ก่อนหน้านี้ การที่ถูกฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ยั่วโมโหโดยการเปิดเผยอาการทางร่างกายของนางต่อหน้าทุกคนนั้น ทำให้เหลียนซวงทั้งอับอายและคับแค้นใจอย่างที่สุด
ทว่าเคราะห์ร้ายที่จ้าวนิกายออกคำสั่งอย่างชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ศิษย์ทุกคนทะเลาะเบาะแว้งกันในช่วงนี้
แม้เหลียนซวงต้องการจะจัดการกับฉินอวี้โม่และสหายมากเพียงใด นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฮวาฟางเฟย
อย่างไรก็ตาม การเยาะเย้ยถากถางเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ก็คงจะไม่เป็นปัญหาอะไร
เหลียนซวงสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ในมุมหนึ่งของหอสมบัติก่อนหน้านี้แล้วและเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเลือกหาตำราเกี่ยวกับดินแดนมหาเทพด้วยความสนใจเป็นพิเศษ นางก็นึกเหยียดหยามอยู่ในใจ
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่เลือกหยิบตำราหลายเล่มมาและมีทีท่าว่าต้องการจะศึกษาพวกมันอย่างละเอียด เหลียนซวงก็อดเข้ามาขวางทางและกล่าวเยาะเย้ยถากถางไม่ได้
“ศิษย์พี่เหลียนซวงพูดถูกแล้ว ศิษย์ใหม่อย่างพวกข้าไม่มีแต้มมากนัก ข้าเองก็อยากจะยืมตำราทักษะยุทธ์ระดับสูงพวกนั้นเช่นกัน ศิษย์พี่ให้ข้ายืมแต้มสักหน่อยจะได้รึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างไม่มีทีท่าโกรธเคืองและกล่าวด้วยน้ำเสียงระรื่น
ทว่าเหลียนซวงก็ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้และนั่นทำให้นางชะงักไปเล็กน้อยทันที
“เหอะ แต้มของข้าเรียกได้ว่าสูงสุดในนิกายหมื่นบุปผา น่าเสียดายที่ไม่มีทางที่เจ้าจะได้ยืมมันไป ศิษย์น้องอวี้โม่เอ๋ย…จงตัดใจไปซะเถอะ !”
เหลียนซวงกล่าวพร้อมหยิบป้ายหยกออกมาและเติมพลังลงไปในนั้นก่อนตัวเลขสี่หลักจะปรากฏบนนั้นอย่างชัดเจน
ในฐานะศิษย์หลักของฝั่งขวาผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากฮวาหรงเป็นอย่างมากและมีความแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ในบรรดาศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา เป็นธรรมดาที่เหลียนซวงจะมีแต้มสะสมที่มากกว่าศิษย์คนอื่น ๆ
ด้วยแต้มที่มากถึงหนึ่งพันแปดร้อยแต้ม ไม่แปลกใจเลยที่นางจะมั่นอกมั่นใจมากเช่นนี้
เท่าที่ฉินอวี้โม่ทราบมา แม้สี่ยอดสตรีงามซึ่งเป็นศิษย์พี่ของนางจะสะสมแต้มมาเป็นระยะเวลานาน ทว่าพวกนางก็ยังมีแต้มที่มากกว่าหนึ่งพันแต้มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อมองดูตัวเลขสี่หลักบนป้ายหยก ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่มีแต้มมากจริง ๆ แต่ก็น่าเสียดายที่ให้ข้ายืมไม่ได้”
เมื่อเห็นสีหน้าเสแสร้งทำเป็นเสียดายของฉินอวี้โม่ เหลียนซวงก็สับสนงุนงงยิ่งกว่าเดิมและคาดเดาไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ข้าได้ยินว่าศิษย์ของนิกายสามารถท้าดวลกันได้และผู้ชนะจะได้แต้มครึ่งหนึ่งของผู้แพ้ ไม่ทราบว่าสิ่งนี้เป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เสแสร้งยิ้มหวานและมีความคิดหนึ่งอยู่ในใจแล้ว
“โอ้ อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการที่จะท้าดวลกับข้า !”
เหลียนซวงอดหัวเราะไม่ได้ราวกับต้องการเยาะเย้ยในความมั่นใจจนเกินตัวของฉินอวี้โม่
“ทำไมรึ ? ข้าทำไม่ได้รึ ?”
