ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 129 ท้องฟ้าพร่างดาวกับหญิงสาว (1)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สุราในลำคอเฉินฉางเซิงเหมือนกับโลหะแดงร้อน เฉินฉางเซิงแทบสำลักแต่ก็สามารถกลืนลงไปได้ ในหน้าแดงขึ้นมาในทันที

เขาไม่คาดคิดว่าคนอย่างหลัวปู้จะดื่มสุราร้อนแรงเช่นนี้

แน่นอนสาเหตุหลักก็คือเฉินฉางเซิงไม่ได้ดื่มสุรามากนัก

เขาเพิ่งลิ้มรสสุราครั้งแรกหลังจากมาถึงจิงตู แต่ก็เป็นตอนอยู่กับสวีโหย่วหรงยามที่กินเนื้อซี่โครงที่ถนนฝูสุย กับตอนอยู่กับถังถัง

กับคนที่ไม่ดื่มสุราสาเหตุเดียวที่พวกเขาจะดื่มก็คือเพื่อคนที่ดื่มด้วย

เขาเริ่มนึกถึงเนื้อซี่โครงของถนนฝูสุย โรงเตี้ยมสวนหลีจื่อและต้นไทรใหญ่ในสำนักฝึกหลวง

หลายปีก่อนบนต้นไทรใหญ่เขากับถังซานสือลิ่วพูดคุยกันอยู่นานในแสงโพล้เพล้

เขาคืนไหสุราให้หลัวปู้และกล่าว “ข้ามีเพื่อนที่ต้องการจะทำเรื่องบางอย่างแต่ทางบ้านไม่เห็นด้วย รู้สึกว่าเขาแค่เล่นสนุกไปวันๆ เลยทำให้เขาต้องกดดันอย่างมาก”

หลัวปู้ยิ้ม ดวงตาเหมือนกับดวงดาวยามราตรี เจิดจ้าและอบอุ่นไร้สิ้นสุด เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น

ดวงตาเฉินฉางเซิงก็เจิดจ้าอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่เพราะแสงในดวงตาแต่เพราะมันสะอาดอย่างมาก ราวกับถูกน้ำล้างมานานหลายปี

หลัวปู้มองดูเขาและถาม “มีใครเคยบอกไหมว่าดวงตาเจ้าเหมือนกับกระจก”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจความหมาย ส่งเสียงอืมด้วยความสับสน

“กระจกใสสามารถสะท้อนภาพผู้คน สามารถเผยการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนที่สุด สามารถเห็นปัญหาต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย”

หลัวปู้ใช้สองนิ้วคีบไหสุราแล้วส่ายไหวเล็กน้อยยามกล่าว “เจ้าเดาถูกแล้ว ปัญหาของข้าไม่ได้มาจากตัวข้าหรือจากโลกภายนอกแต่เป็นทางบ้าน พูดให้ถูกก็คือบิดาข้าเองที่ส่งข้าจากกองทหารลาดตระเวนมายังคอกม้าผาชัน”

เฉินฉางเซิงพิจารณาข้อมูลนี้จากนั้นก็ถาม “เขาอยากให้เจ้าปลอดภัยใช่ไหม”

“ไม่มีใครรู้หรอกว่าบิดาข้าคิดอะไร หลายปีก่อนคนมากมายรวมถึงข้าเชื่อว่าเขาเป็นแค่คนอ่อนแอผู้หนึ่งที่คิดแค่ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตระกูล แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาพิสูจน์แล้วว่าคนที่คิดเช่นนั้นจึงเป็นคนอ่อนแอที่แท้จริง”

หลัวปู้จิบสุราแล้วก็กล่าว “ตั้งแต่ข้ายังเล็ก บิดาข้าก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างดี ข้าเคยสงสัยกับการปฏิบัติเช่นนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นข้าไม่เคยสงสัยเขาอีกเลย แต่การปฏิบัติเช่นนี้ได้กลายเป็นปัญหาที่แท้จริงของข้า”

