หลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ใช้ชีวิตและฝึกวิชาอยู่ในนิกายหมื่นบุปผาอย่างเงียบสงบโดยที่ไม่เกิดเรื่องวุ่นวายใด และภายในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่และสหายเริ่มคุ้นเคยกับนิกายหมื่นบุปผามากยิ่งขึ้นในขณะที่ศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายก็เริ่มรู้จักกับพวกนางเช่นเดียวกัน
ด้วยคำสั่งอย่างชัดเจนของฮวาฟางเฟย ผู้คุมกฎฝั่งขวาก็ไม่ได้เข้ามาหาเรื่องพวกนางอีก
บรรดาศิษย์ของผู้คุมกฎฝั่งซ้ายล้วนกระตือรือร้นอย่างมากและไม่รบกวนการฝึกฝนของศิษย์ใหม่ทั้งสี่แม้แต่น้อย
ในวันนี้พวกนางก็ยังคงฝึกวิชาอยู่ในเรือนเช่นเคยเมื่อเห็นฮวาเยว่เดินเข้ามาจากข้างนอก
“พวกเจ้าอาศัยอยู่ในนิกายหมื่นบุปผาจนครบครึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าสามารถเข้าไปที่หอสมบัติของนิกายได้ครั้งหนึ่ง ในวันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่นั่นเอง”
ตลอดสิบห้าวันของการเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาอย่างเป็นทางการ ฉินอวี้โม่และสหายเพิ่งได้พบกับฮวาเยว่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนใหญ่แล้วฮวาเยว่มักจะฝึกวิชาอยู่ในเรือนที่พักของตนและคอยสืบหาข้อมูลอย่างลับ ๆ นางเพียงสั่งการมอบหมายหน้าที่ให้สี่ยอดสตรีงามดูแลฉินอวี้โม่และสหายโดยที่ตนเองแทบไม่มาจัดการดูแล
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ลุกขึ้นก่อนตามฮวาเยว่ไปยังหอสมบัติอย่างกระตือรือร้น
หอสมบัติของนิกายหมื่นบุปผาคือสถานที่สำคัญของนิกายซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางของหุบเขาหมื่นบุปผาและอยู่ถัดจากเรือนที่พักของฮวาฟางเฟย
บรรดาศิษย์หลักของนิกายสามารถเข้า-ออกหอสมบัติได้ตามต้องการ ทว่าพวกนางก็ยังต้องแจ้งให้ผู้อาวุโสของตนทราบก่อนเข้าไปที่นั่น
สำหรับศิษย์ใหม่เช่นฉินอวี้โม่และสหาย เว้นแต่ว่าจะมีผู้อาวุโสหรือผู้คุมกฎพาเข้าไป พวกนางจะไม่สามารถผ่านเข้า-ออกหอสมบัติตลอดระยะเวลาสามเดือนนับตั้งแต่เข้าร่วม
ระหว่างเดินทางไปที่นั่น ทุกคนได้พบกับศิษย์มากหน้าหลายตาและคนส่วนใหญ่ทักทายฉินอวี้โม่อย่างเป็นมิตร แม้แต่ศิษย์ฝั่งขวาก็ไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อฉินอวี้โม่และสหายแต่อย่างใด
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝั่งจะไม่ถูกกันนักและมักมีเรื่องบาดหมางกันอยู่เสมอ ทว่าความบาดหมางเหล่านั้นก็มาจากศิษย์ส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งจะอยู่ในระดับดีและไม่ถือโอกาสท้าทายอีกฝ่าย
เมื่อฉินอวี้โม่และสหายตามฮวาเยว่มาถึงทางเข้าของหอสมบัติ พวกนางก็ได้พบกับเหลียนซวงซึ่งมีความขัดแย้งกันก่อนหน้านี้
“เหอะ !”
