ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 134 ดอกไม้ป่าบุกซงซาน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ผู้นำหมู่บ้านเกาหยางคุกเข่ากับพื้นก้มหัวคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เพราะเขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

สีหน้าหมดความอดทนปรากฏขึ้นบนใบหน้าจงซานอ๋อง เขาโบกมือไล่คนผู้นั้นไป

ห้องโถงเงียบลงอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน

ไม่มีราชโองการเจาะจงจากในวัง เป็นการบ่งบอกว่าปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจวไม่มีคนในใจที่จะแต่งตั้งเป็นขุนพลเทพกองทัพซงซาน เหล่าขุมกำลังต่างๆ สามารถแย่งชิงกันได้อย่างเสรี

พวกอ๋องต้องการได้ตำแหน่งนี้ ว่ากันว่าแม้แต่เซียงอ๋องที่เก็บตัวมานานกว่าหนึ่งปีเพื่อเตรียมทะลวงเข้า สู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แสดงความเห็นออกมา

สถานการณ์ของตระกูลเทียนไห่ในตอนนี้ค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน แม้ว่าพวกเขาจะพยายามสร้างความสัมพันธ์กับจักรพรรดิเพื่อให้ฐานะของพวกเขามั่นคง จึงไม่สะดวกนักที่จะทำอะไรโจ่งแจ้งเพราะไม่อยากกระตุ้นความโมโหของปรมาจารย์เต๋าขึ้นมา พวกเขาค่อยๆ ถูกผลักมาอยู่ที่ชายขอบของราชสำนัก ดังนั้นย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป

ทุกคนต้องการตำแหน่งนี้ ทว่าไม่มีใครเอ่ยปากก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาพวกเขายังไม่เข้าใจกับเรื่องที่ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังได้ตายในคืนนั้นเช่นกัน ตระกูลถังไม่ได้ส่งใครมา หากตระกูลถังต้องการจะใช้เรื่องนี้ชิงตำแหน่งขุนพลเทพกองทัพซงซานด้วยความสัมพันธ์กับในวังแล้ว พวกคนในที่แห่งนี้ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสู้กับพวกเขาได้

“มีบางเรื่องที่ทุกคนในที่นี้รู้ดี แต่เราก็ยังต้องทำตามขั้นตอน ถึงอย่างไรก็ยังต้องไว้หน้าราชสำนักอยู่บ้าง”

จงซานอ๋องดูจะหมดความอดทนมากขึ้น ไม่สนใจคนอื่นและส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่จากศาลยุติธรรมกล่าวสรุปการสืบสวนต่อ เจ้าหน้าที่มองไปที่เอกสารแล้วก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “มีคนที่รอดชีวิตจากคืนนั้นหรือ”

คนในห้องโถงรู้สึกประหลาดใจกับข้อมูลนี้ คิดในใจ ราชามารไม่ได้ฆ่าจนหมดหรอกหรือ

จงซานอ๋องก็ดูเหมือนจะสนใจทีเดียวแล้วถามขึ้น “ทำไมไม่มีการพูดถึงก่อนหน้านี้”

เจ้าหน้าที่มองดูเอกสารอีกรอบ ยืนยันว่าเขาไม่ได้เข้าใจผิดไป เขากระซิบกับท่านอ๋อง “ตามที่คนทั้งสองบอก พวกเขาถูกคลื่นกระแทกสลบไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ผ่านไปหลายวันแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาเดินผ่านภูเขากลับมา ก็เลยไม่มีใครรู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่”

จงซานอ๋องเลิกคิ้วและกล่าว “น่าสนใจ นำพวกเขามาซักถาม”

ผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง หญิงสาวในชุดคลุมกระทรวงสิบสามชิงเหย้าและชายวัยกลางคนในชุดทหารก็เดินเข้าห้องโถงมา

