามากัดกิน ในกองซากศพนั้นมีตั้งแต่เผ่ามนุษย์ เผ่าคนเถื่อน เผ่าปักษา เผ่าท้องสมุทร เผ่าช่างฝีมือ เผ่าช่างโลหะ แม้กระทั่งเผ่าสามเพศและเผ่าข่าปู้เลอ

ร่างของเผ่าสามเพศดูเหมือนจะเพิ่งมาใหม่ ๆ เพราะบางส่วนยังมีชีวิต และยังกรีดร้องโหยหวนอย่างหวาดกลัวระคนสิ้นหวังอยู่เลย สิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนั้นไม่สนใจเสียงกรีดร้องของเผ่าสามเพศ มันคว้าร่างขึ้นมากัดไม่มีลังเล เลือดสดบนร่างมีแต่จะทำให้พวกมันยิ่งน่ากลัวและโหดเหี้ยมขึ้นก็เท่านั้น

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ทุกคนก็ตะลึงงันไป

ความจริงเบื้องหลังม่านหมอกนั้นช่างโหดร้ายทารุณ ทำให้พวกคนเป็นตกใจทีเดียว

จังหวะนั้นเอง ก็เห็นอยู่คาตาว่าทำไมคนที่รอดมา… ถึงเลือกจะทิ้งความทรงจำไว้เสียเอง เพราะความจริงมันชวนผวาเกินไป และหากให้มันติดค้างอยู่ในใจนานเกินควร ก็จะส่งผลต่อสตินึกคิดและการบ่มเพาะพลังได้

“ทรัพยากรไม่พอ… พวกนี้หรือทรัพยากรที่พวกมันกล่าวถึง? ไม่แปลกที่เผ่าวิญญาณคอยออกมาลักพาตัวผู้คนอยู่ตลอด ก็เพราะพยายามสนองความต้องการของเจ้าพวกนี้งั้นสินะ” ฉือไคฮวงเอ่ยเสียงไม่พอใจอย่างถึงที่สุด

และตอนนี้เผ่าวิญญาณก็รู้สึกได้ว่าม่านหมอกถูกขจัดหายไปแล้ว รู้ว่าศัตรูคงเห็นทุกอย่างในเมืองได้อย่างแจ่มแจ้ง

ในเมืองจึงเกิดเสียงดังเตือน ริ้วหมอกสีแดงเลือดพลันพลุ่งพล่านไปทั่ว

หากแต่หมอกสีแดงนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ปิดบัง นิกายไร้ขอบเขตเห็นมือขนาดใหญ่ผุดออกมาจากพื้นดิน ระหว่างนั้นก็เกิดแรงสั่นไหวสะเทือนทั่ว วิญญาณสุสานนับไม่ถ้วนผุดคลานขึ้นมาจากใต้ดิน

ที่เห็นอยู่ก่อนหน้าเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีส่วนที่ไม่ได้โผล่พ้นขึ้นมาอยู่อีกมาก

“จงตื่นขึ้นข้ารับใช้ของข้า วันนี้จะเป็นวันที่เจ้าได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ!!!” เสียงหนึ่งดังก้องกังวานไปในอากาศ

สิ้นคำ วิญญาณสุสานซึ่งร่างใหญ่กว่าใครเพื่อนตนหนึ่งก็ปรากฏ

มันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าและชูแขนขึ้น แขนข้างที่ใหญ่ไม่ต่างอะไรกับขุนเขาก็ง้างกรงเล็บเข้าใส่ทหารนิกายไร้ขอบเขต