ภาคที่ 6 บทที่ 105 วิญญาณสุสาน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 105 วิญญาณสุสาน

เมื่อมือขนาดยักษ์ของวิญญาณสุสานใกล้เข้ามา ก็ดูเหมือนจะบดบังดวงตะวันจนมืดมิด พร้อมกันนั้นฉือไคฮวง ฉู่อิงหว่าน หลินเฉ่าเซวียน เฉิงเถียนไห่ และคนอื่น ๆ ก็ร่วมกันผสานในการโจมตีไปยังมือนั่น แต่มันก็ยังรุดหน้าเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน

มือยักษ์นั่นยังคงฉวยต่ำเข้ามา หลี่ฉงซานจึงลงมือเช่นกัน คลื่นพลังรุนแรงปะทะเข้ากับมือนั่น แต่มันกลับชะงักเพียงนิด ก่อนจะมุ่งต่ำลงมาต่อ

กระทั่งด่านหยั่งรู้ฟ้าดินยังไม่สามารถหยุดฝ่ามือทรงพลังนี้ไว้ได้

แต่ในตอนนั้นเองที่ซูเฉินดึงดาบออกมา

มันคือมีดไร้แสง จากนั้นใช้วิชาคมดาบฝ่ามิติ

คนอื่นยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็เกิดเส้นสีแดงเลือดขึ้นบนมือขนาดใหญ่นั่น ก่อนที่ผิวหนังจะแหวกเปิดออกมา

วิญญาณสุสานยักษ์ที่อยู่ใต้ดินร้องลั่นด้วยความโกรธส่งผลให้ฟ้าสั่นดินสะเทือน ขณะที่มือยักษ์ของมันหดกลับไป

เกิดเป็นแม่น้ำโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมา

มือของมันอีกครึ่งหนึ่งเริ่มแยกออกจากกันแล้วร่วงลงมา วิญญาณสุสานยักษ์คว้ามันเอาไว้ได้แล้วเอามากัดกิน กลิ่นเลือดหืนเอียนกระจายไปทั่ว พร้อมกันนั้นมืออีกครึ่งหนึ่งก็งอกออกมาใหม่ไม่เหลือไว้ซึ่งรอยบาดเจ็บ

“ทุกคนระวังด้วย เจ้านี่มีพลังชีวิตหนาแน่นมาก สังหารมันไม่ง่ายแน่” ซูเฉินเตือน

เขามีประสบการณ์มากมาย รู้ซึ้งถึงความสามารถพิเศษและพละกำลังของวิญญาณสุสานยักษ์ได้ในทันที

แม้ว่าซูเฉินจะไม่ใช่เหยื่ออ่อนแอ แต่ก็ไม่มีใครสามารถงอกร่างกายขึ้นใหม่ด้วยการกินอวัยวะตนเองได้อยู่เรื่อย ๆ เช่นกัน แต่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี่สามารถทำได้

“ให้ข้าจัดการเอง!” เปลวไฟรุนแรงเริ่มโคจรรอบฝ่ามือกู่ชิงลั่ว “มาดูกันว่าเจ้าตัวน่ารังเกียจนี่จะรอดพ้นจากเพลิงมังกรสุริยะได้หรือไม่”

ว่าแล้วนางก็เหวี่ยงเพลิงสีขาวไปยังพสุธาเบื้องล่าง

เพลิงขาวดูปกติธรรมดา แต่เมื่อปะทะร่างวิญญาณสุสานยักษ์กลับกัดกินลึกถึงไขกระดูก ไม่อาจดับได้ วิญญาณสุสานคำรามลั่น ส่งเสียงร้องเจ็บปวดไม่หยุด

คมดาบฝ่ามิติของซูเฉินตัดขาดได้กระทั่งพื้นผิวที่แกร่งที่สุด แต่เพลิงมังกรสุริยะของกู่ชิงลั่วมีอำนาจทำลายล้างเหนือกว่านั้น

เปลวเพลิงของนางโหมกระหน่ำต่อไป จนกระทั่งมันมอดดับลงในที่สุด

แต่พริบตาต่อมา วิญญาณสุสานยักษ์ก็คว้าสิ่งมีชีวิตข้างกายขึ้นมาโยนเข้าปาก ฟื้นฟูจากบาดแผลอันแสนสาหัสได้อีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังแหงนหน้าหายใจเอาลมพิษออกมา เกิดเป็นมวลอากาศสีเขียวขุ่นไม่น่าชม

วิญญาณสุสานตัวอื่น ๆ ก็ทำเช่นกัน

พริบตาเดียว ทั่วฟ้าก็เต็มไปด้วยหมอกพิษสีเขียวขุ่น น่าตกใจนักที่หมอกเหล่านี้แท้จริงคือแมลงตัวเล็กนับไม่ถ้วนที่กำลังบินเกาะกลุ่มกันเป็นฝูง

