ภาคที่ 6 บทที่ 107 ความเต็มใจ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 107 ความเต็มใจ

แม้ว่ายมทูตจะแข็งแกร่ง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่มันแลกมาด้วยการสูญเสียความสามารถในการงอกอวัยวะไป ดังนั้นร่างกายของมันจึงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ขณะที่การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป

หลังจากที่กินเวลามาเนิ่นนาน บทสรุปของการต่อสู้ครั้งนี้ก็ใกล้เข้ามาในที่สุด และความได้เปรียบก็กลับมาตกอยู่ในมือของนิกายไร้ขอบเขตอีกครั้ง

เมื่อผลของการต่อสู้ถูกกำหนดแล้ว เผ่าวิญญาณก็สัมผัสได้ว่าสถานการณ์กำลังจะอยู่เหนือการควบคุมของพวกตนในเร็ว ๆ นี้

ชาวเผ่าวิญญาณรวบรวมคลื่นพลังจิตเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อทำลายนิกายไร้ขอบเขตก่อนที่จะหลบหนีไป

เผ่าวิญญาณนั้นลื่นไหลและมีวิธีการแปลก ๆ มากมาย ที่จะทำให้ตัวเองสามารถหนีไปจากสมรภูมิแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่านิกายไร้ขอบเขตจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอยู่หลายหนในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่จำนวนของเผ่าวิญญาณที่พวกเขาสังหารก็ถือว่าจำกัด

ไม่มีอะไรที่ซูเฉินจะทำได้ นอกจากหวังว่าหลังจากที่ไปถึงถ้ำว่านไหลแล้ว ชาวเผ่าวิญญาณก็จะไม่มีที่ไห้หนีอีก

การปล่อยให้เผ่าวิญญาณหนีไปนั้นก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะบทสรุปของการปะทะครั้งนี้จะเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิมมากนั่นเอง

หลังจากสูญเสียกระดูกสันหลังของทัพไป กองทัพเผ่าวิญญาณก็ล่มสลายลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อยมทูตยักษ์ส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้นมาก่อนจะล้มลงกับพื้น ชัยชนะของนิกายไร้ขอบเขตก็ได้รับการยืนยันในทันใด เสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง

การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ยากเย็นที่สุดที่ชาวนิกายไร้ขอบเขตได้ประสบมา

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจำนวนกว่าสามพันคนเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

ในวันนั้น ท้องฟ้าที่อารามยมทูตเต็มไปด้วยเสียงของความโศกเศร้าและทุกข์ระทม ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตมารวมตัวกันยืนไว้อาลัยและรำลึกถึงผู้ที่จากไป

ซูเฉินรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจเหลือเกิน

เขามองดูร่างไร้วิญญาณที่กองรวมกันและพึมพำขึ้น “ข้าเริ่มจะสงสัยแล้วว่าจุดประสงค์ของการทำเรื่องพวกนี้คืออะไรกัน ข้าช่วยชีวิตเซียนเหยาได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่แท้จริงในการทำสงครามครั้งนี้เลย ถ้ามันไม่เกิดขึ้น คนพวกนี้ก็ไม่ต้องตาย”

“อย่าพูดเช่นนั้นเลย” หลี่ฉงซานกล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ “อย่าสงสัยในการกระทำของตัวเองเพียงเพราะมีการหลั่งเลือดในสมรภูมิ จำไม่ได้หรือว่าท่านเคยให้คำมั่นอะไรไว้ก่อนหน้านี้ ท่านจะต่อสู้อย่างสุดความสามารถเพื่อความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

ซูเฉินจ้องเขม็งไปที่หลี่ฉงซาน “แน่นอน ข้าจำได้อยู่แล้ว”

หลี่ฉงซานวางมือลงบนบ่าของซูเฉิน “ท่านจำได้ก็ดีแล้ว การได้มาซึ่งความแข็งแกร่งนั้น ไม่เหมือนกันกับการที่ทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง เผ่าพันธุ์อัจฉริยะมีอยู่มากมายเกินกว่าที่จะนับได้ ในแง่หนึ่งแล้ว ทุกเผ่าพันธุ์เหล่านั้นล้วนเป็นอันตรายต่อเราทั้งสิ้น แม้แต่ชาวสมุทรเองก็เช่นกัน หากเพียงแต่เราสามารถมองต่ำลงไปยังสิ่งรอบตัวได้อย่างภาคภูมิเช่นชาวอาร์คาน่าแล้วเท่านั้น ถึงจะเรียกได้ว่าเราได้รับความยิ่งใหญ่นั้นมาแล้วจริง ๆ ไม่สิ… เราจะต้องทำได้ดีกว่าชาวอาร์คาน่า เราจะยึดอาณาเขตของอสูรกายมาด้วย และจะกลายเป็นผู้ควบคุมทั้งทวีปแห่งนี้”

