ภาคที่ 6 บทที่ 108 รวมทัพ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 108 รวมทัพ

เทพเจ้า…

เทพเจ้าเคยมีตัวตนอยู่ในโลกนี้จริง ๆ หรือ?

ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของซูเฉินขณะที่กำลังเดินออกไปจากสุสาน

ร่างแยกของเขาสลายไป แต่ความคิดนั้นยังคงฟุ้งอยู่ในสมองของร่างจริงต่อ เขาอดนึกถึงพระแม่ของเผ่าปักษาไม่ได้ ปฏิกิริยาที่แสนประหลาดนั้นก็ทำให้ดูเหมือนว่ามีเทพเจ้าที่คอยสังเกตการณ์ดินแดนแห่งนี้อยู่จริง ๆ

แต่หากเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมพวกเขาถึงได้ทำเพียงมองดูเฉย ๆ แทนที่จะเข้ามาแทรกแซงล่ะ

แล้วจู่ ๆ ซูเฉินก็นึกถึงขอทานชราคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

เขาเองได้พบกับอีกสองคนที่เจอกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดจากขอทานชราคนดังกล่าว

และหลงพั่วจวินก็บอกกับซูเฉินว่าอันที่จริงแล้วชายแก่คนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ

มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวได้ถึงเพียงนั้นไม่ใช่หรือ?

แต่เป้าหมายของขอทานชรานั่นคืออะไรกันแน่

เทพเจ้านั้นไม่ได้ไร้พลังในดินแดนมนุษย์

แต่ขอบเขตของพลังจะมากน้อยเพียงใดนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

เทพเจ้าทั้งหลายดูราวกับว่าจะมีผลต่อโลกใบนี้เพียงไม่เท่าไรเท่านั้น แต่พวกเขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอยู่ดี

แต่เพราะอะไรกันนะ

ยิ่งซูเฉินครุ่นคิดเขาก็ยิ่งสับสน สุดท้ายแล้วเขาจึงหันไปสอบสวนกับเผ่าวิญญาณที่รอดชีวิตแทน

ทว่าการสอบสวนกลับทำให้เขาต้องผิดหวังไม่น้อย

ยมทูตเจียหลัวเป็นชิ้นส่วนวิญญาณจริง ๆ ความทรงจำของมันแทบจะจางหายไปหมดจนรูปปั้นนั้นจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขามาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร

มันคงต้องกินร่างเผ่าวิญญาณไปมากมายเพื่อที่จะให้ความทรงจำเหล่านั้นกลับคืนมา

อันที่จริงแล้วชาวเผ่าวิญญาณก็เคยพยายามที่จะทำเช่นนี้มาก่อนแล้วเช่นกัน ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้พวกเขาต้องจ่ายราคาแพงลิบเพื่อทำให้เจียหลัวกลับมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

ส่วนสิ่งที่เผ่าวิญญาณได้เรียนรู้หลังจากที่เจียหลัวได้รับความทรงจำกลับคืนมาแล้ว มีเพียงแค่ชาวเผ่าวิญญาณระดับสูงที่มีสิทธิ์รู้ ผู้คุมธรรมดา ๆ เหล่านี้ไม่รู้อะไรเลยนอกจากการที่ความลับอันยิ่งใหญ่เหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำของพวกเขา

“หรือก็คือ ข้าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อข้ายึดถ้ำว่านไหลและยึดการควบคุมของอาณาจักรหมองหม่นได้” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง “มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกล… ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าความลับกี่อย่างกันที่วิญญาณชราคนนี้เก็บไว้”

ความอยากรู้อยากเห็นผุดขึ้นในใจของซูเฉิน

แม้ว่าเขาเพียงต้องการจะสังหารและฝ่าฟันไปจนถึงถ้ำว่านไหลให้ได้ในตอนนี้ แต่ซูเฉินก็กดความปรารถนานั้นไว้และตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่อารามยมทูตต่อไป

เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อจุดประสงค์สองอย่างด้วยกัน อย่างหนึ่งนั้นก็คือพวกเขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อที่รวบรวมข้อมูล และอีกอย่างหนึ่งก็คือนิกายไร้ขอบเขตจะต้องรอให้เผ่าปักษากับเผ่าคนเถื่อนตอบรับกลับมานั่นเอง

