บทที่ 109 โต้เถียง
เมื่อเห็นว่าตานปามาด้วย ซูเฉินก็หัวเราะและเหาะเข้าไปหาทันที
เมื่อเผ่าคนเถื่อนเห็นดังนั้นก็ตระหนกเล็กน้อย แต่ตานปากลับยกมือขึ้นและห้ามไว้ไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
ฝ่ายซูเฉินเมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกประทับใจทีเดียว
หากทหารกลุ่มนี้เป็นทหารชั้นสูงที่มีวินัย เหตุการณ์แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องประหลาดนัก แต่เมื่อได้รู้ว่าเผ่าคนเถื่อนก็ทำเช่นนี้ได้ จึงถือเป็นเรื่องน่าตกใจ การที่เขาสามารถสั่งการได้อย่างมีประสิทธิภาพกับสมาชิกต่างเผ่านั้นก็น่าทึ่งด้วยเช่นกัน
ซูเฉินผ่านทัพทหารกล้าไปและเดินตรงไปยังรถม้าของตานปา “หวังว่าท่านจะสบายดี”
“ท่านก็เช่นกัน” ตานปาหัวเราะ จากนั้นจึงพยักพเยิดไปยังที่นั่งข้าง ๆ บนบัลลังก์เดียวกัน “มานั่งตรงนี้สิ”
บังลังก์นั้นใหญ่พอสำหรับนั่งได้ถึงสามคน
ซูเฉินหัวเราะและเข้าไปนั่งที่ข้างตานปา
ด้วยสถานะและตัวตนของเขาในตอนนี้แล้ว ซูเฉินเองก็เหมาะที่จะนั่งบนบัลลังก์นี้เช่นกัน
“ข้าประหลาดใจทีเดียวที่ท่านไม่ได้พาลูกน้องคนสนิทของท่านมาด้วย” ซูเฉินยิ้ม
“เรื่องนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้าหรอก เจ้านิกายซูให้ชิ้นเนื้อมีพิษกับข้า ข้าก็ต้องระมัดระวังเป็นธรรมดา” ตานปาตอบ
“แต่ท่านก็ยังเลือกที่จะกินมัน ทั้งยังมาที่นี่เองอีกด้วย”
“ก็เพราะมันอร่อยน่ะสิ”
“ยากนักที่จะกินแต่ส่วนที่อร่อยโดยไม่ให้โดนพิษเข้า ท่านก็รู้”
“อืม แต่มันก็คุ้มที่จะแลก” ตานปาตอบอย่างเฉยเมย
ซูเฉินเปลี่ยนวิธีการพูด “การใช้เผ่าพวกนี้ที่อาจต่อต้านท่าน เพื่อให้พวกเขามาเสี่ยงเช่นนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย แต่การมาที่นี่ด้วยตัวเองน่ะอันตรายกว่ามาก ท่านไม่กลัวหรือว่าคนพวกนี้จะคิดหาโอกาสหักหลังท่าน”
ตานปาตอบอย่างใจเย็น “ครอบครัวของคนพวกนั้นอยู่ภายใต้ความควบคุมของข้า หากข้าตายไป ครอบครัวของพวกเขาก็ต้องตายด้วยเช่นกัน”
“แต่แผนนี่ก็ไม่ได้เป็นทางแก้ที่สมบูรณ์แบบ”
ตานปาสวนกลับ “ไม่เคยมีแผนการใดหรอกที่จะสมบูรณ์แบบ มีการต่อสู้ครั้งไหนไหมล่ะที่เจ้านิกายซูมั่นใจว่าจะชนะอย่างแน่นอน”
ซูเฉินหัวเราะ “ข้าว่าโอกาสที่ข้าชนะก็มีสูงกว่าท่านอยู่สักหน่อย ตานปา… เดี๋ยวนี้ความกล้าหาญของท่านดูเหมือนจะไม่รู้ขอบเขตเสียแล้วนะ”
“ข้าก็แค่เชื่อว่าข้าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ก็เท่านั้นเอง”
“ความมั่นใจในตัวเองของท่านอาจเป็นสิ่งที่ทำลายตัวท่านเองก็ได้!”