ซูเฉินใจสั่นเมื่อได้ยินคำพูดที่สวยหรูนั่น

หลี่ฉงซานยังกล่าวต่อไป “เพื่อที่ทำให้สำเร็จเช่นนั้นได้ เราจะต้องสู้ต่อไปและกำจัดศัตรูให้หมด และในทุกการต่อสู้ก็จะต้องเกิดการหลั่งเลือดอย่างเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้จะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอีกอย่างแน่นอน และอาจมีคนที่ต้องบาดเจ็บล้มตายมากกว่าเดิมด้วยก็ได้ ทุกคนจะรู้สึกเศร้าและผิดหวังก็ได้ แต่อย่าสงสัยในตัวเอง เราต้องเข้าใจว่าทุกอย่างที่พวกเราเชื่อและทำนั้นมีความหมาย เราไม่ได้กำลังทำแบบนี้เพื่อทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับหยงเยี่ยหลิวกวง เราทำเพื่อพามวลมนุษยชาติไปสู่พรุ่งนี้ที่ดีกว่า!”

“เพื่อพามวลมนุษยชาติไปสู่พรุ่งนี้ที่ดีกว่า…” ซูเฉินพึมพำขณะที่แววตานั้นคลายความสงสัยในตัวเองลง

ไม่ใช่เพราะเขาไม่เข้าใจหลักการ แต่เป็นเพราะจำนวนของศิษย์นิกายไร้ขอบเขตที่ได้สละชีวิตในวันนี้ส่งผลกระทบต่อซูเฉินอย่างมหาศาล จึงไม่แปลกเลยที่ชายหนุ่มจะสงสัยในการกระทำครั้งนี้

ในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือใครบางคนที่จะบอกกับเขาว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องแล้ว

ต้องขอบคุณหลี่ฉงซานที่ทำหน้าที่นั้นให้กับซูเฉิน

ในฐานะอดีตแม่ทัพของกองทัพกำลังสวรรค์ หลี่ฉงซานผ่านการต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขารู้ดีว่าสิ่งใดที่จะช่วยหนุนใจให้กับเหล่าทหารที่มือเปื้อนเลือดและทำให้พวกเขาหนักแน่นมั่นคงได้ต่อไป

สิ่งนั้นก็คือความเชื่อมั่นนั่นเอง!

หากไร้ซึ้งความเชื่อมั่นแล้ว ไม่ว่าทหารคนใดก็คงไม่รอดมาจากสมรภูมิได้แน่

สิ่งนี้ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารของปราการลุ่มน้ำทองว้าวุ่นยิ่ง เมื่อได้ยินว่าหลินเมิ่งเจ๋อได้สังหารหลงพั่วจวิน…. ซึ่งแปลว่าเขาได้ทรยศต่อความเชื่อมั่นของทุกคนเสียแล้ว

ขวัญกำลังใจของกองทัพนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสำหรับทหารทั่วไป และผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด

กองทัพที่ทรงพลังนั้นจะมีอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเหล่าทหารยินดีที่จะสละชีวิตเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ข้อนี้ยังคงเป็นความจริงเสมอมา

หลังจากคำพูดของหลี่ฉงซานทำให้ซูเฉินกลับมามีสติได้อีกครั้งแล้ว เขาก็คลายกังวลจากความเป็นไปได้ต่าง ๆ นานาในหัวได้ในที่สุด

จากนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มขึ้น “ถูกต้องแล้ว เป้าหมายของพวกเขาก็คือพามวลมนุษยชาติให้ยิ่งใหญ่ ได้เวลาแล้วที่เราจะก้าวต่อไปและทำให้มันเป็นความจริง”

“หือ?” หลี่ฉงซานไม่เข้าใจคำพูดนั้นนัก

แต่ซูเฉินก็พลันยกมือและเริ่มเขียนจดหมายขึ้นกลางอากาศ จดหมายทั้งสองเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ซูเฉินหยิบมันขึ้นมาและส่งให้กับหลี่ฉงซาน “ส่งศิษย์สักสองคนไปหาตานปากับหยงเยี่ยหลิวกวง”

