ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 130 ท้องฟ้าพร่างดาวกับหญิงสาว (2)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงพยักหน้าแล้วกล่าว “มีสิ แต่ไม่ได้พบนางมาระยะหนึ่งแล้ว”

หลัวปู้ดูจะสนใจมากและถาม “นางชอบเจ้าไหม”

เฉินฉางเซิงรู้สึกอายอยู่บ้างยามส่งเสียงอืมเป็นการยืนยัน

หลัวปู้ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถาม “หากพวกเจ้าเป็นคู่รักกัน เหตุใดเจ้าไม่ได้พบนาง”

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมรับการทำตัวของเฉินฉางเซิง

สำหรับเขา สิ่งที่ยากที่สุดก็คือสร้างความชอบพอ แต่เมื่อเป็นคู่รักกันแล้ว ก็ต้องอยู่ด้วยกันตลอด ไม่ยอมให้ใครมาแยกออก

เฉินฉางเซิงคิดถึงคำถามนี้แล้วก็ตอบ “ไม่สะดวกจะพบกัน อีกอย่าง…นางมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ”

หลัวปู้ไม่พูดอะไรอีก ดื่มสุราอึกใหญ่จากไหที่อยู่ระหว่างนิ้วแล้วพึมพำ “มีใจตรงกัน…เป็นความรู้สึกแบบไหนกัน”

เฉินฉางเซิงได้ยินไม่ชัดจึงถาม “อะไรนะ”

“ไม่มีอะไร ก็แค่เมาพร่ำไปเรื่อยเปื่อย”

หลัวปู้มองตรงไปยังทุ่งหญ้าที่ปลายลำธาร ดูประหนึ่งเห็นยอดเขาที่ล้อมไปด้วยเมฆตลอดปีลูกนั้นและความเศร้าจางๆ ก็ฉายขึ้นบนใบหน้า

นับจากครั้งแรกที่ลืมตาตื่นขึ้น หลัวปู้ในสายตาเฉินฉางเซิงก็สูงสง่าแต่เฉยชาเสมอมา ดึงดันแต่ไม่ดื้อรั้น อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเห็นหลัวปู้เป็นแบบนี้มาก่อนเลย

มันเป็นความเศร้าที่จางอย่างมาก แต่เคราครึ้มก็ไม่อาจที่จะปกปิดเอาไว้ได้ ทำไมใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาถึงได้มีร่องรอยถูกกาลเวลาทำลาย

เขาอยากรู้เรื่องของหลัวปู้จริงๆ อยากรู้ว่าเขาพบเจอเรื่องใดมา

“ข้าเป็นคนที่ไร้เรื่องราว” หลัวปู้รีบทำลายบรรยากาศนั้นและยื่นไหสุราให้เฉินฉางเซิงพร้อมกับกล่าวต่ออย่างเฉยชา “เพราะข้าใช้ชีวิตอย่างราบรื่น นอกจากปัญหาเล็กน้อยตอนเป็นเด็กแล้ว ข้าได้รับทุกสิ่งที่ข้าปรารถนา”

เฉินฉางเซิงคิดในใจ แล้วทำไมเจ้าถึงเศร้านัก

“แต่มีหลายสิ่งในโลกที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทุ่มเทของเจ้า เหมือนกับความรักระหว่างหนุ่มสาว หรือเรื่องใหญ่ที่ตัดสินชีวิตและความตาย ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือเติบโตขึ้นเพียงใดก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะได้รับชัยชนะ เพราะความสัมพันธ์ทั้งสองนี้ต้องได้รับการตอบรับจากอีกฝ่าย”

หลัวปู้ชี้ไปที่ดวงดาวมากมายเบื้องบนและกล่าว “เจ้าบอกกับท้องฟ้าพร่างดาวว่าเจ้าไม่ต้องการกลับไป แต่ท้องฟ้าพร่างดาวไม่ตอบรับ เจ้าจะแก่ตัวแล้วตายไป เจ้าบอกหญิงสาวว่า ‘ข้ารักเจ้า’ แต่ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดในหมู่คนที่ดีที่สุด นางก็ยังไม่ชอบเจ้าแล้วเจ้าจะทำอะไรได้”

