ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 131 พบกันใหม่ในสวนโจว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงมองไปรอบๆ สุสานโจวและพบคนที่เขามองหาอย่างรวดเร็ว

ร่างของอันหวากับรองแม่ทัพตรงปลายถนนหินที่มุ่งมาสุสานนั้นชัดเจนมาก

ปกติแล้วเขาสามารถพุ่งไปอย่างรวดเร็วโดยใช้วิชาตัวเบา ทว่าตอนนี้เขาได้แต่ปีนลงไปช้าๆ

อันหวากับรองแม่ทัพสังเกตเห็นเขา จึงโบกมือให้ พวกเขากำลังตะโกนอะไรบางอย่าง ส่วนใหญ่แล้วน่าจะเตือนเขาให้ระวัง

พวกเขาค่อนข้างอยู่ห่างไป เฉินฉางเซิงย่อมไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้น เสียงร้องคำรามของพวกสัตว์อสูรรอบสุสานโจวก็ดังเกินไป

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็มาถึงปลายถนนหินได้ในที่สุด

“ใต้เท้า!”

อันหวาหมอบกราบกับพื้นอย่างจริงจังในขณะที่รองแม่ทัพคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

เฉินฉางเซิงทำท่าให้พวกเขาลุกขึ้นและกล่าวขอโทษ “ข้าขออภัยที่ทำให้ทั้งสองท่านต้องรอเป็นเวลานาน”

ในคืนนั้นที่สวนกลางเทือกเขา เขาถูกไห่ตี๋โจมตีก่อน จากนั้นหนานเค่อกับราชามารก็ปรากฏตัว ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด เขาส่งอันหวากับรองแม่ทัพเข้าสู่สวนโจว จากนั้นเขาก็หมดสติเนื่องจากบาดเจ็บสาหัส เมื่อตื่นขึ้นก็ลืมเรื่องพวกเขาไป

เมื่อนับดูให้ดีแล้วก็บอกได้ว่าอันหวากับรองแม่ทัพได้ใช้เวลาอยู่ในสวนโจวหลายวันแล้ว และเขาไม่รู้ว่าพวกเขาทนมาได้อย่างไร

คืนนั้นในเทือกเขาหิมะ ตอนที่พวกเขาเชื่อว่าต้องตายใต้ปราณมารหนาแน่นนั่น อันหวากับรองแม่ทัพพลันพบว่าพวกเขามาอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย พวกเขาปรากฏตัวบนสุสานโอ่อ่า ล้อมไว้ด้วยทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่มีสัตว์อสูรมากมายที่เกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้วในต้าลู่

หากพวกเขาสามารถเดินไปรอบโลกใบนี้ พวกเขาอาจตระหนักว่ามันคือสวนโจวในตำนาน อย่างไรก็ตาม เมื่อสัตว์อสูรพบว่ามีมนุษย์อยู่สองคน พวกมันก็มาล้อมสุสานโจวในทันที ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งคู่จะจากไป โชคยังดีที่อันหวามีเสบียงติดตัวมา อีกทั้งยังจบจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้ามีทักษะในการใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ อาการบาดเจ็บของรองแม่ทัพไม่เพียงไม่แย่ลงกับดีขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นก็ตาม จินตนาการได้ว่าแรงกดดันทางจิตใจที่พวกเขาได้รับจากการถูกล้อมด้วยสัตว์อสูรที่น่าหวาดกลัวนั้นหนักหนาเพียงใด

จนกระทั่งวันนี้พวกเขาก็พบเฉินฉางเซิงในที่สุด

เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้ามาเพื่อนำพวกท่านออกไป”

“ด้วยเหตุผลบางอย่าง สัตว์อสูรพวกนี้ไม่เข้ามาในสุสาน แต่พวกมันก็ไม่ยอมให้พวกเราออกไป”

อันหวามองไปที่ฝูงสัตว์อสูรในยามที่นางกล่าวอย่างหวาดกลัว ในสายตานาง ไม่ว่าสังฆราชจะยอดเยี่ยมเพียงใด เขาก็ตัวคนเดียวแล้วยังเยาว์วัยอยู่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับมือสัตว์อสูรน่ากลัวมากมายปานนี้