นี่ก็คืออันหวากับเฉินโฉวที่กลับมาจากคอกม้าผาชัน ถึงศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานเมื่อไม่กี่วันก่อน

“แจ้งชื่อมา”

“อันหวา อาจารย์จากกระทรวงสิบสามชิงเหย้า”

“เฉินโฉว รองแม่ทัพของศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน”

บรรยากาศในห้องโถงผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินฐานะของคนทั้งสอง

กับคนทรงอำนาจพวกนี้ รองแม่ทัพต่ำต้อยไม่มีค่าให้เอ่ยถึง ความสัมพันธ์กับพระราชวังหลีของอันหวาทำให้นางยากจะจัดการขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สรุปแล้ว คนทั้งสองไม่ใช่คนที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้

“บรรยายสิ่งที่เจ้าได้เห็นในคืนนั้น พูดตามตรง อย่าได้โกหกแม้แต่น้อย”

จงซานอ๋องมองดูคนทั้งสองอย่างเฉยชาและกล่าวเตือน “ในบันทึก พวกเจ้าสองคนน่าจะตายไปแล้ว ตอนนี้มีชีวิตกลับมา หากว่ามีปัญหากับการรอดชีวิตของพวกเจ้า อ๋องผู้นี้ก็ไม่ว่าอะไรหากพวกเจ้าจะตายอีกครั้ง”

เมื่อสัมผัสถึงสายตาเย็นชาจากคนสำคัญเหล่านี้ เฉินโฉวก็รู้สึกว่าเขาได้กลับไปในคืนเย็นเยียบนั่นถูกทัพหมาป่าของเผ่ามารล้อมเอาไว้

เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดนั้นย่อมล่วงเกินเหล่าคนใหญ่โตเหล่านี้ ถึงกับล่วงเกินราชสำนักทั้งหมด

ทว่าในเมื่อเขาได้ให้สัญญาแล้ว ก็จำเป็นต้องทำตาม เพราะเขาเป็นทหารของต้าโจว

เขาสูดหายใจเข้าลึก เตรียมจะก้าวออกไป

แต่อีกคนหนึ่งเคลื่อนไหวเร็วกว่า

อันหวาที่ยืนอยู่ข้างกายเขามองไปที่จงซานอ๋อง เทียนไห่เฉิงเหวินและพวกคนสำคัญทั้งหมดตอนที่นางรายงาน “ในฤดูใบไม้ร่วงปีที่สามของยุคใหม่ ข้ากับแม่ทัพเฉินโฉวนำนักสร้างค่ายกลหนุ่มที่ใกล้ตายไปยังหมู่บ้านเกาหยาง เราได้รับข้อมูลมาว่าเจ้าของยาจูซาอาจอยู่ที่นั่น”

เสียงของนางสงบ ชัดเจนและผ่อนคลายอย่างมาก

นางเล่าเรื่องจากหมู่บ้านเกาหยางไปจนถึงทะเลสาบ ซึ่งเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของคืนนั้น แต่บทสรุปได้เริ่มขึ้นแล้ว

“จูเยี่ย หนิงสือเว่ยกับเทียนไห่จันอีตายเพราะพวกเขาต้องการจะลอบสังหารเจ้าของยาจูซาและชิงมันมาเป็นของตนเอง แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าราชามารยังไม่ตาย เพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง เขาได้มายังเทือกเขานั้นเพื่อตามหาเจ้าของยาจูซาเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายพบกันและส่งผลให้คนทั้งหมดเสียชีวิต”

เหล่าคนสำคัญทั้งหมดในที่แห่งนี้ล้วนรู้อยู่แล้วว่าจูเยี่ยกับพวกได้ตายในมือของราชามารจริงๆ

พวกเขามาทำการสืบสวนถึงที่ก็เพราะการประเมินของเปี๋ยยั่งหง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่อาจเห็นภาพที่ถูกต้องเกี่ยวกับการตายของทุกคนได้