“ระวังด้วย! พวกมันคือแมลงโรคระบาด!” ซูเฉินร้องเตือน

แมลงโรคระบาดมีความเกี่ยวข้องกับแมลงวิบัติ สามารถก่อภัยพิบัติได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแมลงวิบัติเลยสักนิด เพียงแต่ไม่ทนทานมากเท่า จุดประสงค์ของมันคือการเกาะกลุ่มกันแล้วแพร่โรคระบาด กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังระดับสูงยังรับมือศัตรูร้ายกาจนี้ได้ยาก

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจึงลงมือเมื่อเห็นฝูงแมลงโรคระบาดใกล้เข้ามา ปล่อยการโจมตีเป็นริ้วสายฟ้าออกไปนับไม่ถ้วน

การโจมตีประเภทสายฟ้านับว่าใช้ต้านแมลงพิษได้ดีไม่ใช่น้อย ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทั้งหลายจึงเห็นพ้องต้องกันว่าต้องใช้วิชาเช่นนี้ พายุสายฟ้าหนักหน่วงได้กลิ่นโลหะลอยไปทั่วอากาศ สุดท้ายก็สามารถสังหารฝูงแมลงส่วนใหญ่ไปได้

กระนั้นก็ยังมีคนที่ถูกแมลงกัด ต้องถูกส่งตัวไปยังแนวหลังเพื่อรับการรักษาโดยด่วน

วิญญาณสุสานยักษ์เบื้องล่างส่งเสียงคำรามอีกครั้ง ครั้งนี้เกิดเป็นเมฆสีเลือดขึ้นบนท้องฟ้า เต็มไปด้วยพลังในการกร่อนทำลาย

เมฆเลือดกัดกร่อนเหล่านี้ราวกับว่าไปแต่สิ่งใดก็สามารถทำให้มันสลายไปได้ กระทั่งด่านมหาราชันยังยากจะรับมือ

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือการที่มีเมฆเลือดปรากฏขึ้นหลายก้อนมาก ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง แค่ชั่วลมหายใจก่อสร้างพวกมันขึ้นมาได้อีกมาก

“ค่ายกลแสงมังกรวน!” หลินเฉ่าเซวียนร้องขึ้น

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตหยิบเครื่องมือต้นกำเนิดออกมาแล้วเริ่มตั้งค่ายกล พร้อมกับปล่อยพลังต้นกำเนิดออกมาด้วย เกิดวงแหวนแสงขึ้นกลางอากาศ สิ้นคำสั่งหลินเฉ่าเซวียน วงแหวนนั้นก็ร่วงหล่นลงมาปะทะกับเมฆาเลือด เกิดคลื่นพลังสะท้อนกระเพื่อมทั่วฟ้า

การโจมตีทั้งสองเข้าห้ำหั่นกันและหักล้างกันได้ในที่สุด

วิญญาณสุสานน่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ นิกายไร้ขอบเขตมีคนนับหมื่น แต่แค่จะจัดการเมฆกัดกร่อนเหล่านั้นก็ใช้แรงไปไม่น้อย

เมื่อกำจัดพวกมันไปได้แล้ว พวกเขาก็พบว่าใช้พลังไปไม่น้อย

เคราะห์ดีที่นิกายไร้ขอบเขตไม่ขาดคนแข็งแกร่ง

ในเมื่อกองกำลังระลอกหนึ่งเริ่มเหนื่อยล้า พวกเขาก็ถอยไปแนวหลัง ปล่อยให้ทหารอีกหมื่นเข้ามาแทนที่

“เทวทัณฑ์ทำลายล้าง!” หลินเฉ่าเซวียนสั่งต่อ

สายฟ้านับหมื่นริ้วพลันซัดลงจากฟ้าพร้อมกัน ตกลงมาอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าฝนยามเกิดพายุ

นิกายไร้ขอบเขตไม่อาจปล่อยให้วิญญาณสุสานเริ่มโจมตีก่อนไปตลอดได้

พายุสายฟ้ากระหน่ำลงทั่วเมือง

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตแต่ละคนซัดพลังสายฟ้าได้ครึ่งลมหายใจต่อครั้ง หมายความว่าทุกครึ่งลมหายใจ อารามยมทูตจะถูกสายฟ้าหมื่นริ้วซัดกระหน่ำ

โจมตีหนักหน่วงเช่นนี้ ในตำหนักจึงไร้ที่ใดปลอดภัย ถนนทุกเส้น พื้นดินทุกที่ถูกสายฟ้ากระหน่ำลงมาชะล้างทั้งสิ้น วิญญาณสุสานถูกสายฟ้าสะบั้นร่างไปทีละตัว