ตานปายังคงใจเย็น “ข้าเป็นผู้นำของเผ่าคนเถื่อน การที่จะต้องตายเพราะมั่นใจเกินเหตุมันเป็นเรื่องแปลกนักหรือ”
ซูเฉินชะงักไปชั่วขณะ เขาคิดว่าสิ่งที่ตานปาพูดก็ถูกต้องเช่นกัน
เผ่าคนเถื่อนมากมายในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้นตายไปเพราะสาเหตุนี้
“อย่างไรข้าก็คิดว่าท่านมีเหตุผลกับความมั่นใจนี้มากกว่าพวกเขาละ” ซูเฉินกล่าว
“ไร้สาระ ข้าก็แค่อายุน้อยและมั่นใจเกินไปหน่อยเท่านั้น” ตานปาหัวเราะอย่างหลงตัวเอง “ซูเฉิน ข้าประทับใจนะที่ท่านสามารถฝ่าฟันมาถึงถ้ำว่านไหลได้ เผ่าพันธุ์มนุษย์เรืองอำนาจขึ้นได้ก็เพราะท่าน ข้าน่าจะสังหารท่านเสียตั้งนานแล้ว แทนที่จะมาร่วมมือกันแก้ปัญหาพวกนี้ ความมั่นใจของข้าในตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เสียแล้วละ”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็คงไม่ได้เห็นชะตาของเผ่าวิญญาณด้วยตาเช่นนี้หรอก”
“ข้าเกรงว่าโชคชะตาของเผ่าวิญญาณในวันนี้จะกลายเป็นโชคชะตาของเผ่าคนเถื่อนในวันรุ่งขึ้นน่ะสิ”
ซูเฉินหัวเราะ “ความมั่นใจของท่านหายไปไหนหมดแล้วล่ะ”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ปักษาหนุ่มคนหนึ่งก็เหาะเข้ามาก่อนจะเดินเข้าไปยังบัลลังก์ของตานปาและกล่าวขึ้น “แม่ทัพเทียนเยวี่ยต้องการพบท่าน”
ครั้งนี้เผ่าปักษามีผู้นำทัพคือแม่ทัพกูเทียนเยวี่ย ผู้ที่มีหน้าที่ในการคุ้มกันเมืองล่องนภามาก่อน เขาเป็นตำนานคนหนึ่งในหมู่ชาวปักษา แต่เมื่อเทียบกับชื่อเสียงของหยงเยี่ยหลิวกวงแล้ว เกียรติยศของกูเทียนเยวี่ยก็ยังด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
การที่หยงเยี่ยหลิวกวงส่งเขามาที่นี่ก็บ่งชี้อย่างชัดเจนแล้วว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้มากเพียงไร
แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าตานปาจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง และเมื่อซูเฉินเป็นผู้นำของทัพตัวเองเช่นนี้ ความย้อนแย้งในเรื่องของสถานะจึงชัดเจนมาก
และที่สำคัญที่สุดก็คือ เผ่าปักษานั้นยังคงจองหองอย่างเคย
กูเทียนเยวี่ยด้อยกว่าซูเฉินและตานปาในแง่ของสถานะ แต่การที่เขาขอให้ทั้งสองเข้าพบและไม่ได้มาพบด้วยตัวเองเช่นนี้ก็ทำให้ตานปากับซูเฉินรู้สึกไม่ดีเช่นกัน
ตานปากับซูเฉินหันไปมองหน้ากัน สายตาของทั้งสองพลันเผยให้เห็นถึงความคิดที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ซูเฉินกล่าวขึ้น “ออกไปให้พ้นจากที่นี่ซะ!”