“ท่านจะขอให้พวกเขาเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วยหรือ” หลี่ฉงซานตะลึง

ซูเฉินตอบอย่างเฉยเมย “การกำจัดเผ่าวิญญาณนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวกับเผ่ามนุษย์อย่างเรา การให้เผ่าคนเถื่อนกับเผ่าปักษาเข้ามาร่วมมือนั้นก็ไม่แปลกหรอก แม้ว่าพวกนั้นจะได้รับเกียรติจากการต่อสู้ไปบ้าง แต่นั่นก็จะช่วยกำจัดอุปสรรคให้กับเราได้ไม่น้อย”

หลี่ฉงซานครุ่นคิดเมื่อได้ยินแผนของซูเฉิน จากนั้นเขาจึงหัวเราะขึ้น “เจ้านิกายพูดถูก หยงเยี่ยหลิวกวงกับตานปาจะต้องอึดอัดกันบ้างแน่ ๆ หากพวกเขาต้องมองดูพวกเรากำจัดเผ่าวิญญาณด้วยตัวเอง เราควรแสดงความอ่อนแอสักหน่อยตามความเหมาะสม ถ้าเราแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น พวกนั้นก็จะต้องตกลงแน่”

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก…” ซูเฉินกล่าวเสริมอย่างใจเย็น “ในจดหมายนี้ ข้าได้เขียนไว้ด้วยว่าพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกอาณาจักรหมองหม่นเพื่อยึดเอาทรัพย์สมบัติไปได้ เมื่อถ้ำว่านไหลล่มสลายลง”

หลี่ฉงซานผงะ “ท่านหมายความว่า…”

ซูเฉินพยักหน้า “ภารกิจทำลายล้างเผ่าวิญญาณของเราจะต้องทำให้พวกนั้นระมัดระวังตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจะใช้เมืองของทั้งสองเพื่อดึงดูดพวกนั้นเข้ามาซึ่งทั้งสองแห่งนั้นต่างก็เต็มไปด้วยอันตรายและทรัพย์สมบัติมากมาย อีกอย่าง ถ้าไม่มีสิ่งล่อตาพวกนี้แล้วก็คงจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้ยากนัก ในเมื่ออย่างไรแล้วพวกนั้นก็จะทำให้เราโดยไม่ได้อะไรตอบแทนอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาตกลงในเรื่องของจำนวนศัตรูที่แน่นอน ตราบใดที่ฝ่ายนั้นยินดีที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเองเพราะผลประโยชน์ นั่นก็ดีพอแล้ว”

คำเชิญจากซูเฉินในครั้งนี้จะนำกำลังเสริมมา รวมถึงหยุดการโจมตีโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้าม และยังเป็นการสร้างความขัดแย้งระหว่างทั้งสองเผ่าพันธุ์อื่นนั้นด้วย

และต่อให้ตานปากับหยงเยี่ยหลิวกวงจะคาดเดาเจตนาของซูเฉินได้ แต่ทั้งสองก็คงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างแน่นอน

ความละโมบนั้นเป็นแรงจูงใจชั้นดีทีเดียว

ห้องใต้ดินที่กว้างใหญ่ไพศาลของเผ่าวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยสมบัติมหาศาลที่มากพอจะทำให้เผ่าคนเถื่อนและเผ่าปักษาต้องน้ำลายหกได้

นิกายไร้ขอบเขตได้ปูทางไว้แล้วที่เบื้องหน้า และตอนนี้พวกเขาก็ได้ทิ้งสิ่งที่ล่อตาล่อใจมากที่สุด ไว้ให้กับพวกเขา… แล้วตานปากับหยงเยี่ยหลิวกวงจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน

แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่านี่เป็นเหยื่อล่อ แต่ก็ยังอยากจะงับมันไว้อยู่ดี!

แผนการนี้ได้แรงบันดาลใจมากจากคำพูดสร้างความมั่นใจของหลี่ฉงซาน

สายตาของเขาจับจ้องไปยังทั้งทวีป… แล้วเมืองเพียงเมืองเดียวจะไปเทียบกันได้อย่างไร

ด้วยเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ ซูเฉินจึงสามารถตัดสินใจวางกลยุทธ์ที่สำคัญนี้ขึ้นมาได้

และการตัดสินใจครั้งนี้ของซูเฉิน ก็จะทำให้นิกายไร้ขอบเขตไม่ต้องโจมตีถ้ำว่านไหลด้วยตัวเอง และไม่ต้องสูญเสียกำลังพลของนิกายไป เมื่อเป็นเช่นนั้นชาวนิกายไร้ขอบเขตก็จะสามารถรักษากำลังสำคัญไว้สำหรับการต่อสู้ในอนาคตได้

