บทที่ 106 ยมทูต
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
แสงสีเขียวทมิฬพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ผู้ที่ไม่รู้ความจริงต่างก็คิดว่าวิญญาณสุสานเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้
แต่ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็รู้ว่า อันที่จริงแล้วมันหมายถึงเผ่าวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่… ในที่สุดก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว
เผ่าวิญญาณนั้นไม่เพียงเชี่ยวชาญในวิชาบงการจิตทาส แต่พวกมันยังเก่งกาจในวิชาอาร์คาน่าอีกด้วย เมื่อรู้แล้วว่าวิชาพลังจิตของชาวเผ่าวิญญาณไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ต่อกรกับนิกายไร้ขอบเขต พวกมันก็เปลี่ยนกลยุทธ์ในท้ายที่สุด
ลำแสงสีทะมึนนั้นเป็นวิชาอาร์คาน่าบริสุทธิ์ที่เรียกว่า ‘ดาวหางหวนคืน’
มันเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับเจ็ดที่มีคุณสมบัติในการกัดกร่อนอย่างรุนแรง แม้ว่าวิชานี้จะมีไว้ใช้ในการต่อกรกับเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว แต่การร่ายวิชาจำนวนหลายพันพร้อมกัน ก็เหมาะยิ่งนักกับการเผชิญหน้ากับศัตรูกลุ่มใหญ่
เผ่าวิญญาณเองก็เลือกใช้วิชาอาร์คาน่าได้เข้ากับสถานการณ์เช่นกัน สาเหตุที่วิชาดาวหางหวนคืนนั้นทรงพลังได้ไม่ใช่แค่เพียงเพราะความสามารถในการสังหารของมัน แต่วิชานี้ยังสามารถกัดกินและทะลวงผ่านเกราะป้องกันได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นวิชาที่มีประสิทธิภาพในการต่อกรกับนิกายไร้ขอบเขตที่มีการป้องกันหลักเป็นเกราะเหล่านี้
เมื่อซูเฉินเห็นวิชาดาวหางหวนคืนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาก็กระแอมไอและชี้นิ้วออกไปในทันใด จากนั้นคลื่นพลังก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ตู้ม!
คลื่นพลังสูญที่รุนแรงนั้นปะทุขึ้นท่ามกลางพลังของดาวหางหวนคืน และทำลายพลังทำลายล้างของมันไปถึงเกือบ 90 ในร้อยส่วน
พลังสูญของซูเฉินแข็งแกร่งเหลือเกิน ชายหนุ่มสามารถหยุดอานุภาพการโจมตีจากเผ่าวิญญาณจำนวนหลายพันคนได้อย่างง่ายดายจนทุกคนต้องตะลึง
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตพากันโห่ร้องด้วยความยินดี “พลังของเจ้านิกายไร้เทียมทานจริง ๆ!”
ทว่าซูเฉินกลับถอนหายใจ และหันไปมองหยกในมือที่สูญเสียความมันเงาไปแล้ว “น่าเสียดายนัก ของดีอีกชิ้นของข้า”
จูเซียนเหยาหัวเราะ “อย่ากังวลนักเลยสามีข้า เรายังมีวัตถุพลังสูญแบบนั้นอยู่อีกมาก”
แต่ซูเฉินก็ยังถอนใจด้วยความเศร้าสร้อย “สมบัติของเรามีจำกัด ถ้าเราใช้จ่ายอย่างไม่ประหยัดมากพอ ไม่ช้าเราก็จะต้องล้มละลายแน่”
สิ้นเสียงของซูเฉิน ทหารบนท้องฟ้ากับทหารบนพื้นดินข้างล่างก็เริ่มจู่โจมกันอีกครั้ง
อสูรกายและเผ่าพันธุ์ผู้รับใช้ต่างมุ่งหน้าร่วมใจกับวิญญาณสุสานขนาดยักษ์ เพื่อเผชิญหน้ากับนิกายไร้ขอบเขต
ตั้งแต่เข้ามาในอาณาจักรหมองหม่น นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่นิกายไร้ขอบเขตต้องปะทะกับเผ่าวิญญาณโดยตรง แต่ในครั้งนี้นั้น… ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว
ที่สวนภูตผี… ชาวเผ่าวิญญาณกำลังพยายามพาเหล่าศิษย์นิกายไร้ขอบเขตให้เข้าไปติดกับ เพื่อการต่อสู้ที่ด้านหน้าสุดจะเป็นเพียงการต่อสู้ของทัพหน้าเท่านั้น ทว่าที่อารามยทูตนั้น เผ่าวิญญาณเองก็กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่เช่นกัน