แม้ว่าจะพยายามฟื้นคืนร่างขึ้นมาใหม่ด้วยการกินศพหรือกินพวกเดียวกันเอง แต่อัตราการฟื้นฟูก็ยังช้ากว่าอัตราทำลายล้างอยู่ดี

ดังนั้นจึงเห็นกันแล้วว่าวิญญาณสุสานเหล่านี้กำลังถูกกำจัดไปอย่างช้า ๆ

“อ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้แล้วงั้นหรือ?” เฉิงเถียนไห่ถอนหายใจ

“ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก” คำตอบของซูเฉินไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำเย็นราด

เผ่าวิญญาณทุ่มทรัพยากรให้กับที่นี่ไปมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะได้ง่ายเช่นนี้

พริบตาต่อมา วิญญาณสุสานยักษ์ก็เปล่งเสียงร้องประหลาด ส่งผลให้วิญญาณสุสานที่เหลืออยู่ในเมืองทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว

มันวิ่งเข้ามาหาวิญญาณสุสานยักษ์ที่อยู่ใจกลางเมืองอย่างบ้าคลั่ง วิญญาณสุสานตัวแรกที่เข้ามาถึงกระโดดเข้าใส่สิ่งมีชีวิตประหลาดตัวยักษ์ ร่างกายหลอมละลายเข้ากับมัน วิญญาณสุสานยักษ์จึงมีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีก

รวมร่างกันให้ได้ขนาดมหึมานี่เอง

เมื่อวิญญาณสุสานรวมร่างเข้ากับวิญญาณสุสานยักษ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายมันก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่กี่ชั่วอึดใจ มันก็มีขนาดใหญ่เกินอาณาเขตที่อยู่ สามารถมองเห็นอัตราการขยายร่างของมันได้ด้วยตาเปล่า

วิญญาณสุสานทั้งหลายยังกระโดดเข้ามาไม่หยุด ทำให้มันยิ่งขยายใหญ่เร็วขึ้นอีก ไม่กี่พริบตาต่อมา มันก็สูงถึงร้อยจั้ง ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยวิญญาณสุสานเช่นนั้น มันจึงดูน่าเกลียดน่ากลัวไม่น่ามองอย่างแท้จริง

ใบหน้าของสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั่น ดูเหมือนสร้างขึ้นจากใบหน้าของสตรีหลายร้อยคน เมื่อมันกลืนกินวิญญาณสุสานโดยสมบูรณ์แล้วก็แหงนหน้าขึ้นฟ้า

“อ๊ากกก!!!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของมัน

มันสะบัดมือผ่านฟ้าอีกครั้ง

ครั้งนี้ ซูเฉินมีสีหน้าจริงจังกว่าเดิมมาก

“คมดาบฝ่ามิติ!”

“คมดาบฝ่ามิติ!”

“คมดาบฝ่ามิติ!”

คมดาบฝ่ามิติราวเจ็ดถึงแปดคราถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว

หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ ก็สามารถใช้มันได้ ซูเฉินได้ตระเตรียมเครื่องมือพลังสูญไว้ให้พวกเขาได้ใช้งานในภารกิจครั้งนี้ แต่ด้วยความที่ทุกคนไม่ได้มีความเข้าใจในกฎแห่งพลังสูญ ดังนั้นอุปกรณ์เหล่านั้นจึงมีการฟื้นฟูพลังที่ช้ากว่าของซูเฉินมาก ทำให้ต้องเอาออกมาใช้ยามจำเป็นเท่านั้น

แต่กับเจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตรงหน้านี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องยั้งมือ

แสงดาบสะบัดซัดเข้าใส่สิ่งมีชีวิตน่าสะอิดสะเอียน กรีดผ่านร่างมันโดยง่าย กระนั้นมันก็มีขนาดใหญ่มากเสียจนไม่นับว่าเป็นบาดแผลร้ายแรง เป็นเพียงรูเล็กรูน้อยบนมือมันเท่านั้น แม้ว่าจะทะลวงผ่านร่างไปได้ แต่กลับไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนไหวมันได้เลยสักนิด

แขนของมันยังเคลื่อนผ่านอากาศไป

“เกราะโอบสวรรค์!” หลินเฉ่าเซวียนตะโกน

นิกายไร้ขอบเขตจัดพลใหม่ กลายเป็นค่ายกลใหม่อย่างรวดเร็ว พลันเกิดเส้นแสงโค้งขึ้น ผสานกันกลายเป็นเกราะขนาดใหญ่ ไม่นานแขนข้างนั้นก็ปะทะลงบนเกราะ