ท้องฟ้าพร่างดาวกับหญิงสาวแค่มองกลับมาอย่างเงียบงัน บางทีอาจสงสารหรือเห็นใจแต่พวกเขาจะเปลี่ยนใจเช่นนั้นหรือ

ท้องฟ้าพร่างดาวที่มักเปลี่ยนสี รูปร่างและกฎก็มีอยู่ในภาพวาดสีน้ำมันของเมืองเสวี่ยเหล่าเท่านั้น

หญิงสาวที่ออดอ้อนหรือเรียกร้องขอความรักจากเขาก็อาจเป็นหญิงสาวที่ดีเช่นกัน แต่น่าเสียดาย พวกนางไม่ใช่หญิงสาวที่เขารัก

‘แล้วเจ้าจะทำอะไรได้’

คำถามที่ธรรมดานี้ทำให้เฉินฉางเซิงเต็มไปด้วยความปวดร้าว

บางทีอาจเป็นเพราะเขาเคยภาวนาขอชีวิตต่อดวงดาวนับไม่ถ้วนเบื้องบนมาก่อน

เขาตบไหล่หลัวปู้อย่างเงอะงะ เขาต้องการที่จะปลอยโยนแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

ดวงดาวมากมายกะพริบแสงอยู่ด้านบน

หญิงสาวอยู่แดนใต้อันห่างไกล

โชคดีที่เขาไม่ได้พูดอะไร

.……

……

.……

……

การสนทนาคืนนี้น่าพอใจมาก ดังนั้นตอนที่หลัวปู้กลับมายังห้องของตน ก็ยังอารมณ์ดีอยู่

หลายปีที่ผ่านมา เขาได้รับบทบาทของอาจารย์และผู้อาวุโสในสำนัก แม้ยามที่พูดกับศิษย์รุ่นราวคราวเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความรู้และประสบการณ์ของเขา จึงยากที่จะหาบางคนนอกจากศิษย์น้องรองกับศิษย์น้องเล็กที่เขาจะพูดคุยด้วยได้อย่างไร้กังวล

เขาเคยคิดที่จะสืบหาตัวตนของคนผู้นั้น แต่เพื่อเห็นกับการดื่มสุราสนทนาในคืนนี้ เขาไม่สนแล้วว่าคนผู้นี้เป็นคนของขุมกำลังใด

โชคไม่ดีที่คนผู้นี้ดื่มสุราได้น้อยยิ่งนัก คออ่อนกว่าศิษย์น้องเล็กอีก

อันที่จริง มีใครบ้างที่เทียบกับศิษย์น้องเล็กได้

เขามองไปที่ชั้นหนังสือที่ว่างเปล่าไปแล้วด้วยความงุนงงเป็นเวลานาน ใบหน้ามีรอยยิ้มขมขื่น

เขาส่ายหน้าขับไล่ความคิดออกไป ก่อนเก็บของต่อเตรียมตัวจะจากไป

เขาไม่ได้โกหกคนผู้นั้น เขาเตรียมที่จะจากไปจริงๆ และกลับคืนสู่ภูเขา

ตอนนั้นเองเขาก็เห็นเครื่องหมายลับบนโต๊ะต่างไปจากตอนที่เขาออกไป และรู้ว่ามีคนเข้ามา

เขามองไปที่จดหมายจากคนลึกลับบนโต๊ะ

มันเป็นจดหมายจากทางบ้าน

จดหมายพูดถึงเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ได้สมบูรณ์กว่ารายงานระดับสูงของกรมทหารเสียอีก

สายตาเคลื่อนไปตามกระดาษช้าๆ คิ้วที่เหมือนกระบี่ค่อยๆ เลิกสูงขึ้นราวกับมันปรารถนาที่จะตัดเคราบนใบหน้า

สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบมากขึ้นเรื่อยๆ

กลายเป็นว่านอกจากหนิงสือเว่ย จู่เยี่ยและเทียนไห่จันอีแล้ว คนจากตระกูลถังก็อยู่ที่นั่นในคืนนั้นด้วย

คนพวกนี้ได้ตายลงอย่างคาดไม่ถึง และน่าประหลาดใจที่พวกเขาล้วนต้องการที่จะชิงยาจูซาอันลึกลับ

เขาเริ่มชินกับพฤติกรรมของคนในราชสำนักต้าโจวแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าการกระทำนี้ออกจะไร้ยางอายไปหน่อย ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มรังเกียจ