ฉินอวี้โม่กางมือด้วยท่าทางสับสน ทว่าวางแผนจะทำเช่นนั้นจริง
“แน่นอนว่าทำได้ ข้าเองก็อยากจะสั่งสอนเจ้ามานานแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้ามีแต้มน้อยเกินกว่าที่จะท้าดวลกับข้าได้”
เหลียนซวงเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจออกไปเช่นกัน หากมิใช่เพราะการท้าดวลกับศิษย์ใหม่จะทำให้นางเสียเกียรติและถูกตราหน้าว่ารังแกคนอ่อนแอ นางคงท้าดวลกับฉินอวี้โม่ไปนานแล้ว
ตอนนี้ในเมื่อฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายริเริ่มท้าดวลด้วยตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่นางปรารถนาเป็นทุนเดิม นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธมัน
เหลียนซวงมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าฉินอวี้โม่และสหายจะมิใช่คู่มือของพลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงของนางอย่างแน่นอน
แม้นิกายหมื่นบุปผาจะมีกฎระบุไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามสังหารกันในการดวลตัวต่อตัว ทว่าการที่นางได้มีโอกาสสั่งสอนฉินอวี้โม่อย่างสาสมก็ถือว่ามากเกินพอ
“ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ในเมื่อข้าเป็นฝ่ายท้าดวล ข้าจะหาทางรวบรวมแต้มมาให้มากพอ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวออกไป นางทราบถึงกฎข้อนี้ดีอยู่แล้ว
การท้าดวลของศิษย์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อแต้มของทั้งสองฝ่ายต่างกันเพียงไม่มาก มิฉะนั้น ในกรณีที่ศิษย์ที่มีแต้มเพียงไม่กี่สิบแต้มและท้าดวลกับศิษย์ที่มีมากกว่าพันแต้ม หากเอาชนะได้ มันก็ถือว่าเป็นการร่ำรวยขึ้นมาภายในค่ำคืนเดียว ทว่าหากพ่ายแพ้ นั่นหมายความว่าผู้ชนะจะได้รับเพียงครึ่งหนึ่งของไม่กี่สิบแต้มนั้นและเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมอย่างแท้จริง
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอเวลาที่เจ้าจะมีคุณสมบัติในการท้าดวลข้า !”
เหลียนซวงมองฉินอวี้โม่อย่างวางท่าและเย่อหยิ่งก่อนจะหันหลังและกลับออกไปโดยไม่กวนใจฉินอวี้โม่อีก
ฉินอวี้โม่ก็หันไปยิ้มให้กับศิษย์พี่คนอื่น ๆ ที่ชมเรื่องน่าตื่นเต้นอยู่รอบ ๆ ก่อนกลับลงไปชั้นล่างเช่นกัน
“แม่เจ้า ! ศิษย์น้องอวี้โม่จะท้าดวลกับศิษย์พี่เหลียนซวงรึนี่ ? นี่ข้าหูฝาดไปรึไม่ ?”
ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายเดินจากไป เสียงอุทานอื้ออึงด้วยความตื่นเต้นก็ดังขึ้นทั่วทั้งชั้นที่สามของหอสมบัติ
และภายในเวลาเพียงไม่นาน เรื่องที่ฉินอวี้โม่ต้องการที่จะท้าดวลเหลียนซวงก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งนิกายหมื่นบุปผา
บนชั้นที่สองของหอสมบัติ อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ยังไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พวกนางสำรวจไปรอบ ๆ อยู่พักใหญ่ก่อนกลับลงไปพบกับฉินอวี้โม่และฮวาเยว่ จากนั้นทุกคนก็มุ่งหน้าออกจากหอสมบัติของนิกายหมื่นบุปผาไปด้วยกัน
“ไปหาศิษย์พี่เหมยเซียงกันก่อนเถอะ”
ฮวาเยว่แยกตัวกลับไปที่เรือนของตนในขณะที่ฉินอวี้โม่และสหายมุ่งหน้าไปยังเรือนที่พักของเหมยเซียง
สี่ยอดสตรีงาม ไม่ว่าจะเป็นเหมยเซียง หลานเซียง จู๋เซียงและจวี๋เซียงต่างก็พักอยู่ในเรือนเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีศิษย์ฝั่งซ้ายนับสิบคนที่พักอาศัยอยู่ในเรือนดังกล่าวด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และสหายเดินเข้ามาในเรือน เหมยเซียงก็ก้าวออกไปข้างหน้าและจับมือฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล “ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าคิดจะท้าดวลกับเหลียนซวงจริง ๆ รึ ?”
