อันหวากับรองแม่ทัพมองดูอสูรกระทิงและยักษ์ล้มภูเขาเดินกลับสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าช้าๆ อย่างพูดอะไรไม่ออก
ทุกสิ่งที่ได้เห็นเมื่อมาถึงโลกแห่งนี้น่าตกใจเกินไป
รองแม่ทัพนึกได้ว่าเขาเคยได้ยินบางคนพูดไว้ว่าผู้บัญชาการมารชอบนั่งบนเขาโค้งของยักษ์ล้มภูเขา
แต่ในโลกของสังฆราช แม้แต่วานรพสุธาพิการก็ยังนั่งตำแหน่งเดียวกัน
“ท่านแม่ทัพขอข้าทราบนามท่านได้หรือไม่”
เสียงนั้นทำให้เขาตื่นขึ้นจากการรำลึกอดีต
เขาหันกลับไปก็เห็นเฉินฉางเซิงมองมาที่เขา เขารีบตอบ “ผู้น้อยมีนามว่าเฉินโฉว”
เฉินฉางเซิงถาม “แม่ทัพเฉิน ข้าอยากรู้เรื่องบางอย่าง ตอนที่ท่านตัดสินใจมาหมู่บ้านเกาหยาง ท่านไม่กังวลว่าหัวหน้าของท่านจะลงโทษเนื่องจากละทิ้งหน้าที่บ้างหรือ”
เฉินโฉวยิ้มอย่างขมขื่นตอนที่ตอบ “ข้าเป็นแม่ทัพไร้ชื่อจากชีหลี่ซีที่ถูกย้ายมาศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน เดิมทีก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว จึงคิดว่าการหาทางช่วยคนผู้นั้นคงไม่มีปัญหาอันใด ข้าไม่คิดเลยว่าจะพบกับปัญหามากมาย”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าชื่อชีหลี่ซีออกจะคุ้นหูแต่เขาไม่สนใจมันมากนัก
เขาชื่นชมแม่ทัพนามเฉินโฉว ทั้งเรื่องที่เขาเสี่ยงนำตัวนักสร้างค่ายกลหนุ่มมาหมู่บ้านเกาหยางเพื่อหาทางรักษา และความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่แสดงออกมาต่อหน้ายอดฝีมือเหล่านั้น เขาถาม “แล้วตอนนี้เล่า ท่านยังคิดจะกลับไปทำงานที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานอยู่หรือเปล่า”
เฉินโฉวก็สับสนอยู่บ้างแล้วถามกลับ “ใต้เท้าหมายความเช่นไร”
เฉินฉางเซิงตอบ “หากท่านกลับศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานและเป็นขุนพลเทพ คาดว่าไม่มีใครทิ้งให้ท่านว่างงานแล้ว”
เฉินโฉวแข็งทื่อไป ก่อนเริ่มตื่นขึ้นจากความตะลึงพรึงเพริดจากเสียงอ่อนโยนของอันหวา เขาชี้ไปที่ตัวเองและถามด้วยสีหน้างุนงง “ข้ากลับไปศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานและเป็นขุนพลเทพอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงยืนยัน “ถูกต้อง”
เฉินโฉวคิดว่าความคิดนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี เขาอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ ส่ายหน้ากล่าว “หากนี่เป็นก่อนที่ข้าจะถูกย้าย หากข้ายังเป็นแม่ทัพกองทหารลาดตระเวน บางทีหากข้าสู้ในแนวรบอีกสักสิบปี สะสมคุณงามความชอบและเพิ่มความแข็งแกร่ง บางทีข้าอาจมีโอกาสที่จะได้รับตำแหน่งในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน แต่ตอนนี้…”
ตอนนี้เขาเป็นแค่รองแม่ทัพ เป็นแม่ทัพระดับต่ำสุด เขายังห่างจากตำแหน่งขุนพลเทพอีกหกขั้นเต็มๆ แล้วยังมีอะไรให้พูดถึงอีก
สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ
เขารู้สึกว่าบิดาเลือกชื่อให้เขาได้ไม่ดีนัก
เฉินโฉว เฉินโฉว มีผลงานแต่ไม่ได้รางวัล มีแต่ให้มันผุพังไปช้าๆ ในบันทึก
ไม่เช่นนั้นคนผู้นั้นจะถูกส่งไปผาชันในขณะที่เขาจบลงในที่แห่งนี้ได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงพลันตระหนักว่าเขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
หากเพื่อนคนนั้นอยู่ที่นี่แทนจะเป็นที่เวิ่นสุ่ย บางทีทุกอย่างอาจง่ายกว่านี้มาก
เพื่อนคนนั้นคงตบไหล่เฉินโฉวแล้วประกาศอย่างห้าวหาญ “เฉินฉางเซิงเป็นใคร หากเขาบอกว่าเจ้าทำได้ เช่นนั้นต่อให้เจ้าทำไม่ได้ เจ้าก็ยังทำได้”
แต่เพราะเหตุนี้ เฉินฉางเซิงจึงทำให้ตัวเองพูดแบบนี้ไม่ได้
โชคดียังมีอีกคนอยู่ตรงนี้
อันหวาเดินตรงหน้าเฉินโฉวและกระซิบกับเขาเบาๆ
ตอนนั้นเองที่เฉินโฉวนึกได้ว่าคนที่ต้องการให้เขาเป็นขุนพลเทพไม่ใช่นักพรตฉ้อฉลจากวัดเล็กๆ หรือพวกเลขาโลภมากของกรมทหารแต่เป็นสังฆราช!
ดวงตาเขาสว่างขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นสับสนและปั่นป่วนไปด้วยอารมณ์
อันหวารู้ว่านี่เป็นปฏิกิริยาของคนที่จิตใจได้รับผลกระทบอย่างหนัก แล้วยิ้มไปส่ายหน้าไป นางไม่สนใจเขาแล้วหันมาหาเฉินฉางเซิง
พระราชวังหลีไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการปกครอง และช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็ยิ่งสงบเสงี่ยม
ว่าตามเหตุผลแล้ว ต่อให้เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราช ก็ไม่อาจกำหนดว่าใครจะเป็นขุนพลเทพแห่งกองทัพต้าโจวได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้นอย่างที่เฉินโฉวพูด เขาย่อมไม่ใช่ตัวเลือกในอุดมคติ ขาดทั้งวัยวุฒิและภูมิหลัง
แต่กับอันหวา นี่ไม่ใช่คำถามที่จำเป็นต้องคิด
จากเขาหิมะสู่โลกนี้ จากเจ้าของยาจูซาถึงการสลายของฝูงสัตว์อสูรด้วยการโบกมือ ภาพเฉินฉางเซิงในใจนางได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สง่างาม
นางกลายเป็นผู้ศรัทธาที่ภักดีต่อเฉินฉางเซิงในปัจจุบัน
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ หากเฉินฉางเซิงบอกนางในตอนนี้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกในตอนเช้า นางย่อมนั่งมองเส้นขอบฟ้าไปตลอดคืน หากนางตระหนักว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก นางจะคิดไปว่าตัวเองฟังผิดไปหรือไม่ก็อาจหันหน้าไปผิดทิศ
“กลับไปศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานกับเฉินโฉว”
เฉินฉางเซิงพูดกับนาง “ข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้า นอกจากนี้ข้ามีบางเรื่องที่ต้องรบกวนเจ้า”
อันหวารู้สึกตัวลอยที่ได้รับเกียรติให้ทำภารกิจของสังฆราช แต่นางก็รู้สึกกดดันอย่างหนัก ราวกับยืนอยู่ตรงหน้าเหวนรก น้ำเสียงสั่นเทาในยามที่กล่าว “เจ้าค่ะใต้เท้า”