ซึ่งทั้งสองเผ่าก็ตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็วทีเดียว

เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงรู้ว่าซูเฉินขอทัพเสริม เขาก็ส่งชาวปักษาหนึ่งแสนตนมาร่วมภารกิจในทันที นักรบปักษาเหล่านี้เคยเข้าร่วมในการป้องกันเมืองล่องนภามาก่อนแล้ว จึงทำให้พวกเขาเป็นทหารผ่านศึกชั้นสูง หยงเยี่ยหลิวกวงไม่สงวนท่าทีหรือกำลังแต่อย่างใดเพื่อวิญญาณอำมฤต ต่อให้ปักษาทั้งหนึ่งแสนชีวิตนั้นต้องตาย เขาก็จะต้องได้วิญญาณอำมฤตคืนมา

การสนับสนุนจากฝ่ายตานปานั้นไม่ได้เด็ดเดี่ยวมากเท่ากับหยงเยี่ยหลิวกวง อันที่จริงแล้วพวกเขาได้ต่อรองกันมาก่อนและได้ข้อตกลงร่วมกันแล้ว

ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนจดหมายกันอย่างน้อยสิบฉบับในระหว่างนี้

เผ่าคนเถื่อนอาจช้าไปพอสมควรหลังจากใช้เวลาไปกับการต่อรอง แต่พวกเขาก็ได้เข้ามาในเขตแดนของเผ่าวิญญาณเป็นเวลานานแล้วก่อนที่จะเกิดข้อตกลงนี้ขึ้น เห็นได้ชัดว่าตานปากำลังใช้ภารกิจของนิกายไร้ขอบเขตเพื่อขยายเขตแดนของเผ่าคนเถื่อนไปสู่ดินแดนของเผ่าวิญญาณทันทีที่ได้รับจดหมายจากซูเฉิน และเมื่อเผ่าวิญญาณกำลังถอยทัพกันอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ชายแดนของพวกเขาก็จะต้องขาดการคุ้มกันเป็นธรรมดา

หลังจากเวลาผ่านไปสองเดือน นิกายไร้ขอบเขตก็มุ่งหน้าสู่ถ้ำว่านไหลและเดินทางไปถึงตามเวลาที่ตกลงกันไว้

ในวันนั้น เผ่าวิญญาณได้เห็นภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเขตชายแดนของพวกเขามาก่อน

เผ่าทั้งสามมารวมตัวกันที่ดินแดนทางเหนือที่แสนหนาวเย็นของทวีป

ถ้ำว่านไหลมีชื่อเสียงในเรื่องที่มันหนาวเย็นและเป็นน้ำแข็งตลอดปี

ซึ่งถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ ณ จุดเหนือสุดของทวีป อากาศที่นี่เย็นยะเยียบอย่างถึงที่สุด และทรัพยากรในพื้นที่บริเวณนี้ก็ขาดแคลนเพราะสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ที่นี่ไม่มีต้นหญ้า จึงไม่มีสิงสาราสัตว์อาศัยอยู่ มีเพียงเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดผ่านมาเท่านั้น

เขตแดนของเผ่าวิญญาณนั้นปราศจากซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ อาศัยอยู่

และเพราะไม่มีสิ่งมีชีวิต จึงแทบไม่มีความขัดแย้งใด ๆ ซึ่งหมายความว่าที่แห่งนี้โอบล้อมไปด้วยความเงียบเท่านั้น

ชื่อของถ้ำว่านไหลนั้นมีที่มาจากวลีที่มีความหมายว่า ‘ไม่มีเสียงใดให้ได้ยิน’

เผ่าวิญญาณสร้างเมืองขึ้นที่นี่ก็เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องกินอาหาร และสิ่งจำเป็นสำหรับความเป็นอยู่ก็น้อยนิด อันที่จริงแล้วความเงียบของที่แห่งนี้ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่อันตรายและผืนดินที่ดูดซึมพลังต้นกำเนิดนั้นต่างก็ทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันให้กับเผ่าวิญญาณได้ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมองข้ามอากาศที่หนาวเย็นและความโดดเดี่ยวของที่แห่งนี้ไปแล้วจึงสร้างเมืองขึ้นพร้อมกับระบบอุโมงค์ใต้ดินที่ซับซ้อนจนเกิดเป็นอาณาจักรหมองหม่นที่ใต้พิภพ