เฉินฉางเซิงเดินไปตามทางหินและมองไปที่ฝูงสัตว์อสูรที่เหมือนทอดยาวไปถึงเส้นขอบฟ้า

หลังจากผ่านไปหลายปี สวนโจวก็ซ่อมแซมตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว และผนึกบนที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลไม่ดำรองอยู่อีกต่อไป จำนวนของสัตว์อสูรก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นและตอนนี้ก็มีมากกว่าจำนวนที่เคยมีในอดีตไปแล้ว

เฉินฉางเซิงโบกมือ

เสียงหอนนับไม่ถ้วน บ้างก็กระจ่างใสบ้างก็โหดเหี้ยม ดังออกมาจากปากของสัตว์อสูรจำนวนมหาศาล เสียงเหมือนกับฟ้าคำรามนับครั้งไม่ถ้วนดังขึ้นพร้อมกัน

รองแม่ทัพเปลี่ยนเป็นกังวลผิดปกติและอันหวาเองก็หน้าซีดขณะคิด ใต้เท้าคิดอะไรอยู่

ที่เกิดขึ้นตามมาเหนือกว่าจินตนาการของเขามาก

สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนหมอบลง คลื่นกระจายไป พวกมันดูว่านอนสอนง่ายอย่างมาก

แร้งสีเทาหลายพันตัวบินอย่างเป็นระเบียบผ่านแท่นหินแล้วก็บินจากไปไกล

ฝูงสัตว์อสูรค่อยๆ สลายตัว หายไปในทุ่งหญ้า

สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงสัตว์อสูรขนาดยักษ์สองตัว เมื่อสำรวจดูให้ดีจะเห็นจุดสีดำเล็กๆ ตรงหน้าพวกมัน

“นี่คืออสูรกระทิงในตำนานอย่างนั้นหรือ”

รองแม่ทัพมองไปที่อสูรตัวที่สูงกว่าและคิดถึงคำบรรยายที่เขาเคยได้อ่านมา

เขาจำได้ว่าอสูรยักษ์อีกตัวก็คือยักษ์ล้มภูเขา สิ่งมีชีวิตอันน่ากลัวบนทำเนียบร้อยอสูร แม้ว่ามันจะหายากในการศึกกับเผ่ามาร ก็มักเห็นเงาอขงอสูรพวกนี้จากระยะไกลได้เป็นครั้งคราว ส่วนอสูรกระทิงมันไม่มีใครในต้าลู่เห็นมันมานานหลายปีแล้ว

เฉินฉางเซิงนำพวกเขาออกจากสวนโจว

เมื่ออันหวาคิดไปถึงภาพก่อนหน้านี้และมองไปที่หลังของเขา ใบหน้านางก็เต็มไปด้วยความชื่นชมและคารวะ

แค่ใต้เท้าโบกมือ ฝูงสัตว์อสูรก็สลายตัว

หรือว่านี่จะเป็นโลกใบเล็กของใต้เท้า เหมือนกับโลกใบไม้ครามของพระราชวังหลี

พวกเขาเดินไปตามสุสาน เดินผ่านฐานหินที่เคยวางแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และมาถึงถนนหญ้าขาว

อากาศดีมากทำให้พวกเขามองเห็นได้ไกล แต่มันก็ไม่อาจที่จะมองเห็นอารามหลังนั้น บางทีนี่เป็นเพราะอสูรกระทิงตัวใหญ่เกินไป บดบังเส้นขอบฟ้าไปจนหมด

เฉินฉางเซิงมองไปที่ดวงตาดวงเดียวของอสูรกระทิงและพยักหน้า จากนั้นก็ทักทายยักษ์ล้มภูเขาแล้วก็มองไปที่ของตรงหน้าพวกมัน

อันหวาสามารถรู้ในที่สุดว่าจุดสีดำที่นางเห็นบนสุสานอันที่จริงแล้วเป็นอสูรสีน้ำตาลเหลืองตัวหนึ่ง