เหลียนซวงก็ไม่กล่าวทักทายฮวาเยว่และเพียงตวัดสายตามองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยแววตาแข็งกร้าวก่อนสะบัดหน้าหันหลังและเดินเข้าไปในหอสมบัติ
นางรู้สึกเกลียดชังฉินอวี้โม่และสหายอย่างที่สุด หากมิใช่เพราะคำสั่งโดยตรงของฮวาฟางเฟย นางก็คงจะหาทางเล่นงานคนเหล่านี้ไปนานแล้ว
“ศิษย์หลักส่วนใหญ่ของฝั่งขวาก็แทบไม่ต่างไปจากเหลียนซวงหรอก เพราะฉะนั้นไม่ต้องสนใจพวกนางมากนัก”
ฮวาเยว่กล่าวขึ้นเบา ๆ และแสดงให้เห็นว่านางก็ไม่ชอบหน้าศิษย์ของฮวาหรงเช่นกัน
บรรดาศิษย์หลักที่ติดตามฮวาหรงล้วนเย่อหยิ่งและยโสโอหังกันไม่น้อย อีกทั้งพวกนางก็ยังไม่เห็นหัวผู้ใดในสายตา ฉินอวี้โม่และสหายเคยมีเรื่องบาดหมางกับเหลียนซวงมาแล้ว แน่นอนว่านางย่อมชิงชังคนเหล่านี้เป็นธรรมดา
“ข้าไม่ได้สนใจนางหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจเท่านั้นว่า การที่นางมีทัศนคติความคิดเช่นนี้ ผู้คุมกฎฝั่งขวาและท่านจ้าวนิกายไม่จัดการอะไรกับนางเลยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าไม่สนใจกิริยาท่าทางของเหลียนซวงแม้แต่น้อย นางเพียงรู้สึกว่าศิษย์ฝั่งซ้ายและศิษย์ฝั่งขวาของนิกายหมื่นบุปผาแตกต่างกันยิ่งนัก หากไม่ได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง นางก็คงไม่มีทางเชื่อเลยว่าจะมีศิษย์ที่จิตใจคับแคบและขี้อิจฉาอยู่ในนิกายหมื่นบุปผาซึ่งเป็นถึงขุมกำลังอันดับสองในทั้งเก้านิกาย
“บางสิ่งบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนหรอก เจ้าเพียงระลึกไว้ก็พอว่าศิษย์ฝั่งซ้ายของเราไม่เคยกลัวใคร หากคนพวกนั้นไม่ก่อกวนข้า ข้าก็จะไม่กวนใจพวกนาง แต่หากผู้ใดทำให้ข้าไม่พอใจละก็…ข้าจะจัดการถอนรากถอนโคนให้สิ้นซากอย่างแน่นอน !”
ฮวาเยว่กล่าวอย่างหนักแน่นและแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
ในอนาคตข้างหน้า หากเหลียนซวงก่อเรื่องกวนใจฉินอวี้โม่และสหาย ไม่ว่าพวกนางจะเลือกจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไร ฮวาเยว่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนทุกการตัดสินใจโดยไม่ลังเล
สมาชิกฝั่งซ้ายทุกคนอดทนอดกลั้นกันมานานเกินพอแล้ว หากศิษย์ฝั่งขวายังคงแสดงท่าทีโอหังไม่เลิก เกรงว่าฮวาเยว่คงจะหมดความอดทนในไม่ช้า
“เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับและทราบดีว่าควรทำอย่างไรในอนาคต
เมื่อมาถึงข้างหน้าหอสมบัติ ทุกคนก็ได้พบกับผู้อาวุโสสองคนซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ข้างหน้าประตู
นอกเหนือจากจ้าวนิกาย ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายและฝั่งขวา รวมถึงผู้อาวุโสทั้งสี่คน ในนิกายหมื่นบุปผาก็ยังมีผู้อาวุโสอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่จัดการดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ ภายในนิกาย
ความแข็งแกร่งของบรรดาผู้อาวุโสที่จัดการดูแลความเรียบร้อยเหล่านี้ก็ไม่ถือว่ามากนัก ทว่าพวกนางก็มีประสบการณ์สูงและอยู่ร่วมกับนิกายหมื่นบุปผามานานหลายปี พวกนางมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการกิจการประจำวันทั่วไปของนิกายและถือว่ามีสถานะที่สูงพอสมควร ผู้อาวุโสทั้งสองคนที่มีหน้าที่คุ้มกันหอสมบัติแห่งนี้ก็เคยเป็นศิษย์ของนิกายในรุ่นราวคราวเดียวกับฮวาเยว่และฮวาหรง
แม้มีหน้าที่คุ้มกันหน้าหอสมบัติของนิกายหมื่นบุปผาเพียงเท่านั้น แต่ทั้งสองก็ได้รับความไว้วางใจจากฮวาฟางเฟยเป็นอย่างมากและมีสถานะที่ค่อนข้างสูงในนิกาย
“สตรีเหล่านี้คือศิษย์ใหม่ในปีนี้สินะ ?”