เขาไม่ได้สนใจสาส์นที่ปักษาคนนั้นส่งมาเลยแม้แต่น้อย
ปักษาหนุ่มตะลึง “ท่านว่าอย่างไรนะขอรับ”
“เขาบอกให้เจ้าไปให้พ้นซะ!” ตานปาปล่อยหมัดออกไปอย่างหมดความอดทน
หมัดนี้ดูเหมือนถูกปล่อยออกไปอย่างสบาย ๆ แต่คลื่นพลังที่ปะทุออกจากกำปั้นนั้นรุนแรงเหลือเกิน และส่งร่างของปักษาคนนั้นกระเด็นออก ทหารปักษาไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็หมดสติอยู่ไกลออกไป ซูเฉินได้เห็นแล้วว่าตานปาควบคุมหมัดของตนได้แม่นยำเพียงใด
สำหรับเผ่าคนเถื่อนแล้ว การปล่อยพลังเช่นนี้เป็นเรื่องง่าย แต่การควบคุมพลังให้แม่นยำต่างหากที่ยากกว่ามาก
สายตาที่เฉียบคมของซูเฉินสังเกตเห็นถึงความแม่นยำนั้น “วิชาสู่อมตะ”
“เป็นแบบฉบับที่พัฒนาแล้ว” ตานปายิ้มเล็กน้อย “ข้าต้องขอบคุณเจ้า ที่มอบวิชาการฝึกนี้ให้พวกเราและทดแทนข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงในระบบการฝึกของเผ่าคนเถื่อน”
วิชาการฝึกที่แสนธรรมดาทำให้พลังของตานปาเพิ่มขึ้นได้มากขนาดนี้เชียวหรือ
ซูเฉินบอกได้ทันทีว่าตานปาจะต้องได้รับพลังต้นกำเนิดทั้งหมดมาจากการล้างบาปที่อารามพลังต้นกำเนิด แต่มันแตกต่างไปจากนักรบโทเทมคนก่อน ๆ เพราะพลังที่ป่าเถื่อนของตานปานั้นเป็นเหมือนดาบที่อยู่ในฝัก หากมองผิวเผินแล้วจะเห็นว่ามันเรียบง่ายและถ่อมตน ซึ่งไม่เคยมีนักรบโทเทมคนใดที่สามารถทำได้เช่นนี้มาก่อนเลย
ตานปาบรรลุแล้วอย่างแท้จริง และเขากำลังพาเผ่าคนเถื่อนเข้าสู่ยุคใหม่ที่รุ่งเรืองมากขึ้น
และตานปาก็ได้รับทุกสิ่งเหล่านี้มาจากซูเฉินนั่นเอง
ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ซูเฉินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวิชาการฝึกของเขาจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งกับเผ่าคนเถื่อนได้ถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าตานปาได้วางแผนการเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
“ดังนั้นหลังจากที่เผ่าคนเถื่อนบรรลุพลังได้ด้วยวิชาการฝึกของข้า พวกเขาก็จะสามารถควบคุมความกระหายเลือดและความเกรี้ยวกราดได้อย่างนั้นใช่ไหม ดูเหมือนว่าข้าจะขายมันให้ท่านในราคาที่ถูกเกินไปเสียแล้วสิ” ซูเฉินกล่าวพร้อมกับหรี่ตาลง
วิชาสู่อมตะเป็นเหมือนประตูบานยักษ์ที่เปิดออกสู่ความเป็นไปได้มากมายสำหรับเผ่าคนเถื่อน
ถ้ามองในมุมนี้ ตานปาก็ถือว่าได้ข้อตกลงที่ดีทีเดียว
“นี่คือสาเหตุที่ข้ายินดีจะร่วมมือกับท่านอย่างไรล่ะ” ตานปาตอบขณะที่เก็บหมัดของตัวเองกลับมา
ซูเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ามันน่าขันนัก “ยอดมาก ยอดไปเลย วิชาสู่อมตะทำให้เผ่าของเราทั้งสองพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดทีเดียว ชาวสมุทรก็น่าจะต้องเผชิญกับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันเช่นกัน หลังจากที่ท้องสมุทรโศกาถูกจัดการไปแล้ว ส่วนเผ่าปักษา เมื่อพวกนั้นได้วิญญาณอำมฤตไป และเมืองล่องนภาได้อิสระกลับคืนมาแล้ว ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างมาก ต้องอย่างนี้สิการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจถึงจะน่าสนใจ เยี่ยมจริง ๆ!”