พวกเขาคาดเดาได้ว่าจูเยี่ยกับพวกมาที่เทือกเขาเพื่ออะไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้รับการยืนยันจากพยาน

มันเป็นเรื่องยาจูซาจริงๆ

จงซานอ๋องมองไปที่ขุนพลเทพเฉิงเทา

ขุนพลเทพเฉิงเทาพยักหน้าเล็กน้อยแทบมองไม่ออก

จงซานอ๋องหน้าเครียดขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นเรื่องที่พวกเขาปรึกษากันผ่านจดหมายครั้งก่อน

เหล่าผู้มีอำนาจในจิงตูตรู้เรื่องยาจูซา ก็ต่างพยายามช่วงชิงยาวิเศษนี้มาเป็นของตัวเอง

“ไม่ต้องพูดถึงความน่าเชื่อถึงในตัวเจ้า ต่อให้เป็นจริง เจ้าก็ไม่อาจใส่ร้ายคนตายได้ การลอบสังหารอะไรกัน การแย่งชิงอะไรกัน”

เสียงทุ้มต่ำนี้เป็นของเทียนเฉิงเหวิน

เทียนไห่จันอีเป็นบุตรชายเขา ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจให้บุตรชายแบกรับตราบาปหลังจากตายไปแล้ว

หากพวกเขาต้องการชิงตำแหน่งขุนพลเทพแห่งกองทัพซงซาน ก็ไม่อาจแบกรับข้อกล่าวหาอันใดได้

พวกคนสำคัญต่างก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเทียนไห่จันอี จูเยี่ยหรือหนิงสือเว่ยสามารถตายอย่างวีรบุรุษในสามรบหรือตกเหวตายโง่ๆ แต่ไม่อาจตายด้วยเหตุนี้ได้

ขุนพลเทพเจี้ยนซีเสริมอย่างไม่ยินดียินร้าย “ใช่แล้ว ขุนพลเทพหนิงสือเว่ยออกปฏิบัติภารกิจ เขาไม่อาจที่จะถูกกล่าวโทษเช่นนี้”

จงซานอ๋องเผยความไม่อดทนอีกครั้ง โบกมือและกล่าว “เข้าประเด็นเลยแล้วกัน เจ้าเห็นกับตาหรือไม่ว่าพวกเขาถูกราชามารฆ่า”

อันหวาส่ายหน้าแล้วตอบ “เรายังอยู่ในสวน จึงไม่อาจเห็นกับตาตัวเอง แต่พวกเราได้ยินราชามารกล่าวยอมรับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

แม้ว่าการตายของราชามารในตำนานจะได้รับการยืนยันแล้ว ไม่มีคนใหญ่โตคนไหนกล้าพอจะบอกว่าเขาโกหก

จงซานอ๋องถาม “ตามที่เจ้าพูด เจ้าของยาจูซาก็อยู่ที่นั่นด้วย”

อันหวาตอบอย่างใจเย็น “ใช่”

จงซานอ๋องจ้องไปที่ดวงตาของนางและถาม “เขาตายได้อย่างไร”

บางคนโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยกับคำถามนี้ ดูเหมือนจะใส่ใจเป็นพิเศษ

ในมุมมองของพวกเขา เมื่อราชามารปรากฏตัว คนผู้นั้นย่อมต้องตายแน่นอน แต่พวกเขาต้องการจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสูตรยาจูซา…

อันหวาตอบ “เขาไม่ได้ตาย”

จงซานอ๋องเลิกคิ้ว “เจ้าว่าอะไรนะ”

อันหวาสบตาเขาอย่างสุขุมและกล่าว “เขาไม่ได้ตาย”

จงซานอ๋องพูดอย่างก้าวร้าว “ทุกคนตาย แต่เจ้าสองคนยังอยู่แล้วคนผู้นั้นก็ยังอยู่อย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าอ๋องผู้นี้โง่เขลาหรืออย่างไร”