เขานึกถึงอดีตอีกครั้ง

บิดาเขาเดินลงไปตามทางเดินบนเขา ไม่แม้แต่เหลียงมองบุตรชายที่บาดเจ็บสาหัส

นกบินแตกตื่นออกจากป่า นำเสียงหัวเราะอย่างยินดีร่าเริงของบิดามาด้วย

เฉินฉางเซิงก็คิดถึงอดีตที่ผ่านมาเช่นกัน

เขาเดินลงจากสุสานเทียนซูในขณะที่อาจารย์เดินขึ้นมา บนถนนเสินพวกเขาสวนทางกันราวกับคนแปลกหน้า

“อันที่จริงข้าค่อนข้างอิจฉาความกดดันที่มาจากความกังวล”

หลังจากเขากล่าวแล้วริมลำธารก็พบกับช่วงเวลาแห่งความเงียบ

พวกเขาต่างเป็นคนหนุ่ม แต่ต่างคนต่างก็มีภาระของตัวเอง

ทันใดนั้นก็มีน้ำกระเซ็นด้วยว่าปลาสีขาวเงินกระโดดขึ้นจากน้ำและว่ายทวนกระแสน้ำไล่ตามแสงดาว

สายตาทั้งสองมองตามไป ในที่สุดก็หยุดลงบนที่รกร้างกว้างใหญ่ปลายลำธาร

“หากอาการบาดเจ็บที่เส้นลมปราณเจ้าหายดีแล้ว เจ้าควรมองดูให้ดีอาจพบว่าตรงนั้นสว่างกว่าเล็กน้อย”

หลัวปู้ยกไหสุราในมือขึ้นชี้ไปทางทิศเหนือที่ห่างไกล ดูเหมือนเคารพแต่ก็ดูเหมือนกับการถวายบูชาอีกด้วย

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาพูดอะไรอยู่ ย้อนไปตอนที่เขาเดินทางกับซูหลีข้ามทุ่งหิมะลงสู่แดนใต้ ช่วงคืนแรกๆ เขามักเห็นลำแสงในแดนเหนือ ยิ่งไปกว่านั้นในสำนักฝึกหลวงเจ๋อซิ่วที่ไม่ค่อยพูดก็มักพูดถึงมันหลายครั้ง

นอกจากลำธารดวงดาวในแดนใต้ ท้องฟ้าราตรีก็มีแสงอีกดวงหนึ่งที่ส่องสว่าง

ดวงจันทร์ในตำนานของเผ่ามาร

ดื่มสุราเป็นเรื่องผ่อนคลาย และสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันก็เป็นเรื่องซุบซิบ เริ่มจากดวงจันทร์ของเผ่ามาร พวกเขายังพูดเรื่องกลิ่นอายเข้มงวดของเมืองเสวี่ยเหล่า เหวนรกที่น่ากลัว ความคลั่งไคล้ในงานศิลป์ของชนชั้นสูงเผ่ามาร อัญมณีสีเขียวบนเกราะของผู้บัญชาการมาร จากนั้นก็เรื่องความหัวโบราณและน่าเบื่อของดินแดนต้าซี

หลัวปู้เป็นคนที่พูดเรื่องพวกนี้เป็นส่วนใหญ่ เฉินฉางเซิงตอบรับหนึ่งหรือสองประโยคอยู่เป็นระยะๆ

ในการสนทนานี้หลัวปู้เผยให้เป็นประสบการณ์เหนือจินตนาการ คำพูดบรรจุไว้ด้วยภูเขาแม่น้ำกว้างใหญ่และเวลานับหมื่นปี

หากเฉินฉางเซิงไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋าตั้งแต่เด็กแล้วยังเดินทางมานับหมื่นลี้ก็คงไม่อาจตอบโต้ได้

แต่มันเป็นเพราะเขาเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋าและยังเดินทางนับหมื่นลี้ แม้จะขาดทักษะในการพูดเขาก็ยังสามารถที่จะพูดบางประโยค ถกเรื่องบางอย่าง

อัจฉริยะมักไม่ต้องการเพื่อน หากแต่ต้องการคนที่สามารถเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของพวกเขา

บางทีเพราะเหตุนี้การดื่มสุราสนทนาครั้งนี้จึงเป็นไปอย่างยินดียิ่ง ทั้งหลัวปู้และเฉินฉางเซิงก็มีประสบการณ์ที่น่าพึงใจยิ่ง