ซูเฉินเริ่มหัวเราะเสียงดัง
ตานปาหันไปมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่ประหลาดใจนัก “นี่ท่านคิดจะมอบวิญญาณอำมฤตให้กับหยงเยี่ยหลิวกวงจริง ๆ หรือ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ซูเฉินตอบกลับ “เรามาถึงจุดนี้กันแล้ว ข้าเองก็อยากจะให้มันผ่านพ้นไปจนจบเสียมากกว่า เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งสี่จะต้องแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะสามารถเอาชนะอสูรกายได้ ท่านเป็นคนพูดเช่นนี้เองไม่ใช่หรือ เพื่อเห็นแก่อนาคตของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอย่างไรล่ะ”
ตานปาเหลือบมองซูเฉินอย่างพินิจพิเคราะห์ เขากำลังจะกล่าวบางอย่างขึ้นพอดีกับที่กูเทียนเยวี่ยเหาะเข้ามา… สีหน้าของผู้มาใหม่ช่างดูน่าเกลียดเหลือเกิน
“เจ้านิกายซู จักรพรรดิตานปา เรื่องนี้ควรจะถูกถกกันสามฝ่าย ไม่เร็วไปหน่อยหรือที่พวกท่านจะตัดเผ่าปักษาออกไป”
ตานปากับซูเฉินมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
จากนั้นทั้งสองก็หันกลับไปมองกูเทียนเยวี่ย
กูเทียนเยวี่ยเห็นดังนั้นก็รู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนในใจขึ้นมาทันที
ซูเฉินกับตานปากล่าวขึ้นพร้อมกัน “จุ้นจ้านจริง ๆ ไปให้พ้นซะ!”
ทั้งสองปล่อยหมัดออกไปสู่ท้องฟ้าพร้อมกัน
กูเทียนเยวี่ยตกตะลึงอย่างสุดขีดและรีบป้องกันตัวทันที เมฆกลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นบนเวหาพร้อมกับเสียงปังที่ดังก้อง
กูเทียนเยวี่ยเพิ่งจะเรียกใช้งานเกราะกำบังขึ้นพร้อมกันกับที่พลังรุนแรงของหมัดนั้นเข้าปะทะกับเกราะของเขา ป้อมเหล็กระดับแปด แตกออกด้วยกำปั้นเดียวเท่านั้น ส่วนอีกกำปั้นหนึ่งปะทะเข้ากับร่างของเขาโดยตรงจนทำให้กูเทียนเยวี่ยกระเด็นออกไปไกล
แม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ในหมู่ปักษาด้วยกัน ซูเฉินกับตานปาก็รังแกเขาราวกับว่ากูเทียนเยวี่ยเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น เขาถูกกระทำเช่นเดียวกันกับปักษาหนุ่มที่มาส่งสารก่อนหน้านี้และลอยกระเด็นออกไปไม่ต่างกัน ทว่าเมื่อพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว กูเทียนเยวี่ยก็พบว่าตนไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดเลยว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้คิดที่จะสังหารอย่างแน่นอน แต่นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่น่าอับอายเหลือเกินสำหรับตน
ทั้งสองคนนั้นไม่สนใจเกียรติยศในฐานะนักรบของบรรดาปักษาของกูเทียนเยวี่ยเลยสักนิด
ซูเฉินค่อย ๆ เก็บมือกลับเข้ามาและกล่าวขึ้น “แม้ว่าเผ่าปักษาจะมีสิทธิ์โบยบินสู่ท้องฟ้าด้วยความภาคภูมิ แต่อาณาจักรหมองหม่นก็ตั้งอยู่ใต้พิภพ ปีกพวกนั้นจะเป็นอุปสรรคกับพวกเขาในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น แต่นักรบเผ่าคนเถื่อนนั้นสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ณ ที่นั่น แม่ทัพเทียนเยวี่ย ถ้าท่านต้องการให้การต่อสู้ครั้งนี้ง่ายขึ้นอีกสักหน่อย ท่านก็จะต้องแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิตานปาด้วย อย่างไรแล้ว ไม่ว่านักรบของท่านจะสามารถรอดชีวิตจากอาณาจักรใต้พิภพที่ซับซ้อนนั่นได้หรือไม่ ก็จะต้องขึ้นอยู่กับเผ่าคนเถื่อนเป็นหลักอยู่ดี”