ภายนอกของถ้ำว่านไหลอาจดูเหมือนมีลักษณะเป็นพื้นราบเรียบปกติ หากใครไม่เคยเข้ามาที่นี่ก็จะไม่รู้เลยว่าทางเข้าของถ้ำแห่งนี้อยู่ที่ไหน

อันที่จริงแล้วทางเข้าของถ้ำนี้ไม่ได้อยู่บนพื้น แต่มันกลับอยู่บนท้องฟ้า

ซึ่งก็คือเขาแยกนภานั่นเอง

ยอดเขาแห่งนี้สูงชะลูดขึ้นไปเหนือทุกสิ่ง

มันตั้งตระหง่านราวกับยักษ์ใหญ่ทำให้นึกถึงต้นไม้หินเพราะไม่มีเขาอื่นใดรอบบริเวณนี้อีกแล้ว

เขาแยกนภายืนหยัดอย่างภาคภูมิราวกับดาบที่ปักลงบนพื้นอย่างสง่างาม เป็นตัวแทนของเผ่าวิญญาณในการยึดอาณาเขตแห่งนี้ รวมไปถึงพลังและความยิ่งใหญ่ของพวกมัน

วันนี้บททดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ชาวเผ่าวิญญาณเคยพบมาได้มาถึงแล้ว

นิกายไร้ขอบเขตเป็นกลุ่มแรกที่มาถึง

ลมเย็นที่หนาวเข้ากระดูกนั้นไม่สามารถทำลายขวัญกำลังใจของเหล่าทหารกล้าได้ เมื่อมาถึงแล้วพวกเขาก็ปักหลักรออย่างหนักแน่น

เผ่าปักษาเป็นทัพที่สองที่เดินทางมาถึง

ในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถบินได้อยู่แล้วตามธรรมชาติ จึงปฏิเสธไม่ได้ในความรวดเร็วของพวกเขา

และในฐานะที่เป็นเผ่าที่เชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่า ชาวปักษาจึงมีวิธีการมากมายที่จะต้านทานความหนาวเย็นของที่นี่ได้

เมื่อเทียบกันแล้ว เผ่าคนเถื่อนที่มาถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายนั้นดูเหมือนจะมีสภาพเลวร้ายกว่ามาก

พวกเขาเป็นทหารเพียงกลุ่มเดียวที่เดินทางมาที่นี่ด้วยเท้า

ทหารเผ่าคนเถื่อนกลุ่มใหญ่ปรากฏกายขึ้นไกลออกไป พวกเขากำลังมุ่งหน้ามาอย่างไม่เป็นระบบระเบียบและเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นมาแต่ไกลตั้งแต่ร่างของพวกเขายังไม่โผล่มาให้เห็นเลยด้วยซ้ำ

“เร็วเข้าไอ้พวกสวะ ไอ้ตาขาวเอ๊ย! อากาศเย็นแค่นี้ก็ทำให้ตัวหดกันแล้วหรือไร ยืดอกหน่อยโว้ย!” ชายร่างสูงคนหนึ่งในเผ่าคนเถื่อนตะโกนขึ้น

เขาคือหลงเจ๋อเอ่อร์ หนึ่งในแม่ทัพที่ดุดันที่สุดของตานปา

เวลาหลายปีผ่านไปแต่ความอาจหาญของชายคนนี้ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น เขาเสียดวงตาไปข้างหนึ่งในสงครามกลางเมืองกับชนเผ่าเพลิง แต่ผ้าปิดตาบนใบหน้านั้นกลับทำให้ชายคนนี้ยิ่งดูดุร้ายมากขึ้นไปอีก แม้แต่อากาศที่หนาวเย็นก็ยังไม่สามารถหยุดความปรารถนาที่จะต่อสู้อันไร้ขีดจำกัดที่กำลังพวยพุ่งออกไปจากทุกรูขุมขนของเขาได้

เผ่าคนเถื่อนพากันคำรามอย่างดุร้ายและมุ่งหน้าต่อไปด้วยท่าทางที่หนักแน่นยิ่งขึ้น

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพอากาศแบบทุ่งหิมะทุนดรา หลายคนในนั้นก็ยังเปลือยท่อนบนด้วยซ้ำ เหล่าชายฉกรรจ์กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาวุธที่ติดไว้อย่างหยาบ ๆ ที่บนหลัง แสงสีขาวปรากฏขึ้นจากร่างกายขณะที่ปากของพวกเขากำลังกัดกินน่องอสูรกายในมือ สำหรับเผ่าคนเถื่อนแล้ว อาหารคือแหล่งพลังงานที่สำคัญมากที่สุด