ทั้งสองทักทายฮวาเยว่และเอ่ยถามขณะสายตาบรรจบที่กลุ่มของฉินอวี้โม่
หนึ่งในผู้อาวุโสทั้งสองที่ดูมีอายุน้อยกว่าและมีนามว่า ‘กู่อวี่’ เป็นคนเอ่ยถาม
ผู้อาวุโสทั้งสองมีหน้าที่คุ้มกันหน้าหอสมบัติและไม่สามารถออกไปจากที่นี่โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ แม้ฉินอวี้โม่และทุกคนจะอยู่ในนิกายหมื่นบุปผามานานครึ่งเดือนแล้ว ทั้งสองก็เพิ่งได้พบหน้าศิษย์ใหม่เหล่านี้เป็นครั้งแรก
“ข้าน้อยฉินอวี้โม่ขอคารวะผู้อาวุโสทั้งสองเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามโค้งคำนับผู้อาวุโสทั้งสองอย่างนอบน้อม ทว่านั่นมิใช่เพียงเพราะทั้งสองเป็นผู้อาวุโสเฝ้าหอสมบัติ หากแต่เป็นเพราะทั้งสองไม่มีท่าทีดูแคลนพวกตนแม้แต่น้อย
“ช่างเป็นศิษย์ที่ดูเข้าท่าทีเดียว พวกเจ้ามีมารยาทยิ่งกว่าศิษย์รุ่นก่อน ๆ เสียอีก”
กู่สุ่ย—ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและไม่ปิดบังความเดียดฉันท์ที่มีต่อศิษย์บางคน
ศิษย์รุ่นก่อน ๆ ที่นางกล่าวถึงส่วนใหญ่แล้วเป็นศิษย์ที่ติดตามฮวาหรงและเหลียนซวงก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
เมื่อศิษย์เหล่านั้นเข้ามาที่หอสมบัติเป็นครั้งแรก พวกนางก็วางท่าหยิ่งผยองและดูแคลนผู้อาวุโสทั้งสองอย่างมาก นับประสาอะไรกับการโค้งคำนับอย่างนอบน้อมเช่นนี้
“ศิษย์ที่อยู่รอบตัวศิษย์พี่เยว่มักที่จะทำให้ข้ารู้สึกประทับใจอยู่เสมอ”
กู่อวี่กล่าวอย่างเห็นด้วยและไม่ปิดบังความจริงที่ว่าพวกตนมีความสัมพันธ์อันดีกับฮวาเยว่
“พวกเจ้าทั้งสองกินน้ำผึ้งไปรึไง ? เหตุใดจึงปากหวานกันเช่นนี้”
ฮวาเยว่หัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าว “ข้าจะพาพวกนางเข้าไปข้างในก่อน พวกเจ้าขยันทำงานกันต่อไปล่ะ”
“เชิญเถอะ เชิญเถอะ”
กู่อวี่และกู่สุ่ยโบกมือเบา ๆ ก่อนยิ้มให้กับฉินอวี้โม่และสหาย “หากในอนาคตพวกเจ้ามาที่หอสมบัติและเผชิญกับปัญหาใดก็บอกพวกเราได้เสมอ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นศิษย์ของศิษย์พี่เยว่ ไม่ต้องเกรงใจล่ะ”
ศิษย์ใหม่เหล่านี้เป็นที่น่าพอใจมากและประพฤติตัวดีกว่าบรรดาศิษย์ของฮวาหรงมากนัก แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งสองยินดีช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพวกนางอย่างเต็มที่
“ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็กล่าวขอบคุณทั้งสองอย่างจริงใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงผู้อาวุโสซึ่งมีหน้าที่เฝ้าหอสมบัติเท่านั้น ทว่าอีกฝ่ายก็อาจจะมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นกัน นางเชื่อว่าทั้งสองจะเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างมากหากนางมาที่หอสมบัติแห่งนี้และไม่พบสิ่งที่ตามหา
จากนั้นประตูหอสมบัติก็เปิดออกอย่างช้า ๆ และศิษย์ใหม่ทั้งสี่ก็เดินตามฮวาเยว่เข้าไป
หอสมบัติแห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้นซึ่งเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นแร่ อาวุธอุปกรณ์ โอสถและตำราเก่าแก่โบราณซึ่งบันทึกข้อมูลของดินแดนมหาเทพ หอสมบัติแห่งนี้แทบมีทุกอย่างให้เลือกหา
ชั้นแรกคือพื้นที่ของสมุนไพรวิญญาณและวัสดุอื่น ๆ ชั้นที่สองคือพื้นที่สำหรับโอสถและอุปกรณ์อาวุธระดับสูง ส่วนชั้นที่สามของหอสมบัติคือพื้นที่สำหรับทักษะยุทธ์และตำราเก่าแก่เกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปเดินเลือกชมด้วยตัวเองเถอะ ข้าจะมาพบพวกเจ้าที่หน้าประตูในอีกชั่วยามครึ่ง”
ฮวาเยว่โบกมือให้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกนางไปท่องชมรอบ ๆ หอสมบัติได้ตามสบาย
วันนี้นางเพียงต้องการให้ศิษย์ใหม่เหล่านี้ได้ทำความคุ้นเคยกับหอสมบัติก่อน หลังจากนี้พวกนางจะได้มาที่หอสมบัติเพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง แน่นอนว่าหากต้องการนำสิ่งใดออกไปจากหอสมบัติแห่งนี้พวกนางก็จะต้องแลกมันด้วยแต้มคะแนนที่มี