เฉินฉางเซิงมองหน้านางรู้สึกว่าคุ้นตาอยู่บ้าง เขาพลันถามขึ้น “เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับมหามุขนายกอันหลิน”
อันหวากลายเป็นถ่อมตัวกว่าเดิมตอนที่นางตอบเบาๆ “มหามุขนายกอันหลินเป็นท่านป้าของข้า”
เฉินฉางเซิงไม่ถามเรื่องนี้อีก ไม่ว่านิกายหลวงหรือราชสำนัก ล้วนเต็มไปด้วยเครือญาติ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
เขามองขึ้นไปบนถนนหญ้าขาว แต่เขาก็ยังไม่เห็นอารามนั้น เขาคิดในใจ มันถูกทำลายไปตอนที่ฟ้าถล่มหรือเปล่า ไว้มีเวลาข้าจะมาดูสักหน่อย จากนั้นก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทิ้งไว้ยังอยู่ดี ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ เขานำอันหวาและเฉินโฉวออกไป
ลมระหว่างเทือกเขาเย็นลงกว่าเดิม ดวงดาวบนท้องฟ้าราตรีมองคนทั้งสามเงียบๆ
อันหวากับเฉินโฉวไม่มีประสบการณ์ในการเดินทางผ่านมิติ พวกเขาจึงมึนงงสับสนอยู่บ้าง พวกเขาต้องการเวลาก่อนที่จะสามารถสงบสติลงได้
“ใต้เท้า พวกเราอยู่ที่ไหน” อันหวาถาม
เฉินฉางเซิงตอบ “คอกม้าผาชัน ถนนสายนั้นนำไปสู่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน สถานีขนส่งอยู่ห่างไปยี่สิบสี่ลี้ ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเจ้าลำบาก”
เมื่อได้ยิน ‘คอกม้าผาชัน’ เฉินโฉวก็ประหลาดใจเล็กน้อย เขามองไปยังค่ายทหารที่มีแสงไฟกระจัดกระจายแล้วคิด คนผู้นั้นอยู่นี่หรือเปล่า
อันหวาไม่อาจทนได้อีกต่อไปและถาม “ใต้เท้า โลกที่ท่านส่งพวกเราเข้าไปนั้น….เป็นที่ไหนกัน”
เฉินโฉวก็อดที่จะมองไปไม่ได้ เขาเองก็อยากรู้คำตอบแต่เขาเองก็ประหม่าเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงคิดถึงคำถามนี้แล้วก็ตอบ “เจ้าเดาถูกแล้ว ที่แห่งนั้นก็คือสวนโจว แล้วสุสานนั้นก็คือสุสานโจว”
เมื่อได้ยินคำตอบของคำถามค้างคาใจและยืนยันว่าพวกเขาได้ผ่านเวลาไปอย่างน้อยห้าวัน อันหวากับเฉินโฉวก็รู้สึกสบายใจมาก
เมื่อไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อพวกเขาก็จากไป
“ใต้เท้า โปรดดูแลสุขภาพด้วยเพื่อเหล่าผู้ศรัทธาทั้งหลาย”
หลังจากร่างทั้งสองหายไปในความมืด เฉินฉางเซิงก็เงียบไปเป็นเวลานาน
เขาทำสิ่งต่างๆ มากมายในช่วงหลายปีที่ออกจากจิงตู แต่คืนนี้เองเมื่อเขาได้ขอให้อันหวากับเฉินโฉวทำงานให้เขาสองงานจึงถือว่าเขาเริ่มลงมือแล้วจริงๆ
หลายปีที่ผ่านมา เขาทำตามแผนของอาจารย์อาสังฆราช ทำตามข้อตกลงในคืนหิมะโปรยที่สำนักฝึกหลวง ปกปิดตัวตนเดินทางท่องโลก พัฒนาตัวเองอยู่เงียบๆ แต่กลับดูเหมือนว่าอาจารย์กับคนมากมายยังไม่เชื่อในการนิ่งเงียบของเขา
เขานิ่งเงียบ แต่ไม่ว่าเขาจะนิ่งเงียบอย่างไร เขาก็ยังเป็นสังฆราช
เขาได้รับความเชื่อใจและภักดีอย่างไร้เงื่อนไขจากผู้ศรัทธาแบบอันหวานับไม่ถ้วน
จากนั้นเขาก็ต้องแบกภาระเอาไว้บนบ่าอย่างไม่มีเงื่อนไข
ในนามสังฆราช