หอสมบัติของนิกายหมื่นบุปผาเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่ามากมายและทุกสิ่งล้วนมีคุณภาพสูง
ศิษย์ทุกคนที่เข้ามาในหอสมบัติสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้นานที่สุดไม่เกินหกชั่วยามและสามารถนำสิ่งของข้างในหอสมบัตินี้ออกไปได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม หากหมายตาสมบัติใดและต้องการนำออกไป ศิษย์เหล่านั้นก็จะต้องแลกมันด้วยแต้มของตน
การครอบครองแต้มก็มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน โดยเบื้องต้นคือศิษย์ทุกคนจะได้รับสามสิบแต้มในทุก ๆ เดือนและศิษย์สิบอันดับแรกจะได้แต้มมากกว่าศิษย์คนอื่น ๆ แน่นอนว่ายิ่งอยู่ในอันดับสูงเพียงใดก็จะได้แต้มมามากเพียงนั้น
นอกจากนี้ ทางนิกายก็จะเสนอภารกิจพิเศษออกมาเป็นครั้งคราวและศิษย์สามารถเข้าร่วมเพื่อรับแต้มเป็นรางวัลหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเหล่านั้นได้
แน่นอนว่าการทำภารกิจเหล่านั้นมิใช่วิธีครอบครองแต้มที่เร็วที่สุด เพราะวิธีที่เร็วที่สุดก็คือการท้าดวลศิษย์ที่มีแต้มมากกว่า ตราบใดที่เอาชนะการท้าดวลได้สำเร็จ ศิษย์ผู้นั้นก็จะได้รับแต้มครึ่งหนึ่งของคู่ต่อสู้ไป
แน่นอนว่าศิษย์ผู้ถูกท้าดวลก็มีสิทธิ์ปฏิเสธและไม่สามารถบีบบังคับฝืนใจอีกฝ่ายได้
“ฮ่า ๆ ๆ อยากรู้ยิ่งนักว่าเหลียนซวงจะมีแต้มมากเพียงใด”
เมื่อทราบถึงวิธีการครอบครองแต้มวิธีสุดท้าย อวิ๋นซื่อเทียนและฉินอวี้โม่ก็สบตากันพร้อมเผยรอยยิ้มอย่างเข้าใจตรงกัน
ถึงอย่างไรเหลียนซวงก็วางตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกนางอย่างไม่หยุดหย่อน หากฉินอวี้โม่และสหายเป็นฝ่ายท้าดวล ด้วยลักษณะนิสัยของเหลียนซวง เชื่อว่านางไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน และหากเหลียนซวงมีแต้มจำนวนมากอยู่กับตัว พวกนางก็จะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองได้
หลังจากเดินชมไปรอบ ๆ หอสมบัติ ฉินอวี้โม่ก็ได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจมากมาย
ในชั้นแรกของหอสมบัติคือแร่ สมุนไพรวิญญาณและวัสดุอื่น ๆ ซึ่งล้วนอยู่ในระดับสูงมาก ฉินอวี้โม่ถึงขั้นค้นพบแก่นวิญญาณเพชรพันปีสองก้อนซึ่งวางอยู่ในมุมหนึ่งที่ไม่โดดเด่นนัก
หลังจากก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อสำรวจอย่างใกล้ชิด นางก็พบว่าต้องใช้เพียงห้าสิบแต้มเท่านั้นในการแลกแก่นวิญญาณเพชรพันปีทั้งสองก้อน
ต้องกล่าวเลยว่าแก่นวิญญาณเพชรพันปีเป็นสิ่งที่พบได้ยากยิ่งนัก และต่อให้ปรากฏขึ้นมาเพียงก้อนเดียว มันก็จะก่อให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงกันของผู้คนมากมายและสามารถขายได้ในราคาสูงเฉียดฟ้า
ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการที่ไม่มีผู้ใดในนิกายหมื่นบุปผาทราบถึงมูลค่าที่แท้จริงของแก่นวิญญาณเพชรพันปี หรือว่าเพียงแค่ไม่ได้สนใจมันเท่านั้น
แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็จดจำตำแหน่งของมันไว้แล้วและตั้งใจจะกลับมาแลกแก่นวิญญาณเพชรเมื่อมีแต้มมากพอ
ตอนนี้แผนการพัฒนาปรับโฉมคฤหาสน์เฟิงหัวของนางดำเนินการไปได้เพียงหนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้น
ไข่มุกเลี่ยงวารี แก่นวิญญาณเพชรพันปีและผลึกเพลิงเป็นสิ่งที่รวบรวมมาได้ยากยิ่งนัก กล่าวได้ว่าฉินอวี้โม่ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรจึงจะพัฒนาปรับโฉมคฤหาสน์เฟิงหัวได้สมบูรณ์เต็มร้อย