เป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้ทีเดียว

ค่ายกลนิกายไร้ขอบเขตไม่สามารถต้านรับการโจมตีนี้ได้ ถูกทำลายในทันที ศิษย์ผู้โชคร้ายหลายคนจึงถูกมือนั่นทุบจนแหลกทันที

สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมารีบทุ่มแขนอีกข้างมาไม่ลังเล

“ถอย! ริ้วพันธาร!” หลินเฉ่าเซวียนยังตะโกนออกคำสั่งต่อด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้งดังไปทั่วทุกทิศทุกทาง

ริ้วพลังผสานเข้าด้วยกันอีกครา ครั้งนี้เกิดเป็นริ้วแสงพันรอบแขนมันไว้ พยายามยับยั้งการเคลื่อนไหว

ทว่าวิธีที่ดู ‘อ่อน’ กว่าครั้งนี้ กลับเห็นผลดีทันตา เจ้ายักษ์พลันชะงักไปทันใด

มันกระทืบเท้าแล้วส่งเสียงร้องไม่พอใจ การระเบิดของพลังงานที่ตามมาส่งผลให้ริ้วแสงหลายพันริ้วฉีกขาด

หลินเฉ่าเซวียนออกคำสั่งตามสถานการณ์ นิกายไร้ขอบเขตพลันแปรเป็นค่ายกลบทเพลงสวรรค์ ใช้คลื่นเสียงโจมตี ทำให้เจ้ายักษ์เจ็บหูอย่างแสนสาหัส มันตอกกลับด้วยเสียงคำรามลั่น ใช้เสียงคำรามขัดขวางบทเพลง

นิกายไร้ขอบเขตจึงปรับเป็นค่ายกลนภาระอุ เกิดเพลิงลุกระห่ำโหมร่างเจ้ายักษ์ กัดกินพละกำลังมหาศาลของมัน จากนั้นเหล่าศิษย์พลันใช้ดาบบินกระหน่ำโจมตีต่อ เจ้ายักษ์ปล่อยหมอกดำที่ทำลายเครื่องมือต้นกำเนิดได้โต้กลับ พริบตาเดียวเครื่องมือต้นกำเนิดนับพันชิ้นก็ถูกทำลาย เหล่าศิษย์ปวดใจเหลือคณา

สองฝ่ายโต้การโจมตีกันไม่หยุด และดูเหมือนว่านิกายไร้ขอบเขตจะไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย

แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการที่นิกายไร้ขอบเขตยังคงยั้งมืออยู่

จากศิษย์นิกายไร้ขอบเขตหกหมื่น มีเพียงหมื่นคนที่โจมตีไม่หยุดอยู่ตลอด

ทั้งนี้คือต้องระวังไว้ แม้ศัตรูจะปล่อยวิชาร้ายกาจ แต่พวกเขาจะถูกสังหารคราเดียวหมดไม่ได้

กระนั้น การโจมตีของนิกายก็ไม่ใช่ว่าไร้พลัง ยังคงสับเปลี่ยนกันโจมตีอยู่ตลอด ส่งผลให้ต้องชะงักงันในที่สุด

แต่ตอนนี้ซูเฉินกลับกำลังสนใจอย่างอื่น

เขาเหลือบมองอีกจุดหนึ่ง พึมพำออกมา “หากพวกมันจะลงมือ คงเป็นในอีกไม่นานแล้ว”

เหมือนกับจะพิสูจน์คำพูดของเขาว่าเป็นความจริง พลันเกิดฝุ่นตลบขึ้นเบื้องหลังนิกายไร้ขอบเขต กองทัพฝ่ายศัตรูอีกกลุ่มกระโจนเข้าสู่สนามรบ แต่ครั้งนี้เป็นฝูงนกขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่

“อสูรกายหรือ? ดูท่าช่วงนี้เผ่าวิญญาณจะมิได้หยุดพักเลย” หลี่ฉงซานชะงักไป

หลังจากฝูงสัตว์อสูรปรากฏ ที่ไกล ๆ ก็มีมาอีกกลุ่ม ครั้งนี้มีทั้งเผ่าสามเพศ เผ่าข่าปู้เลอ และหุ่นเชิดเผ่าวิญญาณ มีเพียงเผ่าวิญญาณที่ยังไม่ยอมเปิดเผยตัว

ทุกคนพลันทอดสายตามองไปยังทิศทางที่สี่

“ดูเหมือนมันจะวางแผนล้อมพวกเรา เผ่าวิญญาณช่างมีความคิดสร้างสรรค์ไม่หยุดหย่อนจริง ๆ” ฉู่อิงหว่านหัวร่อ

“ไม่ พวกมันไม่ได้ล้อมเรา” ซูเฉินตอบเสียงมั่น “เผ่าวิญญาณไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ตรงนั้นต่างหาก”

เขาชี้ไปยังศูนย์กลางอารามยมทูต