กูเทียนเยวี่ยชะงักไป ความเดือดดาลของเขาก่อนหน้านี้พลันหายไปเสียแล้ว
สิ่งที่น่าหงุดหงิดอย่างที่สุดนั้นก็คือ ซูเฉินได้ขยายเสียงของเขา เพื่อที่จะให้มันดังก้องไปไกลทั่วทุกทิศทาง ซึ่งปักษาคนอื่น ๆ ก็จะต้องได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างแน่นอน
สิ่งที่คำพูดนี้บ่งชี้นั้นไม่ได้ต่างอะไรไปจากการบอกว่า หากกูเทียนเยวี่ยไม่ยอมทำตาม ชาวปักษาทั้งหมดก็จะได้รับรู้ว่าเขาไม่ได้จริงจังกับการดูแลชีวิตของชาวปักษาด้วยซ้ำ
และเผ่าปักษาก็จะต้องส่งผลประโยชน์บางอย่างที่ได้มาหลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นและจบลง
เพราะเผ่าคนเถื่อนนั้นหมายมั่นไว้ว่าจะทำอะไรอีกมากมายในการต่อสู้ครั้งนี้
กูเทียนเยวี่ยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยอมตกลง เพราะเป้าหมายหลักของชาวปักษาก็ยังคงเป็นวิญญาณอำมฤตอย่างเดิม
เมื่อคิดได้ดังนั้น กูเทียนเยวี่ยก็ได้แต่ถอนใจยาว
เขาเป็นบุคคลสำคัญ ซึ่งนั่นหมายความเขาก็จะต้องรู้ดีว่าตอนไหนควรจะไปต่อ และตอนไหนควรจะถอยกลับ
กูเทียนเยวี่ยเหาะกลับมาและก้มหน้าลง “เข้าใจแล้ว ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าหยาบคายไปก่อนหน้านี้”
ตานปาตอบกลับไปทันที “ท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก แต่หลังจากที่เราได้อาณาจักหมองหม่นมาแล้ว วิญญาณอำมฤตก็จะตกเป็นของเผ่าปักษา และทุกอย่างที่เหลือก็จะเป็นของเผ่าคนเถื่อน”
“อะไรนะ!?” กูเทียนเยวี่ยฉุนทันที “ตานปา ท่านกำลังคิดจะเอาผลประโยชน์ทั้งหมดไว้กับตัวเอง! แม้ว่าเผ่าปักษาจะมาที่นี่เพื่อวิญญาณอำมฤต แต่เราก็ไม่ได้จะมาทำงานให้ท่านโดยไม่มีสิ่งตอบแทนนะ!”
ซูเฉินกล่าว “ข้าว่าเราน่าจะแบ่งกันตามแต่ความสามารถของแต่ละฝ่ายที่จะรับมันไปได้น่าจะดีกว่า”
ตานปาพยักหน้าแทบจะในทันที “ก็ได้ เราจะแบ่งของออกโดยยึดเอาตามความสามารถ ใครก็ตามที่ได้สิ่งนั้นไปก็จะเป็นเจ้าของมันทันที แต่หากเป็นเช่นนั้น ถ้าวิญญาณอำมฤตตกอยู่ในกำมือของเผ่าคนเถื่อนละก็… หึๆ”
กูเทียนเยวี่ยได้ยินดังนั้นก็ใจแป้ว
เป้าหมายสูงสุดของเผ่าปักษานั้นยังคงเป็นวิญญาณอำมฤต เรื่องนี้คงไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ในทางทฤษฎีแล้ว การละทิ้งทุกอย่างเพื่อวิญญาณอำมฤตก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยอมรับได้ แต่ในเมื่อเผ่าคนเถื่อนกับเผ่าปักษากำลังต่อสู้ร่วมกัน การที่เผ่าคนเถื่อนจะได้ทุกอย่างไปนั้นก็ดูจะไร้เหตุผลยิ่งนัก อย่างไรแล้ว วิญญาณอำมฤตก็มีค่าเฉพาะกับเผ่าปักษาเท่านั้น ในบรรดาสมบัติทั้งหลายที่เผ่าวิญญาณครอบครอง มันเป็นเพียงแค่หยดน้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทรเสียด้วยซ้ำ
หากเผ่าคนเถื่อนพยายามจะต่อต้านเผ่าปักษาเพื่อแย่งชิงวิญญาณอำมฤต สถานการณ์ก็คงจะวุ่นว่ายไม่น้อยเลย
จริงอยู่ที่เผ่าคนเถื่อนนั้นได้เปรียบเพราะพื้นที่ใต้พิภพเมื่อเทียบกับเผ่าปักษา
แต่กูเทียนเยวี่ยก็ไม่ยินดีที่จะละทิ้งผลประโยชน์ไปอย่างแน่นอน