เผ่าวิญญาณพึ่งพาวิญญาณสุสานร่างยักษ์เพื่อสร้างภัยคุกคามฝ่ายตรงข้าม หรือก็คือพวกมันกำลังใช้เกราะชิ้นเนื้อเพื่อกำบังขณะโจมตีอยู่ที่เบื้องหลัง
ความสามารถในการปล่อยวิชาอาร์คาน่าอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วของเผ่าวิญญาณนั้นน่าตกใจนัก
เผ่าวิญญาณเหล่านี้มีชีวิตอยู่มาแสนนาน พลังต้นกำเนิดสำรองของพวกมันจึงมีอยู่ล้นเหลือ และเผ่าวิญญาณระดับล่างทั้งหลายก็ยังสามารถปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าระดับสี่หรือระดับห้าได้ ในขณะที่เผ่าวิญญาณที่มีพลังระดับสูงก็จะสามารถปล่อยวิชาอาร์คาน่าได้ถึงระดับแปด หรือมากกว่านั้นเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้นิกายไร้ขอบเขตเป็นเพียงกองทัพที่แข็งแกร่งเพียงกองทัพเดียวที่สามารถเทียบกับเผ่าวิญญาณในเรื่องนี้ได้
ในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสัดส่วนของนักรบผู้แข็งแกร่งมากที่สุด เผ่าวิญญาณจึงถือว่าโชคร้ายอย่างแท้จริง ที่ถูกกดดันอย่างหนักจากเผ่ามนุษย์ และเพราะจำนวนที่น้อยกว่าเป็นอย่างมาก ข้อได้เปรียบในด้านพลังของพวกมันจึงไม่มีผล และทำให้เผ่าวิญญาณต้องพบกับความพ่ายแพ้ไป
วิญญาณสุสานยังคงส่งเสียงโหยหวนและคำรามอย่างเกรี้ยวกราด มันมุ่งหน้าต่อไปราวกับว่าเป็นอสูรที่ไม่มีวันถูกโค่นล้มได้ และแม้กระทั่งสายเลือดมังกรสุริยะของกู่ชิงลั่วก็ยังต้องเจอแรงกดดันจากมัน
แต่แม้จะแข็งแกร่ง มันก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลของนิกายไร้ขอบเขตได้ ฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตในตอนนี้มีทหารที่ทำหน้าที่ต้านการโจมตีอยู่ถึงสองหมื่นชีวิต ซึ่งด้วยจำนวนที่มากกว่าถึงสองเท่าจากก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงสามารถหยุดการโจมตีของวิญญาณสุสานได้โดยง่าย พร้อมกันกับสังหารอสูรกายและเผ่าพันธุ์รับใช้ทั้งหลายไปด้วย
แม้ว่ากองทัพของเผ่าวิญญาณจะดูเหมือนมีจำนวนที่ล้นเหลือ แต่นิกายไร้ขอบเขตก็เป็นฝ่ายเริ่มบุกก่อน
ราวกับว่าพวกเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว พลังมากมายจึงถูกส่งออกมาจากศูนย์กลางของเมือง
พลังจิตประหลาดแพร่กระจายไปทั่วในอากาศ พลังนั้นแฝงไปด้วยความโศกเศร้าและความว่างเปล่า แม้แต่หลี่ฉงซานและพรรคพวกก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่าหดหู่ที่พาดผ่านพวกเขาไป
“ในที่สุดพวกนั้นก็ใช้ปืนใหญ่แล้วหรือ” ซูเฉินพึมพำขึ้นอย่างเยือกเย็น
เขาไม่เชื่อเลยสักนิดว่าวิญญาณสุสานและการล้อมโจมตีของเผ่าวิญญาณนั้นจะเป็นไพ่ตายของพวกเขาแล้ว ในเมื่อชาวเผ่าวิญญาณกล้าที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายของซูเฉินโดยตรงเช่นนี้ แสดงว่าพวกนั้นก็จะต้องมีอะไรที่แข็งแกร่งกว่านี้ซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
สิ้นเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้นจากในสมรภูมิรบ ชาวเผ่าวิญญาณก็เริ่มเหาะขึ้นไปในอากาศและมุ่งหน้าเข้าไปหาวิญญาณสุสานทันที
ร่างเหล่านั้นเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าเป็นการเดินทางไปทำธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
ซูเฉินขมวดคิ้วและสังหรณ์ใจไม่ดีจากการเคลื่อนไหวเช่นนั้นของฝ่ายตรงข้าม “หยุดพวกนั้นไว้!”