มันเป็นอสูรตัวเล็กผอม ขนรุ่งริงและร่างกายกับแขนขาบาดเจ็บ ดูน่าสงสารอย่างมาก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างดวงตามันค่อนข้างหม่นมัวและให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัว มันเกิดขึ้นตอนที่มันกระโดดเข้าหาเฉินฉางเซิง เกาะขาเขาเอาไว้พร้อมกับพึมพำบางอย่างราวกับสุนัขอ้อนเจ้าของ

รองแม่ทัพพลันคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างและใบหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นกังวลอย่างมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “มันคือวานรพสุธาใช่ไหม”

อันหวาเคยต้องการจะรักษาอาการบาดเจ็บให้อสูรตัวนี้ ทว่าเมื่อได้ยินชื่อของมัน ดวงหน้านางก็ซีดไปในทันที

เมื่อหอความลับสวรรค์จัดทำทำเนียบร้อยอสูร มีการโต้เถียงกันอย่างหนักว่าควรจะใส่วานรพสุธาในรายชื่อหรือไม่ และควรอยู่อันดับที่เท่าไร นั่นเป็นเพราะอสูรนี้มีทักษะที่จะซ่อนตัวอยู่ในพื้นดินไม่ได้แข็งแกร่งนัก มันด้อยกว่ายักษ์ล้มภูเขาที่มีความแข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด และย่อมไม่เหมือนกับอสูรกระทิงที่สามารถสู้กับกองทัพนับพันแต่…ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดยินดีเจอกับยักษ์ล้มภูเขาหรืออสูรกระทิงมากกว่าสู้กับวานรพสุธาแค่ตัวเดียว อสูรนี้ฉลาดเกินไป เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายเกินไป เลือดเย็นโหดเหี้ยม

อันหวาและรองแม่ทัพนั้นไม่อาจเชื่อมโยงวานรพสุธาที่มีชื่อเสียงน่ากลัวกับเจ้าสุนัขเหลืองที่เกาะแข้งเกาะขาเฉินฉางเซิงตัวนี้ได้

เฉินฉางเซิงลูบหัววานรพสุธาอย่างเอ็นดู จากเสียงพึมพำของมันเขาก็ได้รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของสวนโจว แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยกับคำขอของมันที่จะออกจากสวนโจว

เขาคิดอยู่หลายครั้งว่าจะรับมือกับพวกสัตว์อสูรในทุ่งหญ้าอย่างไร เขาเคยปรึกษากับสวีโหย่วหรงว่าเขาควรจะมอบอสูรในทุ่งเป็นของขวัญให้นางหรือเปล่า หลังจากผนึกในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลถูกทำลาย สัตว์อสูรด้านในไม่เพียงเพิ่มจำนวน ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นในทุกแง่มุม ดังนั้นพวกมันจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม อสูรกระทิง ยักษ์ล้มภูเขา และอสูรตัวอื่นในระดับเดียวกันคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในสวนโจวนานแล้ว พวกมันรู้ว่าโลกภายนอกอันตรายอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะจากไป

แม้ว่าวานรพสุธาจะพิการและอ่อนแอกว่าที่เคยในอดีต ทว่ามันก็ยังต้องการออกไปมองโลกข้างนอก สำหรับวานรพสุธาคำว่า ‘อันตราย’ นั้นหวานปานน้ำผึ้ง แต่เฉินฉางเซิงไม่ยอมปล่อยให้มันออกไปจากสวนโจว ส่วนหนึ่งที่เขาปฏิเสธก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของมัน และอีกส่วนก็คือเป็นห่วงความปลอดภัยของโลกภายนอก

มังกรพสุธาถูต้นขาเขาอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้จู้จี้กับเขาต่อไป อีกทั้งยังไม่กล้าแสดงความเกลียดชังในดวงตา มันถึงกับดูไม่ผิดหวัง ใช้สองแขนยันร่างกายพิการไต่กลับขึ้นไปบนเขาของยักษ์ล้มภูเขาและโบกมือให้เฉินฉางเซิงอย่างเชื่อฟัง