ตายเพราะรนหาที่ มีอะไรผิดหรือไง

เขาอ่านต่อไป

จากนั้นก็เห็นชื่อของราชามาร

สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดมากขึ้น

ในที่สุดเขาก็เห็นชื่อเฉินฉางเซิง

สีหน้าเขากลายเป็นเคร่งเครียดผิดปกติ มือที่กำจดหมายเอาไว้แข็งทื่อ

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง บางทีอาจมองที่ริมลำธารหรือห้องน้อยที่มีเนื้อตุ๋นอยู่ตลอด

เขามองไปที่รอยบนหน้าผาที่คนหมดสตินั่นทิ้งไว้ คิดถึงบทสนทนาที่ริมลำธารและรายละเอียดของบทสนทนา…

สีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง

ในตอนแรกมันแดงก่ำแต่ดูไม่เหมือนกับโกรธ จากนั้นก็กลายเป็นซีดขาว แต่ก็ดูไม่เหมือนว่าเขาตกใจ

ประหนึ่งว่าเขาดื่มสุรามากเกินไป

สุดท้ายอารมณ์ทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่น เปี่ยมไปด้วยการเยาะเย้ยตนเอง

……

……

การดื่มสุราใต้ดวงดาวและพูดถึงผู้หญิงในยามที่ดื่มสุรา เป็นเรื่องที่คนหนุ่มนิยมทำกัน

ในสำนักฝึกหลวงตอนที่ถังซานสือลิ่วทำเรื่องเช่นนี้ เฉินฉางเซิงไม่ยินดีที่จะร่วมวงด้วย หลังจากคืนนี้เองที่เขาตระหนักได้ว่ามันเป็นเรื่องน่าปีติอย่างแท้จริง

เขาคิด ในอีกไม่กี่วันตอนที่ข้าไปยังเวิ่นสุ่ยเพื่อพบถังซานสือลิ่ว ควรนำสุราดีไปสักสองสามไหหรือไม่ มันอาจนับเป็นของขวัญขอบคุณประมุขผู้เฒ่าสำหรับร่มคันนั้น

แน่นอนการดื่มสุราสนทนากับการแสร้งดื่มสุรานั้นขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนร่วมดื่มเป็นใคร

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าการสนทนาคืนนี้น่าพึงใจมาก ถึงกับน่ารื่นรมย์ นี่เป็นเพราะคู่สนทนาคือหลัวปู้

นี่ทำให้เขานึกไปถึงการสนทนากับโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋กับพวกที่กระท่อมในสุสานเทียนซู

แน่นอน การสนทนาคืนนี้ทำให้เขานึกไปถึงบทสนทนาที่เขามีกับสวีโหย่วหรงในอารามกลางหิมะ

อารามนั้นอยู่ข้างถนนหญ้าขาว

ถนนหญ้าขาวอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล

ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลเป็นส่วนหนึ่งของสวนโจว

ทันใดนั้นเฉินฉางเซิงก็ได้สติกลับมา กำจัดผลกระทบทั้งหมดจากสุราออกไป

ไม่กี่วันก่อน หลังจากตื่นขึ้นจากการหมดสติ เขาก็รู้สึกว่าเขาลืมบางอย่างไป

ตอนนี้ เขาก็จำได้ในที่สุด

ยังมีคนอยู่ในสวนโจว

เขารับเอาชารสเข้มที่หนานเค่อส่งมาและจิบ บอกให้นางเฝ้าดูว่ามีการเคลื่อนไหวใด จากนั้นก็คว้ากำไลลูกปัดหินออกมาจากข้อมือ

ในลูกปัดหินทั้งห้า มีเม็ดหนึ่งสีดำ

เขาส่งดวงจิตไปที่ลูกปัดสีดำ

ขณะต่อมาเขาก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นบนใบหน้า

เขายังอยู่บนจุดสูงสุดของสุสานโจว

เขาสำรวจมองไปรอบๆ ทุ่งหญ้ากลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมนานแล้ว เป็นสีเขียวเจริญตา

ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องคำรามก็ดังมาจากรอบสุสานโจวและฝูงสัตว์อสูรก็พุ่งเข้ามา

ในปีนั้น เขากับหญิงสาวผู้นั้นก็เห็นภาพคล้ายคลึงกันนี้