เมื่อพูดจากันนานขึ้น เนื้อหาก็กว้างขึ้นลึกล้ำยิ่งขึ้น ยิ่งเฉินฉางเซิงได้ยินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งชื่นชมหลัวปู้มากขึ้น หลัวปู้ก็เหมือนดั่งสระน้ำใส ดูไม่โดดเด่นแต่ก็ลึกล้ำยากหยั่งถึง มีอะไรในโลกที่เขาไม่รู้บ้าง

เจ้าหน้าที่หนุ่มเคราครึ้มผู้นี้เป็นใครกันแน่

ยิ่งเฉินฉางเซิงคิดมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้โดดเด่นอย่างแท้จริง ทั้งประสบการณ์และท่าทางล้วนมีเสน่ห์อย่างมาก

เมื่อหลัวปู้เริ่มย้อนถึงห้าความผิดพลาดของจักรพรรดิไท่จงและหวังจื่อเช่อในการยกพลขึ้นเหนือครั้งที่สองของต้าโจว เฉินฉางเซิงก็อดนึกถึงเหล่าคนที่ยอดเยี่ยมที่เขาเคยพบในชีวิตของเขาไม่ได้ เขาตระหนักว่าไม่มีใคร ไม่ว่าโก่วหานสือ เจ๋อซิ่ว ถังถังหรือซูม่ออวี๋จะเทียบกับคนผู้นี้ได้

เขาถึงกับรู้สึกว่าผู้อาวุโสซูหลีก็ยังด้อยกว่าคนผู้นี้ในบางแง่มุม

ไม่ว่าคนอย่างหลัวปู้จะทำตัวร่าเริงกับทหารมากแค่ไหนในคอกม้าที่ห่างไกลแบบนี้ เขาจะไม่รู้สึกหดหู่โดดเดี่ยวได้อย่างไร

หากไม่รู้สึกเช่นนั้น เหตุใดถึงมานั่งอยู่คนเดียวใต้แสงดาวห่างไกลจากกองไฟ แล้วก็พูดกับเขาเป็นเวลานานแบบนี้

ยิ่งเขาคิดมากขึ้นเท่าไหร่ เฉินฉางเซิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่อาจปล่อยให้หลัวปู้อยู่ในคอกม้าผาชันมากขึ้นเท่านั้น ต้องให้ไปอยู่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน

หลัวปู้เห็นสีหน้าลังเลของเขาก็เดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จึงยิ้มและกล่าว “พวกเผ่ามารถอนทัพไปแล้ว ข้าไปศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”

เฉินฉางเซิงตอบ “ย่อมมีวันที่พวกเผ่ามารกลับมา”

ประกายความชื่นชมปรากฏขึ้นในดวงตาของหลัวปู้ในยามที่กล่าว “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนไม่มากนักที่มีจิตใจใสสะอาดแบบเจ้า แต่…ข้าก็ยังไม่ไปศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน อีกไม่กี่วันข้าจะส่งเจ้าไปศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานแล้วข้าก็จะไปจากที่แห่งนี้”

เฉินฉางเซิงถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าจะไปไหน”

หลัวปู้ตอบ “กลับไปเทือกเขา”

เฉินฉางเซิงต้องการจะเชิญเขาออกจากเขา

แต่เขากลับโหยหาการกลับไปภูเขา

แน่นอน เขามีความโหยหาต่อเด็กสาวบนเขาอีกแห่งหนึ่งเสมอมา

เฉินฉางเซิงก็ใช้เวลากว่าสองปีทำสิ่งเดียวกัน

ความรู้สึกโหยหาติดต่อกันอย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องพูดจา ไม่จำเป็นต้องมองตา

ริมลำธารเงียบลงอีกครั้ง ทั้งสองคนไม่พูดจาเป็นเวลานาน ครั้นพวกเขาสองไปยังแสงจันทร์อันยากจะมองเห็นได้ในทุ่งราบทางเหนือ ก็รู้สึกถวิลหาอยู่เงียบๆ

เมื่อเวลาผ่านไป หลัวปู้หันไปหาเฉินฉางเซิงแล้วถาม “เจ้ามีหญิงสาวที่ชอบหรือไม่”