กู่ชิงลั่วคลี่แขนเสื้อออก ลำแสงเจิดจรัสพลันส่องสว่างขึ้นห่อหุ้มทั้งวิญญาณสุสานและเผ่าวิญญาณไปพร้อม ๆ กัน
มันคือลมหายใจของมังกรสุริยะนั่นเอง ซึ่งมังกรสุริยะตัวจริงนั้นเคยทำลายทั้งกองทัพอาร์คาน่ามาแล้วด้วยลมหายใจเดียว แม้ว่ากู่ชิงลั่วจะไม่ได้มีพลังถึงขั้นนั้น แต่พลังเพียงหนึ่งในพันของพลังนั้นก็ทำให้นางน่ายำเกรงมากพอแล้ว
แต่กระนั้น เมื่อลำแสงดังกล่าวหายไป ร่างของเผ่าวิญญาณก็พลันเปล่งประกายขึ้น ขณะที่พวกมันกลายสภาพไปเป็นลำแสง ที่พุ่งตรงเข้าใส่ร่างกายขนาดมหึมาอันน่าขยะแขยงของวิญญาณสุสาน
ร่างขนาดยักษ์นั่นพลันเปล่งแสงสีแดงฉานขึ้น
สายเลือดมังกรสุริยะของกู่ชิงลั่วได้จู่โจมร่างกายส่วนบนของมันเข้าแล้ว ซึ่งโดยปกตินั้น การโจมตีเช่นนี้ของกู่ชิงลั่วควรจะสามารถทำลายร่างท่อนบนของมันได้เสียด้วยซ้ำ
แสงสีแดงส่องสว่างไปทั่วทุกทิศทาง… ลมหายใจของมังกรสุริยะสลายหายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย
อันที่จริงแล้ว… รังสีของวิญญาณสุสานกลับเปล่งออกมาแรงกล้ามากขึ้นเสียอย่างนั้น
ดวงตาของมันส่องประกายสว่างจ้า
ก่อนหน้านี้การเคลื่อนไหวของมันแข็งทื่อและดูเหมือนหุ่นเชิดไม่มีผิด อีกทั้งยังใช้ร่างกายที่ไร้ความสามารถในการโจมตีนั่นในการต่อสู้ แต่แล้วเมื่อเผ่าวิญญาณหลายร้อยตนพากันเข้าไปในร่างของมัน ยักษ์ใหญ่ก็กลายสภาพไปอย่างสมบูรณ์
ในทันทีที่มันมีพลังจิตและสติปัญญา อิทธิฤทธิ์ของมันก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ปรากฏการณ์ครั้งนี้ช่างอธิบายได้ยากยิ่งนัก รังสีพลังของฝ่ายตรงข้ามนั้นกลายเป็นความกระหายเลือดและความชั่วร้าย
ดวงตาคู่นั้นฉายประกายมุ่งร้ายขณะเตรียมกำปั้นเข้าโจมตี
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! หมัดทั้งสี่ถูกปล่อยออกไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
ความเร็วของการโจมตีนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าจากการโจมตีครั้งก่อน ๆ อย่างกับว่าพลังในการทำลายล้างที่ถูกส่งออกมานั้นเพิ่มขึ้นเสียเฉย ๆ
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไม่ได้มีเวลามากพอด้วยซ้ำ ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่หมัดทั้งสี่นั้นจะพุ่งเข้าใส่
คลื่นพลังที่รุนแรงนั้นส่งร่างของศิษย์ทั้งหลายเข้าปะทะกับหน้าผาทันที เลือดมากมายหลั่งออกมาจากร่างเหล่าศิษย์ ขณะที่พลังต้นกำเนิดก็พุ่งไปมาอย่างโกลาหล
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้มีปฏิกิริยาใด ๆ ยักษ์ที่ชั่วร้ายก็กระโจนขึ้นไปในอากาศและพาร่างขนาดมหึมาของมันบดลงกับพื้น ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปอีกครั้งโดยอาศัยแรงส่งจากขาที่แข็งแกร่ง
ยักษ์ใหญ่เพิ่งจะโจมตีอีกระลอกหนึ่งออกไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว!