ผู้ที่ยินดีจะเสียสละก็จะได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ขณะที่ซูเฉินกำลังอธิบายถึงแผนการ ศิษย์คนหนึ่งก็เหาะตรงเข้ามา

“คารวะท่านเจ้านิกาย ทางเข้าสู่สุสานถูกค้นพบแล้วที่ศูนย์กลางของอารามยมทูต”

เลือดหยดหนึ่งของซูเฉินลอยไปในอากาศก่อนจะก่อตัวกลายเป็นร่างแยกของเขาเอง “ไปกันเถอะ”

ไม่มีใครรู้ว่าเผ่าวิญญาณจะซ่อนอะไรไว้เบื้องหลังสุสานนั่น และซูเฉินก็ไม่มีทางใช้ร่างจริงตัวเองเพื่อเข้าไปตรวจสอบที่นั่นแน่

เมื่อไปถึงยังอารามยมทูต เขาก็พบกับรูขนาดยักษ์อยู่เบื้องหน้า ที่นี่เองที่เหล่าวิญญาณสุสานคืบคลานกันออกมา

ร่างแยกของซูเฉินก้าวเข้าไปในนั้น และเขาก็ต้องประหลาดใจทีเดียวที่ข้างในนั้นสะอาดสะอ้านอย่างน่าเหลือเชื่อ

นอกจากจะสะอาดสะอ้านแล้ว แต่สุสานก็ยังถูกดัดแปลงพื้นที่ให้มีห้องมากมายด้วย ซึ่งก็น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเผ่าวิญญาณนั่นเอง

ร่างแยกของซูเฉินยังคงเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบกับโถงแห่งหนึ่งที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหิน ที่แห่งนี้เป็นเพียงสถานที่เดียวที่เปล่งรังสีที่สอดคล้องกับชื่อของ ‘อารามยมทูต’

ผนังของโถงหินแห่งนี้เต็มไปด้วยอักขระอันล้ำลึก

ที่ยอดของโถงแห่งนั้นมีรูปปั้นที่เรียบง่ายและไร้ซึ่งเครื่องตกแต่งใด ๆ ตั้งอยู่

รูปปั้นนั้นดูธรรมดาและเคร่งขรึมนัก ที่เบื้องล่างนั้นยังมีกองกระดูกปรากฏอยู่ด้วย

ทันทีที่ซูเฉินเข้าไป รูปปั้นดังกล่าวก็ลืมตาโพลงขึ้น “มนุษย์หรือนั่น… ในที่สุดผีสางพวกนี้ก็พ่ายแพ้แล้วสินะ”

เผ่าพันธุ์อัจฉริยะแทบทั้งหมดนั้นมักมองว่าเผ่าวิญญาณเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายเหมือนผีสาง เพื่อให้ล้อไปกับการที่พวกมันไม่ได้เป็นสิ่งที่มีชีวิตอย่างแท้จริง

รูปปั้นเรียกเผ่าวิญญาณว่าผีสางในลักษณะที่สนิทสนมกันอย่างเห็นได้ชัด

ซูเฉินถามกลับไปอย่างใจเย็น “แล้วท่านเป็นใครกันหรือ”

“ข้าคือยมทูตนามเจียหลัว ถวายเครื่องบูชากับข้า แล้วข้าจะมอบพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับเจ้า”

“เครื่องบูชา… อะไรล่ะ ชีวิตอย่างนั้นหรือ”

รูปปั้นหัวเราะขึ้น “ผิดแล้ว เป็นร่างของชาวเผ่าวิญญาณต่างหาก! ยิ่งร่างนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ยิ่งดี เผ่าวิญญาณที่ชั่วร้ายพวกนั้นให้ร่างที่ต่ำช้ากับข้าเพื่อรังแกข้า เจ้าเองก็เป็นศัตรูกับพวกนั้นไม่ใช่หรอกหรือ ไปสังหารพวกมันตามที่ปรารถนาเสีย และเอาร่างของพวกมันมาให้ข้า จากนั้นข้าจะมอบพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับเจ้า”

“อย่างนี้นี่เอง” ซูเฉินดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที “ท่านพูดถึงพลังใช่ไหม”

