นิกายหลวงของต้าโจวศรัทธาในเต๋าแต่ไม่ใช่แค่นิกายหลวงของต้าโจวเท่านั้นที่ศรัทธา ศรัทธาในเต๋าเป็นนิกายหลวงของหลายราชวงศ์ก่อนที่จะก่อตั้งต้าโจวมานานมากแล้ว
สังฆราชคือผู้ทรงอำนาจศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายหลวง เป็นนายของเหล่าผู้ศรัทธาทั้งมวลในโลก ในบางแง่มุมสังฆราชนั้นมีสถานะสูงส่งยิ่งกว่าราชา
แล้วจะเป็นสังฆราชที่ดีได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงมีความเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋าและอ่านประวัติของสังฆราชมานับไม่ถ้วนแต่ก็ยังไม่อาจคิดออกได้
บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ที่ทำให้อาจารย์อาสังฆราชไม่เคยสอนเขาแม้แต่ครั้งเดียวว่าจะเป็นสังฆราชอย่างไร มีเพียงแค่พยายามจูงใจเขาด้วยการกระทำและคำพูด
หนึ่งในบทเรียนเหล่านั้นก็คือการยกโลกนี้ไว้เหนือทุกสิ่ง อดทนและรอเวลา ทำตัวตามสบาย ไม่สนใจการพ่ายแพ้เพียงชั่วคราว ไม่สนการเสียชื่อเสียงที่อาจดำรงอยู่ไปตลอดกาล และทำเพื่อประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
หลังจากออกจากจิงตู เขาก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์คนอื่น มุ่งตรงขึ้นเหนือ วางแผนที่จะใช้กำลังของตนในสนามรบ อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่มีประโยชน์ที่นั่น ในทางกลับกันการปรากฏตัวของเขาในแนวรบมีแต่จะสร้างความโกลาหลและสะเทือนขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร ส่งผลให้เขาเริ่มใช้วิชาแพทย์ในการช่วยเหลือผู้คน สร้างยาจูซา เขาได้ช่วยคนไว้มากมายจริงๆ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
ในสมุดบันทึกของหวังจื่อเช่อได้กล่าวเอาไว้ว่าตำแหน่งมีความสัมพันธ์ ในตำแหน่งที่ต่างกันก็ต้องใช้วิธีที่ต่างกันในการทำสิ่งต่างๆ เขาในตอนนี้เป็นสังฆราช เพราะฉะนั้นหากเขาปรารถนาจะตอบแทนโลกใบนี้ เขาก็ไม่อาจทำตัวเป็นมือกระบี่หรือหมอ เขาต้องใช้วิธีที่ต่างออกไป
ซูหลีได้ตัดสินใจว่าการยุ่งเกี่ยวกับโลกที่มืดมิดและเน่าเฟะนี้ต่ำกว่าตัวเขา เขาจึงไม่สนใจมองมัน หากเขาแปดเปื้อนด้วยฝุ่น เขาก็จะใช้กระบี่ตัดมันออกไป ส่วนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่นั้นยิ่งใช้วิธีที่ดำมืดและโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเพื่อสะกดมันเอาไว้ พยายามกำจัดอากาศเหม็นเน่าทั้งหมดออกไป ในขณะที่อาจารย์อาสังฆราชใช้วิธีที่อ่อนโยนและอนุรักษนิยมกว่า
ในมุมมองของเฉินฉางเซิง วิธีทั้งหมดนั้นล้วนผิด
เขาไม่อาจเป็นเหมือนอาจารย์อา ที่เห็นแก่ภาพรวมอยู่เสมอจนถึงกับยอมเสียสละตนเอง เขาไม่อาจปลีกตัวออกจากโลกเฉกเช่นผู้อาวุโสซูหลีได้เช่นกัน แม้ว่าโลกนี้อาจจะไม่เมตตาเขา ทว่าเขาก็ยังชอบโลกนี้และคนที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ เขาย่อมไม่อาจทำเช่นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ หลังจากอ่านบันทึกของหวังจื่อเช่อในหอหลิงเยียน เขาก็ทิ้งความต้องการที่จะให้โลกนี้เต้นไปตามความต้องการของเขา
วิธีของเขา การจัดการเตื่องต่างๆ นั้นค่อนข้างเรียบง่ายอย่างแท้จริง
เมื่อเขาไม่ต้องการที่จะปล่อยให้โลกนี้ตกอยู่ในมือของพวกคนที่เน่าเฟะและไม่น่าสนใจพวกนั้น เขาก็ต้องยืนขึ้น
