ทั่วทั้งโลกรู้ว่าตอนที่จงซานอ๋องถูกขับออกจากจิงตู เป็นเพราะเขาได้แกล้งเป็นบ้าและกินอาจมทำให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่สั่งประหารเขา เขาเป็นคนที่ไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองใจได้ มีหลายครั้งที่เขาได้สังหารคนเพียงเพราะความไม่เห็นพ้องต้องกันเพียงเล็กน้อย อันหวาในอดีตต่อให้มีดวงจิตสงบนิ่งเพียงใด ก็ยังรู้สึกกังวลใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอ๋องผู้บ้าคลั่งนี้ อย่างไรก็ตามในตอนนี้นางไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะนางได้สัมผัสกับใจสังฆราชอันกว้างใหญ่ดุจทะเลดวงดาวและความอบอุ่นดุจแสงตะวันของเขาอย่างใกล้ชิดเมื่อไม่นานมานี้
เจตนาของสังฆราชอยู่กับนางเสมอ เสมือนดั่งแสงศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นนางมีอันใดต้องกลัว
นางมองกลับไปที่จงซานอ๋องอย่างใจเย็นเห็นได้ชัดว่าไม่มีเจตนาจะเปลี่ยนคำให้การ
“ในเมื่อคนผู้นั้นยังไม่ตาย เหตุใดพวกเจ้าไม่กลับมาด้วยกัน” เจ้าหน้าที่จากศาลยุติธรรมถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “ขุนพลเทพถูกสังหาร นี่เป็นเรื่องใหญ่ อย่าว่าแต่เรื่องที่เขาน่าสงสัย ต่อให้เขาแค่แสดงหลักฐานก็ควรมาที่นี่ด้วยตัวเอง”
เมื่อพวกเขาได้รับการยืนยันว่าเจ้าของยาจูซาตายแล้ว ทุกคนก็ย่อมต้องการรู้ว่าสูตรยาจูซาอยู่ที่ไหน
แต่ตอนนี้เมื่อได้รับการยืนยันว่าเขายังไม่ตาย คนผู้นั้นย่อมสำคัญยิ่งกว่าสูตรยา
อันหวาตอบ “เขามีเรื่องสำคัญและไม่มาที่นี่ เขาได้เขียนจดหมายบรรยายเหตุการณ์ในคืนนั้นเอาไว้แล้ว”
ในยามที่นางจะนำจดหมายออกมา ห้องโถงก็ดังขึ้นด้วยเสียงเกรี้ยวกราดของขุนพลเทพเฉิงเทา “กล้าดียังไง! กล้าดูถูกคนสำคัญทั้งหมดนี้ด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง! นี่เป็นเรื่องใหญ่ และท่านอ๋องก็มาด้วยตัวเองในฐานะผู้แทนพระองค์ คนผู้นี้เป็นใครจึงกล้าปฏิเสธราชโองการ”
สีหน้าของอันหวาไม่เปลี่ยนสักนิดตอนที่นางกล่าวอย่างสุขุม “ต่อให้ท่านอ่องนำราชโองการมาจริง มันก็ไร้ความหมาย”
ในยามที่นางกล่าว นางก็มองไปที่จงซานอ๋อง
ในห้องโถงมีเสียงอื้ออึงขึ้นมาตามมาด้วยเสียงหัวเราะ
ทุกคนถือว่าคำพูดนี้ของนางเป็นเรื่องตลก
แต่จงซานอ๋องไม่ได้หัวเราะ แม้อันหวาจะพูดกับเขา แม้เขาจะนำราชโองการมาจริงๆ ก็ตาม
มีอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้หัวเราะ เทียนไห่เฉิงเหวิน กับดักในเทือกเขาหิมะเป็นแผนของราชสำนักกับตระกูลถัง วางตัวนักสร้างค่ายกลหนุ่มเอาวเพื่อที่จะค้นหาและสังหารเฉินฉางเซิง แผนการนี้ถูกปิดบังซ่อนเร้นจนแม้แต่จงซานอ๋องหรือเทียนไห่เฉิงเหวินก็ไม่รู้ แต่พวกเขาล้วนมีฐานะสูงอย่างมากและมีข้อมูลข่าวสาร เพียงแค่ว่าพวกเขายังไม่อาจยืนยันได้ว่ามันเป็นจริงหรือไม่ ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นสีหน้าสงบนิ่งของอันหวา พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อยและคิดในใจ หรือว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง
ขุนนางจากศาลยุติธรรมเย้ย “เจ้าหมายความว่าคนผู้นั้นคือองค์สังฆราชเช่นนั้นหรือ”
“ถูกต้อง”
อันหวานำเอาจดหมายออกมาและมองไปที่พวกคนสำคัญในห้องโถง “นี่เป็นจดหมายที่องค์สังฆราชเขียนด้วยตัวเอง มีใต้เท้าท่านใดจะมารับมันหรือไม่”
อะไรนะ จดหมายที่สังฆราชเขียนด้วยตัวเอง
คนผู้นั้นคือองค์สังฆราชอย่างนั้นหรือ
เจ้าหน้าที่นั่นคิดว่าเขาหูฝาดไป หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ได้สติกลับมาและแทบจะล้มลงหมดสติไป
คนอื่นก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่าเช่นกัน พวกเขานั่งตัวแข็งทื่อราวรูปปั้น ไม่อาจเคลื่อนไหวหรือพูดได้
ห้องโถงซึ่งเต็มไปด้วยเสียงก่อนหน้านี้ในตอนนี้ได้นิ่งงันไปอย่างสิ้นเชิง
ความเงียบที่ดูเหมือนกับดำรงอยู่ไปชั่วกาลนี้ สร้างความกดดันอย่างมากให้กับเหล่าผู้มีอำนาจพวกนี้ พวกเขามองหน้ากันดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ
หลังจากเวลาผ่านไปในที่สุดก็มีคนพูดขึ้น
เสียงของเทียนไห่เฉิงเหวินยังคงทุ้มต่ำแต่ก็ยังสังเกตได้ว่ามีอารมณ์แฝงอยู่หากตั้งใจฟังให้ดี
“เจ้าบอกว่าคนที่สร้างยาจูซาก็คือองค์สังฆราชอย่างนั้นหรือ”
อันหวาตอบ “ถูกต้อง”
เทียนไห่เฉิงเหวินไม่พูดอะไรอีก ดูเหมือนจะมองไปทางเจ้าหน้าที่จากศาลยุติธรรมอย่างไม่ตั้งใจ
พวกคนสำคัญเหล่านี้ล้วนคุ้นเคยกับเบื้องสูงเบื้องล่างในวงราชการ การต่อสู้แข่งขันในราชสำนัก พวกเขาล้วนเป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่มีปฏิกิริยาว่องไว
เจ้าหน้าที่คนนั้นทุบโต๊ะและจ้องไปที่อันหวากล่าวอย่างเย็นชา “เหลวไหลที่สุด! องค์สังฆราชเป็นนายแห่งพระราชวังหลี แบกความหวังของผู้ศักดิ์สิทธิ์นับล้านของนิกายหลวง มีความรักความเมตตาหาใดเปรียบ! หากยาจูซามาจากมือขององค์สังฆราชจริง องค์ท่านย่อมประทานสูตรยาให้กับนิกายหลวงหรือราชสำนักเพื่อทำการผลิตจำนวนมาก จะไม่สนใจสถานการณ์อันสิ้นหวังของเหล่าทหารที่ใกล้ตายในแนวรบและผลิตยาแค่เดือนละขวดได้อย่างไร! สังฆราชจะเป็นคนที่แย่งชิงชื่อเสียง เป็นคนต่ำช้าที่ควบคุมสมบัติเพื่อบีบบังคับราชสำนักได้อย่างไร!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ขุนพลเทพเฉิงเทที่กลัวจะพูดแล้วล่วงเกินสังฆราชก็รู้สึกโล่งอกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในห้อง
การสืบสวนที่ทำในศูนย์บัญชาการกองทัพถูกส่งต่อไปยังฝูงชนบนถนนอย่างต่อเนื่อง เมื่อพวกเขาได้รู้ข่าวนี้ฝูงชนก็ส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาในทันที
ยาจูซาที่ลึกลับอันที่จริงแล้วถูกสร้างขึ้นด้วยมือขององค์สังฆราช!