“ถูกต้อง เหมือนกับสิ่งที่เจ้าต่อกรด้วยที่ข้างนอกนั่นอย่างไรล่ะ” ยมทูตเจียหลัวตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “เจ้าเห็นอานุภาพของมันแล้วไม่ใช่หรือ นั่นน่ะคือพลังที่แท้จริงที่ข้าจะสามารถมอบให้กับเจ้าได้ น่าเสียดายที่เผ่าวิญญาณไม่เคยเลี้ยงดูข้าดี ๆ เลย จนกระทั่งวันนี้ที่จู่ ๆ พวกมันก็มอบร่างกว่าร้อยร่างให้ข้าในคราวเดียว ข้ากินจนอิ่มเลยล่ะ! ฮ่า ๆๆๆ”

ตอนที่เผ่าวิญญาณทั้งหลายพากันหลอมละลายลงไปในวิญญาณสุสานนั้น ก็เป็นการที่พวกมันมอบร่างของตัวเองเพื่อเป็นเครื่องบูชาให้กับรูปปั้นยมทูต เพื่อที่จะให้วิญญาณสุสานมีพลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

ยมทูตเจียหลัว!

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้พบกับทวยเทพที่ควรจะมีตัวตนอยู่เพียงในตำนานเท่านั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าการมอบเครื่องบูชาให้กับอีกฝ่ายจะทำให้ได้พลังที่แข็งแกร่งเช่นนั้นเป็นการตอบแทน

เดี๋ยวนะ… ทวยเทพที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ?

ซูเฉินหันไปมองรูปปั้นนั้นอีกครั้งและเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ใหม่ในทันที

“เจ้ามัวลังเลอะไรอยู่ล่ะ” รูปปั้นนั้นพลันตะโกนขึ้นดังลั่น “เร็วเข้า! เอาร่างพวกเผ่าวิญญาณมาให้ข้ากิน และด้วยความช่วยเหลือจากข้า เจ้าจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไร้เทียมทาน!”

“แต่พวกเผ่าวิญญาณก็ไม่ได้ไร้เทียมทานไม่ใช่หรอกหรือ” ซูเฉินขัดขึ้น

“นั่นก็เพราะพวกนั้นไม่ได้มอบร่างของตัวเองด้วยความเต็มใจอย่างไรล่ะ!”

ซูเฉินตอบกลับไปอย่างใจเย็นเช่นเคย “แต่ชาวเผ่าวิญญาณก็น่าจะจับเอาพวกผู้ร้ายหรือคนทรยศมาได้บ้าง หรืออาจเป็นเครื่องบูชาอื่น ๆ ที่ตัวเองเต็มใจจะมอบให้ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา… เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอันแข็งแกร่งนั่น หากปรารถนามากพอ หลาย ๆ อย่างก็เป็นไปได้เสมอ แต่ทำไมพวกนั้นไม่เต็มใจทำเช่นนั้นล่ะ”

รูปปั้นเทพพูดไม่ออก

จากนั้นซูเฉินจึงตอบคำถามของตัวเอง “เพราะพวกนั้นไม่สามารถมีพลังอย่างที่ท่านว่าได้ใช่ไหม เทพ… เทพทั้งหลายน่ะหายไปจากโลกนี้นานแสนนานมาแล้ว แต่กลับมีเทพอยู่ที่นี่เสียอย่างนั้นน่ะหรือ หึ ๆ”

ซูเฉินเริ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะที่น่าขนลุกนั่นทำให้รูปปั้นเทพเริ่มตัวสั่น

ซูเฉินยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ท่านเป็นแค่ชิ้นส่วนของวิญญาณเท่านั้นใช่ไหม ท่านจำเป็นต้องยึดตัวเองเข้ากับรูปปั้นนี้ก็เพราะท่านไม่อยากตาย เครื่องบูชาที่ท่านต้องการนั้น อันที่จริงก็คือแหล่งพลังจิตที่ทำให้ท่านมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ และหากท่านรวบรวมมันได้มากพอก็จะคืนชีพได้ ถูกไหม? ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากท่านคืนชีพกลับมาได้ แต่ข้ารู้ว่าโลกนี้ไม่จำเป็นต้องมีเทพอีกต่อไปแล้ว”

เมื่อพูดจบ สีหน้าของชายหนุ่มก็ดูร้ายกาจขึ้นถนัดตา

รูปปั้นนั้นเริ่มตระหนก “ไม่!!!”

ซูเฉินหันหลังเพื่อจะกลับออกไป “เฝ้ายามอยู่ที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้เครื่องบูชาใด ๆ กับมันเด็ดขาด!”