หลังจากเดินชมทั่วทั้งชั้นแรกของหอสมบัติ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าขึ้นไปบนชั้นที่สอง
ชั้นที่สองของหอสมบัติเต็มไปด้วยโอสถและอุปกรณ์อาวุธระดับสูงซึ่งสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ได้มาก อย่างไรก็ตาม เดิมทีฉินอวี้โม่ก็เป็นช่างหลอมที่ทรงพลังซึ่งสามารถหลอมสิ่งที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเท่าใดนัก
หลังจากพูดคุยกับอวิ๋นซื่อเทียน นางก็มุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นที่สามเพียงคนเดียว
ชั้นแรกและชั้นที่สองของหอคอยมีศิษย์อยู่ไม่มากนัก ทว่าฉินอวี้โม่ก็ได้พบใบหน้าที่คุ้นตามากมายทันทีที่ขึ้นไปบนชั้นที่สาม
ชั้นที่สามของหอคอยคือพื้นที่สำหรับทักษะยุทธ์สำคัญของนิกายหมื่นบุปผา รวมถึงทักษะวิชาระดับสูงและวิชาจากที่อื่น ๆ เพราะเหตุนั้น ชั้นนี้จึงเป็นจุดหมายที่ศิษย์ส่วนใหญ่ให้ความสนใจ
ท่ามกลางคนเหล่านี้ ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นเหมยเซียงและจู๋เซียงที่อยู่ไม่ไกลออกไป ในวันนี้ทั้งสองก็เข้ามาที่หอสมบัติเช่นกันและกำลังอ่านศึกษาตำราต่าง ๆ อยู่
ฉินอวี้โม่จึงไม่คิดที่จะเข้าไปรบกวนทั้งสองและเพียงหันไปเดินชมรอบ ๆ ต่อไป
ภายในชั้นที่สามมีชั้นตำรามากกว่าสิบชั้นและตำราทั้งหมดจะถูกจัดหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน
ฉินอวี้โม่มองเห็นทักษะยุทธ์ระดับสูงและทักษะวิชาพิเศษเป็นจำนวนมาก ต่อให้มีพรสวรรค์ในระดับธรรมดาทั่วไป คนธรรมดาก็สามารถพัฒนากลายเป็นจอมยุทธ์ระดับสองของดินแดนได้ตราบใดที่ฝึกฝนทักษะวิชาเหล่านั้นจนชำนาญ
ทักษะวิชาที่สำคัญที่สุดของนิกายหมื่นบุปผาคือทักษะยุทธ์ที่ถูกคิดค้นโดยจ้าวนิกายคนแรกซึ่งก่อตั้งนิกายหมื่นบุปผาขึ้นมาและเป็นทักษะวิชาที่เหมาะสำหรับสตรีเป็นที่สุด
สตรีทุกคนที่เรียนรู้ทักษะวิชาดังกล่าวจะสามารถพัฒนาทั้งสมรรถภาพทางร่างกายและเพิ่มความเร็วในการฝึกยุทธ์ได้หลายเท่าตัว ทักษะพิเศษนี้คือหนึ่งในสาเหตุที่สตรีหลายคนกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผา
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่สนใจทักษะวิชาเหล่านั้นเท่าใดนัก ตอนนี้นางมีทักษะวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดแล้วและมันเป็นทักษะเฉพาะตัวของนางเอง เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่สนใจที่จะเรียนรู้ทักษะของผู้อื่น
ในทางตรงกันข้าม ฉินอวี้โม่สนใจในตำราเบ็ดเตล็ดที่บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของดินแดนมหาเทพไว้มากกว่า
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าก็มาที่นี่ด้วยรึ ?”
จู๋เซียงผู้ซึ่งกำลังอ่านตำราสังเกตเห็นฉินอวี้โม่และเงยหน้าทักทายพร้อมรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น
“ข้าเห็นว่าศิษย์พี่จู๋เซียงกำลังอ่านตำรา ข้าจึงไม่อยากรบกวนเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวอธิบายเบา ๆ
“ไม่รบกวน ไม่รบกวนเลย ศิษย์น้องอวี้โม่ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้นหรอก”
จู๋เซียงรู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่เป็นอย่างยิ่งและเดินเข้ามาตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อมิให้นางเกรงใจจนเกินไป
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้ากำลังตามหาตำราประเภทใดรึ ? ข้าสามารถแนะนำให้เจ้าได้ ข้าทราบถึงตำแหน่งของตำราแต่ละเล่มในชั้นที่สามค่อนข้างดี เจ้าสนใจในเรื่องใดล่ะ ?”