ทันใดนั้นร่างมหึมาพลันมีพลังพุ่งพวยขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความว่องไวและทักษะในการต่อสู้ของมันก็เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจด้วยเช่นกัน
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตโดนโจมตีด้วยพลังที่ทั้งรุนแรงและต่อเนื่องโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้เกราะป้องกันของพวกเขาพังทลายลงในที่สุด
“ยมทูต! ยมทูต!”
ชาวเผ่าวิญญาณในเมืองเริ่มร้องเรียกชื่อดังกล่าวด้วยความร้อนรน
วิญญาณสุสานที่ถูกเรียกว่า ‘ยมทูต’ พลันส่งเสียงโหยหวนขึ้นอีกครั้ง และเหวี่ยงแขนออกไปในอากาศอย่างแรง
หากถูกการโจมตีครั้งนี้ปะทะเข้า คงทำให้ร่างของศิษย์จำนวนหลายพันคนสลายกลายเป็นเพียงไอหมอกสีแดงไปในทันตา
ในนาทีสำคัญนี้ ปรมาจารย์ผู้แก่กล้าทุกคนของนิกายไร้ขอบเขตต่างแสดงพลัง
ซูเฉิน กูชิงลั่ว หลี่ฉงซาน ฉู่อิงหว่าน และทุก ๆ คนทะยานออกไปข้างหน้า
“ลักษณ์เจ็ดสายเลือด ออกมา!” ซูเฉินใช้ลักษณ์เจ็ดสายเลือดออกไปอย่างสุดกำลัง
กูชิงลั่วเคลื่อนพลังสายเลือดมังกรสุริยะของนางอย่างสุดความสามารถเช่นกัน
ทักษะต้นกำเนิดที่สะท้านโลกถูกปล่อยออกมาปะทะเข้ากับแขนของยมทูตซ้ำแล้วซ้ำเล่า และซูเฉินเองก็ปล่อยคมดาบฝ่ามิติออกไปอย่างต่อเนื่องถึงหกครั้ง และแม้ว่ามันจะทะลวงผ่านแขนขนาดใหญ่นั้นจนเกิดเป็นรูขึ้น การโจมตีของชายหนุ่มก็ไม่สามารถฉีกแขนนั่นออกจากร่างได้อยู่ดี
ราวกับว่าแขนขนาดใหญ่นั้นถูกยึดติดกับร่างด้วยเส้นใยบาง ๆ มากมาย มันเคลื่อนไหวด้วยความยากลำบากอย่างเห็นได้ชัด
เกราะป้องกันพลังสูญ เกราะผลึกแก้ว และไฟที่ลุกโชติช่วงปรากฏขึ้น
จากนั้นกลิ่นหอมจาง ๆ ของเครื่องร่ำก็เริ่มกระจายตัวไปในอากาศ
ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วได้เริ่มใช้เทียนไขชีวิตแห่งตนแล้วนั่นเอง
พริบตานั้น พลังของทั่งคู่พุ่งทะยานขึ้นอย่างมหาศาล
โดยเฉพาะพลังของซูเฉินนั้นทะยานเข้าสู่ด่านมหาราชันไปแล้ว และเขาเองก็รู้สึกราวกับว่าได้เข้าไปมีตัวตนอยู่ในอีกโลกหนึ่งแล้วอย่างไรอย่างนั้น… ทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
โลกทั้งใบสามารถอยู่ในกำมือของซูเฉินได้!
จากนั้นชายหนุ่มก็ปล่อยหมัดออกไป
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ซูเฉินโจมตีด้วยหมัดที่ป่าเถื่อนนั่นถึงสิบแปดครั้งอย่างต่อเนื่อง แต่ละกำปั้นนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังสูญ และตรงเข้าปะทะกับบาดแผลของเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
ในที่สุด…
ปัง!
แขนของยมทูตขาดออกจากร่างจนได้
แต่แล้วแขนขนาดยักษ์นั้นก็ยังคงลอยต่อไปด้วยแรงเฉื่อยที่เหลืออยู่ก่อนจะปะทะเข้าใส่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตหลายร้อยคน
แต่เมื่อไม่มีพลังโดยตรงจากร่างกายของยมทูตส่งมันออกมา ความรุนแรงจากการปะทะนั้นก็ลดลงกว่าที่ควรจะเป็นอยู่มากทีเดียว แต่ถึงกระนั้นศิษย์จำนวนมากก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส และศิษย์อีกราวสามสิบคนก็ยังตกตายลงในทันทีอีกด้วย
ยักษ์ใหญ่ร้องโหยหวนและก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย แขนที่ขาดออกไปนั้นไม่ได้งอกขึ้นมาใหม่อีกในทันที
ซูเฉินตาลุกวาว “เมื่ออยู่ในร่างยมทูต เจ้านี่ไม่สามารถงอกอวัยวะได้!”