พวกนางได้ทราบข่าวมาแล้วและกำลังจะไปหาฉินอวี้โม่เพื่อถามความให้แน่ชัด ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะมาหาพวกตนด้วยตัวเองเช่นนี้
“เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ หอสมบัติมีหลายสิ่งที่ข้าต้องการและคงต้องใช้เวลานานกว่าที่จะสะสมแต้มได้มากพอ ในเมื่อเหลียนซวงมีแต้มมากนัก ตราบใดที่ข้าเอาชนะนาง ข้าก็จะได้แต้มครึ่งหนึ่งของนางโดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงใด ๆ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและยอมรับโดยตรง น้ำเสียงของนางในตอนนี้แสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“อวี้โม่ เจ้าจะท้าดวลกับเหลียนซวงงั้นรึ ? เหตุใดพวกเราถึงไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยล่ะ ?”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวด้วยสีหน้าตกใจทันที พวกนางยังไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ในเมื่อมีเรื่องที่น่าสนุกเช่นนี้ เหตุใดอวี้โม่ถึงไม่บอกพวกเราก่อน ?
“เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไปและข้าก็ยังไม่ได้ท้าดวลอย่างเป็นทางการ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขณะสายตามองไปที่บรรดาศิษย์พี่ตรงหน้า “บังเอิญว่าศิษย์พี่ทั้งสี่ก็อยู่ที่นี่พอดี ไม่ทราบว่าทุกท่านจะให้ข้ายืมแต้มก่อนได้รึไม่เจ้าคะ ? เมื่อเอาชนะได้สำเร็จ ข้าจะคืนแต้มให้ทุกท่านทันที”
แต้มของศิษย์แต่ละคนสามารถถ่ายโอนและให้ยืมกันได้ เพียงแต่หากไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีมากพอ คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางให้ผู้ใดยืมแต้มได้ง่าย ๆ
เหลียนซวงมีแต้มมากถึงหนึ่งพันแปดร้อยแต้ม ทว่าในตอนนี้ฉินอวี้โม่มีเพียงสามสิบแต้มเท่านั้น นั่นหมายความว่านางต้องรวบรวมแต้มมาอีกมากถึงประมาณหนึ่งพันเจ็ดร้อยแต้มจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะท้าดวลได้ ด้วยการที่ฉินอวี้โม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสี่ยอดสตรีงาม นางจึงมาที่นี่เพื่อยืมแต้มของคนเหล่านี้ก่อน
“อวี้โม่ การที่จะยืมแต้มมิใช่ปัญหา ต่อให้เจ้าแพ้และเราต้องเสียแต้มไป เราก็ไม่สนใจหรอก เพียงแต่…เจ้าต้องคิดไตร่ตรองให้ดี เจ้าเคยมีเรื่องบาดหมางกับเหลียนซวงก่อนหน้านี้และนางก็พยายามหาโอกาสเอาคืนเจ้ามาตลอด การท้าดวลนางเช่นนี้ก็มีแต่จะทำให้นางมีโอกาสนั้น ในการต่อสู้ประชันฝีมือ นางจะไม่มีทางยั้งมืออย่างแน่นอน”
เหมยเซียงผู้ซึ่งสงบนิ่งและใจเย็นที่สุดขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
นางและคนอื่น ๆ ไม่กังวลว่าจะต้องสูญเสียแต้มไปด้วยซ้ำ พวกนางเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของฉินอวี้โม่เท่านั้น เหลียนซวงจะใช้โอกาสนี้ในการมอบบทเรียนที่แสนเจ็บปวดให้กับฉินอวี้โม่เป็นแน่ แม้ไม่สามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ เหลียนซวงก็จะหาทางทำให้ฉินอวี้โม่บาดเจ็บมากที่สุดอย่างแน่นอน
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป ไม่จำเป็นต้องรีบท้าดวลนางหรอก ข้าว่าเจ้าฝึกฝนต่อไปสักระยะและค่อยท้าดวลนางในตอนที่มั่นใจกว่านี้เถอะนะ”
จู๋เซียงอดกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลไม่ได้เช่นกัน
ในหมู่พวกนาง ไม่มีผู้ใดที่ทราบถึงพลังในการต่อสู้ที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ พวกนางรู้สึกเพียงว่าฉินอวี้โม่ยังมิใช่คู่มือของเหลียนซวงในตอนนี้
ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของเหลียนซวงก็เหนือชั้นกว่าพวกนางด้วยซ้ำ…
“ศิษย์พี่ทั้งหลายให้อวี้โม่ยืมแต้มเถอะเจ้าค่ะ แม้เหลียนซวงจะแข็งแกร่งมาก แต่อวี้โม่ก็ไม่เคยตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่ไม่มั่นใจ”
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะได้โอกาสกล่าวสิ่งใด อวิ๋นซื่อเทียนก็อดกล่าวบางอย่างออกไปไม่ได้