ประชาชนเริ่มเบียดเข้ามายังประตูของศูนย์บัญชาการกองทัพ เบียดเสียดบนท้องถนนพร้อมกับตะโกน
แต่เมื่อคำพูดของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมถูกถ่ายทอดออกมา ท้องถนนก็เงียบงันไปในทันที
คำพูดของเจ้าหน้าที่นั้นชั่วร้ายมาก
หากอันหวายืนยันว่าสังฆราชเป็นผู้สร้างยาจูซาจริง แล้วจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร ยาจูซาปรากฏขึ้นเมื่อหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา หลายคนโดยเฉพาะคนที่ไม่มีโอกาสได้รับยาจูซากับพวกที่ได้แต่มองเพื่อนทหาร เพื่อนรวมรบและญาติตายไป ล้วนแต่ถามคำถามเดียวกันนี้
เมื่อยาจูซาสามารถปลูกกระดูกและช่วยชีวิตคนใกล้ตาย ทำไม…ทำไมคนผู้นั้นถึงไม่ยอมสร้างมันให้มากขึ้น
ถนนยาวเต็มไปด้วยความเงียบงันอยู่ขณะหนึ่ง คนนับไม่ถ้วนมองไปทางศูนย์บัญชาการกองทัพ มองหาคำตอบ
ด้วยความเมตตาขององค์สังฆราช ท่านจะทนมองคนมากมายล้มตายได้อย่างไร
“ในอดีตข้าก็เคยคิดเช่นเดียวกับใต้เท้าและผู้คนด้านนอก ข้าเองก็สับสนมาก ถึงกับโกรธกับปัญหานี้”
อันหวามองไปที่เจ้าหน้าที่จากศาลยุติธรรมและกล่าวต่อ “แต่ตอนนี้ข้าไม่คิดเช่นนั้น เพราะข้ารู้ว่ายาจูซานั้นมีส่วนผสมที่หายากมากอย่างยิ่งที่มีเพียงองค์สังฆราชเท่านั้นที่หาได้ ดังนั้นต่อให้สูตรยานี้ถูกมอบให้กับพระราชวังหลีหรือราชสำนัก ก็ไร้ความหมาย ยิ่งไปกว่านั้นยานี้สามารถผลิตได้จำนวนเพียงเท่านี้ต่อเดือนเท่านั้น”
จงซานอ๋องหรี่ตากับคำพูดนี้ มีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ในการกระทำนี้ เทียนไห่เฉิงเหวินก็นิ่งเงียบเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับการเตือนใดๆ เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าตัวยาใดที่หายากจนไม่อาจหาได้ในสวนร้อยหญ้าหรือป่าจู่สือ ตัวยาใดที่หายากจนมีเพียงแต่องค์สังฆราชเท่านั้นที่หาได้”
หากว่าตามเหตุผล ไม่มีอะไรผิดกับคำโต้แย้งนี้ สามารถโต้กลับการอธิบายทุกรูปแบบ
แต่เขาก็พบอย่างรวดเร็วว่าเขาได้ทำเรื่องผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว
เพราะอันหวาเริ่มตอบคำ
“เพราะตัวยานั้นก็คือโลหิตศักดิ์สิทธิ์ขององค์สังฆราช!”
นางพูดด้วยความภาคภูมิใจและเปล่งประกาย เสียงกระจ่างใสดังก้องไปทั้งในและนอกศูนย์บัญชาการกองทัพ เข้าสู่หูของคนนับไม่ถ้วน
“เพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิต องค์สังฆราชไม่ลังเลที่จะสละชีวิตของตน เปลี่ยนโลหิตศักดิ์สิทธิ์ตนเองเป็นยาจูซา!”
ผู้คนทั้งในและนอกศูนย์บัญชาการกองทัพอ้าปากค้างพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
จากนั้นเสียงทั้งหมดก็หายไป
บนถนนและในศูนย์บัญชาการกองทัพต่างก็เงียบงัน
ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน
อันหวากวาดสายตาผ่านเจ้าหน้าที่จากศาลยุติธรรมและเหล่าคนสำคัญในยามที่นางถาม “ใต้เท้าทั้งหลายมีคำถามใดที่จะถามอีกหรือไม่”
ยังไม่มีใครพูด
จงซานอ๋องกับเทียนไห่เฉิงเหวินมองตากัน เห็นความตกใจและกังวลในดวงตาของอีกฝ่าย