ดังนั้นถึงแม้ว่าวิญญาณสุสานร่างพัฒนานี้จะแข็งแกร่งเหลือเกิน แต่มันกลับไม่สามารถงอกอวัยวะขึ้นใหม่ขณะที่อยู่ในสภาพนี้ได้อย่างนั้นหรือ… เรื่องที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้ทุกคนอดตื่นเต้นไม่ได้
กองทัพจำนวนหนึ่งหมื่นคนอีกทัพหนึ่งได้เข้าร่วมในการต่อสู้กับยมทูตด้วย
“ทุกคนเตรียมป้องกัน!” หลินเฉ่าเซวียนคำราม
ในขณะเดียวกันนั้น ยมทูตพลันกระโดดขึ้นไปในอากาศอีกหน และฟาดขาเข้าใส่ทหารของนิกายไร้ขอบเขตติดต่อกันอีกถึงหกครั้ง
การโจมตีของยมทูตในคราวนี้ดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าครั้งก่อนถึงสิบเท่า อีกทั้งสติปัญญาของมันก็ยังเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด มันโจมตีอย่างโหดเหี้ยมและแม่นยำมากขึ้น และกระทั่งความสามารถในการต่อสู้ก็ยังเทียบได้กับเทพอสูรบรรพกาล… ไม่แปลกเลยที่เผ่าวิญญาณจะมั่นใจว่าตนจะสามารถสยบนิกายไร้ขอบเขตได้
แต่เมื่อกองทัพนับหมื่นคนดูเหมือนจะกระจัดกระจายออกไปอีกครั้ง และความโกลาหลที่เกิดจากยมทูตก็ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสจะโจมตีโต้ตอบได้นั้น ทหารอีกสองหมื่นคนก็เคลื่อนพลตรงเข้ามา ทำให้ตอนนี้มีทหารฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตจำนวนถึงสามหมื่นคนที่กำลังพยายามต้านการโจมตีจากยมทูตอยู่
การจะซ่อนอะไรเอาไว้ในสถานการณ์เช่นนี้นั้นคงไม่เป็นประโยชน์อย่างใด
ดังนั้นศิษย์ทั้งหมดจึงต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ
แม้ว่าตัวจะต้องตายก็ตาม
ตอนนี้วิชาที่น่าตื่นตาตื่นใจใด ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น ชัยชนะของการต่อสู้ครั้งนี้ถูกกำหนดโดยการหลั่งเลือดเพียงอย่างเดียว และผู้ที่อยู่รอดในท้ายที่สุดก็จะได้รับมันไป
นิกายไร้ขอบเขตใช้ทหารสามหมื่นคนเพื่อต้านทานการโจมตีของยมทูต และอีกสามหมื่นคนเพื่อรับมือกับอสูรกาย เผ่าวิญญาณ และเผ่าพันธุ์รับใช้ทั้งหลาย
สมรภูมิในตอนนี้กลายเป็นเหมือนโรงพยาบาลบ้า เลือดมากมายหลั่งไหลลงมาจากบนท้องฟ้า และร่างของทหารก็ร่วงลงมาให้เห็นเป็นครั้งคราวราวกับดาวตก
การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงที่สุดที่นิกายไร้ขอบเขตเคยเผชิญมา และแน่นอนว่ายังเป็นการต่อสู้ที่พวกเขาต้องสูญเสียมากที่สุดอีกด้วย
ทักษะต้นกำเนิด วิชาอาร์คาน่า และแสงดาบพุ่งไปมาทั่วทุกหนแห่ง ที่บนท้องฟ้านั้นดูราวกับว่ากำลังมีไฟบรรลัยกัลป์ลุกโชนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงกรีดร้องและตะโกนด้วยความเดือดดาลดังก้องขึ้นทั่วทั้งสมรภูมิ
…ซูเฉินมองเห็นเพียงพายุที่เกิดขึ้นจากหยาดเลือดเท่านั้น