นางกล่าวเสนอออกไปทันที เดิมทีนางเพิ่งอ่านทักษะยุทธ์เสร็จสิ้นและกำลังจะกลับออกไป ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของฉินอวี้โม่ นางจึงอดเข้าไปทักทายไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอรบกวนศิษย์พี่จู๋เซียงด้วยนะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธข้อเสนอแต่อย่างใด ชั้นที่สามของหอสมบัติมีตำรามากมายจนเกินไป แม้ตำราทั้งหมดจะถูกจัดหมวดหมู่อย่างชัดเจน ทว่าการตามหาสิ่งที่นางต้องการก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
“ข้ากำลังตามหาตำราที่บันทึกสถานการณ์ในดินแดนมหาเทพเจ้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือตำราที่มีข้อมูลแนะนำดินแดนมหาเทพอย่างละเอียด”
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและเปิดเผยจุดประสงค์ออกไปอย่างชัดเจน นางต้องการทราบถึงสถานการณ์ของดินแดนมหาเทพให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อที่จะได้ทราบพิกัดของสิ่งที่ต้องตามหาโดยเร็วที่สุด
“มากับข้าเถอะ”
จู๋เซียงยิ้มและกล่าวทันที นางทราบดีว่าตำราประเภทนั้นอยู่ที่ใดและมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้นพร้อมกับฉินอวี้โม่
ในมุมดังกล่าวมีคนอยู่ไม่มากนัก ศิษย์ส่วนใหญ่ขึ้นมาที่ชั้นที่สามของหอสมบัติเพื่อศึกษาทักษะยุทธ์และวิชาต่าง ๆ โดยไม่สนใจตำราเกี่ยวกับเรื่องราวของดินแดนมหาเทพเท่าใดนัก
เมื่อมาหยุดลงตรงหน้าชั้นตำรา จู๋เซียงก็ชี้ไปที่ตำราหลายสิบเล่มบนนั้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ตำราที่ศิษย์น้องอวี้โม่ตามหาอยู่บนชั้นนี้ ลองเลือกดูได้เลยว่ามีเล่มใดที่สนใจรึไม่ อีกอย่าง…ตราบใดที่นำตำราเหล่านี้ไปแจ้งเรื่องขอยืมกับผู้อาวุโสกู่อวี่และผู้อาวุโสกู่สุ่ย เจ้าก็สามารถนำพวกมันออกไปได้โดยที่ไม่ต้องแลกแต้ม หากศิษย์น้องอวี้โม่สนใจตำราเล่มใดก็สามารถเลือกหยิบออกไปได้เลย”
ตำราเกี่ยวกับรายละเอียดของดินแดนเหล่านี้ไม่ได้รับความสนใจมากนักจึงมีคนยืมออกไปเพียงน้อยนิดและไม่มีใครที่ต้องการใช้แต้มเพื่อแลกมันอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น หอสมบัติจึงกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่าจะสามารถหยิบยืมตำราเหล่านี้ออกไปได้โดยที่ไม่ต้องแลกแต้มและเพียงต้องนำกลับมาคืนให้ตรงเวลาเท่านั้น
“ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีกฎเช่นนี้อยู่ ในเมื่อทราบเช่นนี้แล้วนางก็ไม่ต้องพะวงเรื่องแต้มอีก
“ไม่ต้องสุภาพนักหรอก ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวลงไปก่อน เชิญศิษย์น้องอวี้โม่เลือกดูได้ตามสบาย”
หลังจากกล่าวทิ้งท้าย จู๋เซียงก็หันหลังและมุ่งหน้าออกไปจากหอสมบัติ
ฉินอวี้โม่จึงไล่ดูตำราเหล่านั้นอย่างตั้งมั่นจดจ่อและพบตำราจำนวนหนึ่งที่ระบุข้อมูลของดินแดนมหาเทพไว้อย่างละเอียด
นางเพียงหยิบตำราเหล่านั้นมาถือไว้และไม่คิดเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไปขณะหันหลังกลับและเดินตรงไปยังบันได ทว่าหลังจากก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าว นางก็พบกับเหลียนซวงผู้ซึ่งกำลังจะเดินออกไปเช่นกัน
“โอ้ นี่มันศิษย์น้องอวี้โม่มิใช่รึ !”
เหลียนซวงจงใจกล่าวเสียงดังขณะชำเลืองมองตำราในมือของฉินอวี้โม่และกล่าวเย้ยหยัน “ศิษย์น้องอวี้โม่ยังไม่มีแต้มมากนักจึงทำได้เพียงยืมตำราที่ไม่ต้องใช้แต้มเหล่านี้สินะ”
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ต้องการเสียเวลาสนใจนางและเตรียมเดินลงไป ทว่าถูกเหลียนซวงเดินเข้ามาขวางไว้เสียก่อน
“หากเป็นข้า…ในเมื่อไม่มีแต้มมากพอ ข้าก็คงไม่เสนอหน้ามาที่หอสมบัติหรอก การยืมได้เพียงตำราเก่า ๆ เช่นนี้มีแต่จะทำให้ตัวเองอับอายขายขี้หน้าเปล่า ๆ !”