เหมือนกับลมฤดูใบไม้ผลินำความเขียวชอุ่มมาสู่สองฝั่งน้ำ ดอกไม้ป่าเบ่งบานบนผาชัน ประกาศต่อโลกนี้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์เที่ยงตรง
หากเขาตัวคนเดียว ก็คงจะเป็นเรื่องยากมาก โชคยังดีเขามีเพื่อนมากมาย มีคนที่เชื่อเหมือนเขามากมาย
หากคนเหล่านั้นยินดีที่จะร่วมมือกับเขา มันก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ อนิจจา เหตุใดเขาจึงไม่ปรารถนาจะไปจากเทือกเขา
เฉินฉางเซิงมองไปที่ห้องห่างไกลซึ่งยังมีแสงตะเกียงส่องสว่างอยู่ และสงสัยว่าหลัวปู้กำลังคิดอะไรอยู่
……
……
เผ่ามารถอนทัพไปแล้วจริงๆ ไม่ทิ้งกับดักหรือพยายามที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ได้มา จากตอนเหนือสุดของเมืองเทียนเหลียง จนถึงตีนเขาตะวันตกของหานซาน พื้นที่รัศมีสองพันลี้ไร้ซึ่งเผ่ามาร มีเพียงแค่ทัพหมาป่าสองหน่วยบนฝั่งแม่น้ำลาฮู่ น่าจะมีไว้เพื่อเฝ้าระวังกองทัพมนุษย์เท่านั้น
หลายคนยังคงสงสัยว่าเหตุใดทัพเผ่ามารจึงล่าถอย แต่กระนั้นก็ตามไม่ว่าจะมองมุมใด นี่ก็ยังเป็นชัยชนะของมนุษยชาติ ศูนย์บัญชาการกองทัพสิบกว่าแห่งในทุ่งหิมะแดนเหนือและป้อมปราการมากมายเริ่มทำการเฉลิมฉลองกัน รอยยิ้มผ่อนคลายอยู่บนใบหน้าผู้คนราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในงานเทศกาล
บรรยากาศในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานต่างไปจากที่อื่น มันตึงเครียดและอึดอัด สองฟากถนนหลักเต็มไปด้วยผู้คน ใบหน้าทหาร พ่อค้าและเหล่าสามัญชนที่มีจำนวนน้อยล้วนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล พวกเขายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพื่อฉลองที่กองทัพเผ่ามารล่าถอยไป แต่รอฟังผลการสืบสวน
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีขบวนรถม้ามายังศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานไม่ขาดสาย รถม้าบางคันมาจากด่านหลานกวนและด่านยงเสวี่ย บางคันก็มาจากเมืองฮั่นชิวและบางคันก็มาจากจิงตูที่ห่างไกล รถม้าแต่ละคันคือตัวแทนของบุคคลสำคัญอย่างแท้จริง
เพราะว่าหนิงสือเว่ยตายแล้ว
คืนหนึ่งเขาได้นำองครักษ์ออกไปจากที่ตั้ง หายไปจากสายตา หลังจากนั้นเมื่อมีการพบศพของเขาในสภาพที่น่าสยดสยอง ปัญหาสำคัญก็คือเขาไม่ได้ตายในสนามรบ ทว่าอยู่ในเทือกเขาที่ห่างไกลอย่างยิ่ง
ขุนพลเทพตายอย่างแปลกประหลาด ย่อมต้องมีการสืบสวนเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
ทหาร พ่อค้าและประชาชนมารวมตัวกันที่ถนนเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ตายในคืนนั้น จูเยี่ยผู้นำคนใหม่ของตระกูลจู เทียนไห่จันอีทายาทรุ่นที่สองของตระกูลเทียนไห่และประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังได้ตายในคืนอันเย็นเยียบเช่นเดียวกับหนิงสือเว่ย
เมื่อมีคนสำคัญตายไปมากมาย ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีคนสำคัญมากมายต้องการที่จะมาสืบหาความจริง