คนเหล่านี้สง่างามน้อยกว่าชนชั้นสูงจากเผ่าปักษาอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีระเบียบน้อยกว่าศิษย์นิกายไร้ขอบเขตอย่างมากอีกด้วย แม้แต่กองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าคนเถื่อนก็ยังเคลื่อนพลกันอย่างไร้ระเบียบเลยด้วยซ้ำ

แต่กระนั้น ในความวุ่นวายที่เห็นก็ยังมีระเบียบบางอย่างซ่อนอยู่ด้วยเช่นกัน

ขณะที่ซูเฉินกำลังมองดูเผ่าคนเถื่อนมุ่งหน้าเข้ามานั้นเขาก็หรี่ตาลง “หมอนี่… ดูเหมือนว่าเขาจะยังฉลาดขึ้นได้อีกสินะ”

เจียงหานเฟิงถามขึ้นด้วยความใคร่รู้ “เขาฉลาดขึ้นอย่างไรหรือ พวกนั้นก็ดูไร้ระเบียบอย่างเคยนี่”

ซูเฉินส่ายหน้า “ทัพคนเถื่อนอาจดูไร้ระเบียบก็จริง แต่อันที่จริงแล้วพวกนั้นน่ะมีวินัยมากทีเดียว และการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ไม่สอดคล้องกันด้วย จริงอยู่ที่พวกนั้นไม่ได้เดินแถวกันมาอย่างเป็นระเบียบ และอาจไม่ได้มีอาวุธที่เป็นรูปแบบเดียวกัน อันที่จริง แม้แต่ค่ายกลของพวกเขาก็ยังดูเกะกะไปหน่อยด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นแค่ข้อบกพร่องในระดับผิวเผินเท่านั้น ถ้ามองดูดี ๆ ก็จะเห็นว่าหน่วยย่อยของนักรบเผ่าคนเถื่อนที่พวกเขามักใช้เป็นปกติน่ะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว”

ก่อนหน้านี้ หน่วยต่อสู้พื้นฐานของเผ่าคนเถื่อนถูกแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่ประกอบด้วยทหารสามคน

กลุ่มทหารเหล่านี้ถือว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหลาย

และนั่นก็เพราะสมองของเผ่าคนเถื่อนนั้นทำงานอย่างเรียบง่าย จึงทำให้เป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะร่วมมือและทำงานที่ซับซ้อนด้วยกัน ดังนั้นแล้วในอดีตที่ผ่านมา เผ่าคนเถื่อนจึงเรียนรู้ที่จะใช้หน่วยทหารจำนวนสามคนนี้เพราะเป็นจำนวนที่ง่ายดายมากที่สุด

ทัพคนเถื่อนในปัจจุบันนี้นั้นดูเหมือนว่าจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่มีทหารจำนวนสิบคน

ไม่ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับอันตรายในรูปแบบใด ทหารทั้งสิบคนนี้ก็จะยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยเลย นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่าตานปาได้พัฒนาความสามารถในการทำงานร่วมกันของเผ่าคนเถื่อนไปอย่างมากแล้วนั่นเอง

ตานปาสามารถล้มล้างราชาผู้บ้าคลั่งได้ และกองทัพทั้งหลายของเขาที่เต็มไปด้วยปรมาจารย์มากความสามารถนั้น นอกจากจะได้ความช่วยเหลือจากซูเฉินแล้ว ก็ยังเป็นผลจากความขยันขันแข็งของเขาเองด้วย

กองทหารสิบคนเหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าทหารของตานปาเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ไปได้มากทีเดียว เมื่อเทียบกับทหารของราชาผู้บ้าคลั่งในระหว่างภารกิจต่อต้าน กองทหารสิบคนเพียงกลุ่มเดียวของตานปายังสามารถทำลายกองทหารสามคนของฝ่ายตรงข้ามได้ถึง 7 กลุ่ม ขนาดของกองทหารที่เพิ่มขึ้นนั้นก็ยังเป็นการเพิ่มความสามารถในการจัดการกับเป้าหมายที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากได้ การเปลี่ยนแปลงนี้เพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตให้กับพวกเขา และยังเป็นการกัดกินจำนวนปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย

ปรมาจารย์ส่วนมากของชนเผ่าเพลิงถูกสังหารโดยกองทัพของชนเผ่ากิ้งก่ากรวด พวกเขาประเมินกองทัพที่ทันสมัยของตานปาด้วยมุมมองแบบดั้งเดิม ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ฝ่ายชนเผ่าเพลิงจะต้องพบกับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ… พวกนั้นไม่ได้เป็นลูกสมุนของตานปาโดยตรง” ซูเฉินขยายความอย่างใจเย็น

“พวกนั้นไม่ใช่คนของเขาหรือ” ทุกคนต่างตกตะลึง

“ใช่แล้ว คนเถื่อนพวกนี้ไม่ได้มาจากเผ่ากิ้งก่ากรวด” ซูเฉินเคยมีปฏิสัมพันธ์กับชนเผ่ากิ้งก่ากรวดมาแล้วก่อนหน้านี้ เขาจึงสังเกตได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มาจากกลุ่มเดียวกันอย่างแน่นอน

“แล้วพวกนั้นมาจากเผ่าไหนกันล่ะ”

“ชนเผ่าเพลิง”

ราชวงศ์อย่างนั้นหรือ?!

คำตอบของซูเฉินทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงอีกครั้ง

หลังจากราชาผู้บ้าคลั่งพ่ายแพ้ ชนเผ่าเพลิงก็น่าจะถูกทำลายไปแล้ว และอำนาจของพวกเขาก็ควรจะหมดไปด้วย แม้ว่าธรรมเนียมของเผ่าคนเถื่อนแล้วนั้นพวกเขาจะไม่ต้องถูกสังหาร แต่ชนเผ่าเพลิงก็จะต้องสละดินแดนส่วนมากของพวกเขา ลดจำนวนคนลง และยอมรับการปกครองจากราชวงศ์ใหม่

แต่ตานปากลับส่งคนเถื่อนที่พ่ายแพ้พวกนั้นมาร่วมในภารกิจครั้งนี้เสียอย่างนั้น และไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มละสิบคนอีกด้วย ซึ่งแปลว่าคนเหล่านี้ก็จะต้องใช้กลยุทธ์ในการต่อสู้แบบเดียวกันด้วยนั่นเอง

การจัดทัพของเผ่าคนเถื่อนนั้นแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของตานปาได้อย่างชัดเจน

แต่ในเมื่อเขาส่งสมาชิกของชนเผ่าเพลิงมาแทนที่จะเป็นสมาชิกที่เขาไว้ใจจากเผ่ากิ้งก่ากรวด……

ก็ทำให้เห็นได้เช่นกันว่าตานปาไม่ได้ถูกข้อเสนอของซูเฉินหลอกเสียทีเดียว

เขายังเลือกที่จะใช้โอกาสนี้ในการจัดการกับผู้ที่ภักดีกับเขาน้อยที่สุดด้วย

ถัดไปจากกลุ่มคนจากชนเผ่าเพลิงเป็นทหารจากเผ่าอินทรีแดง เผ่ากระดูกเหล็ก เผ่าหัตถ์เลือด และเผ่าอื่น ๆ อีกมากมาย

เผ่าเหล่านี้ต่างเคยเป็นผู้ที่ภักดีกับราชวงศ์เก่ามาก่อน ขุนนางคนใหม่ ๆ ของเผ่าคนเถื่อนซึ่งมาจาก เผ่าค้อนแห้ง เผ่าดาบสายฟ้า และเผ่าตะวันทมิฬก็ไม่ได้มาในคราวนี้ด้วย

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีบุคคลสำคัญมากับทัพนี้ด้วยเลย…. อย่างไรแล้วก็ยังมีหลงเจ๋อเอ่อร์มากับพวกเขาด้วย

แล้วก็ไม่ได้มีแค่หลงเจ๋อเอ่อร์เพียงคนเดียว ตานปาเองก็ยังมาที่นี่ด้วย

เมื่อเผ่าคนเถื่อนจำนวน 200,000 คนเดินทางมาถึงที่แล้ว รถม้าหลวงก็ปรากฏขึ้น

ตานปา จักรพรรดิหนุ่มของเผ่าคนเถื่อนก้าวออกมาจากรถม้าลงมายืนตระหง่านอยู่บนพื้นน้ำแข็งที่เบื้องล่าง