สองขุนพลเทพมาจากด่านยงเสวี่ยและด่านหลานกวน และเทียนไห่เฉิงเหวินผู้ทรงเกียรติจากตระกูลเทียนไห่ น้องชายของเทียนไห่เฉิงอู่ประมุขตระกูลเทียนไห่ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีสถานะสูงที่สุดในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานวันนี้ เพราะจงซานอ๋องเป็นราชทูตตัวแทนราชสำนักได้เร่งรุดมาจากจิงตู ตระกูลจูแห่งเทียนเหลียงเสียประมุขตระกูลสองคนติดต่อกัน ในตอนนี้ไร้ซึ่งผู้แข็งแกร่งและกำลังลดทอนอย่างหนัก พวกเขาจึงส่งคนมาเพื่อฟังการสืบสวนเท่านั้น
สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของคนสำคัญที่มายังศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานเหล่านี้ก็คือการสืบหาว่าเหตุใดหนิงสือเว่ยกับพวกถึงได้ตายลง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือตำแหน่งนั้น
ตำแหน่งขุนพลเทพแห่งกองทัพซงซาน
เมื่อตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ปกครองอยู่ แม้ว่าสงครามกับเผ่ามารจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่นนัก แต่กองทัพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตอนที่แข็งแกร่งที่สุด มีขุนพลเทพทั้งหมดสามสิบแปดนาย ระหว่างการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ขุนพลเทพเซวียสิ่งชวนกับเทียนฉุยผู้โด่งดังได้เสียชีวิตไป จากนั้นก็มีการขัดแย้งภายในราชสำนักอย่างรุนแรง เมื่อพายุสงบลง ขุนพลเทพก็เหลือเพียงแค่ยี่สิบสามคนเท่านั้น
จิงตูกับลั่วหยางต่างก็ต้องมีขุนพลเทพคอยดูแล ขุนพลเทพที่ลดจำนวนลงที่เหลือก็อยู่ที่แดนเหนือ
ในตอนนี้นอกจากด่านยงเสวี่ยและด่านหลานกวนที่มีสถานะพิเศษแล้ว ศูนย์บัญชาการกองทัพที่เหลือในทุ่งหิมะมีขุนพลเทพแค่คนเดียว เมื่อหนิงสือเว่ยตายไป ตำแหน่งขุนพลเทพแห่งกองทัพซงซานจึงว่าง และเป็นไปไม่ได้ที่จะย้ายขุนพลเทพจากกองทัพอื่นมา นี่หมายความว่าราชสำนักต้องแต่งตั้งขุนพลเทพคนใหม่
สำหรับกองทัพต้าโจวกับราชสำนัก ตำแหน่งขุนพลเทพเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด
ขุนพลเทพมีอำนาจการทหารและมีอำนาจในการเคลื่อนกำลังพลโดยไม่ต้องรอคำสั่งในภาวะฉุกเฉิน
ไม่ว่าหนิงสือเว่ยจะตายด้วยเหตุใด เมื่อมีตำแหน่งว่างลงต้องมีการแต่งตั้งขุนพลเทพคนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพวกของเซียงอ๋อง ตระกูลเทียนไห่ หรือขุมกำลังใดในราชสำนักต่างก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้
แม้กลางฤดูหนาวไม่มีหิมะตกเหนือศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน แต่มีชั้นเมฆหนาเหนือเมืองและป้อมบนเทือกเขาและแสงก็เย็นเยียบ
สีหน้าแบบเดียวกันปรากฏบนใบหน้าของเหล่าคนสำคัญที่นั่งอยู่ในโถงของศูนย์บัญชาการกองทัพ
จงซานอ๋องนั่งอยู่ตรงกลาง ใบหน้าเขาเปลี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโหดเหี้ยมดังเช่นข่าวลือ
เทียนไห่เฉิงเหวินกับขุนพลเทพเจี้ยนซีแห่งด่านยงเสวี่ยอยู่ด้านขวา
ทางด้านซ้ายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลยุติธรรมที่มาพร้อมกับจงซานอ๋องและขนพลเทพเฉิงเทา จากด่านหลานกวน
เห็นได้ชัดว่าขุมกำลังต่างๆ มีจุดยืนของตัวเอง ไม่อย่างนั้นบรรยากาศในห้องโถงคงไม่กดดันอึดอัดเช่นนี้
ขุนพลเทพเฉิงเทามองไปที่ผู้นำหมู่บ้านเกาหยางและตะโกนอย่างไม่พอใจมาก “ขุนพลผู้บัญชาการเดินทางไปที่ค่ายของเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นหรือ”