ตอนที่ 2323 ไขกระดูกทองคำ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หลังจากที่ชายคนนั้นพูดประโยคนั้นจบ ร่างทั้งร่างของเขาเหมือนหลุดจากภวังค์ ใบหน้าซีดเผือด แววตามีแต่ความตกใจ

“โอ้ ที่แท้ก็เป็นสหายกากๆ จากเผ่าศิลาดักแด้นี่เอง หรือว่าสหายตกหลุมรักข้าน้อยแล้ว เช่นนั้นรอให้งานประมูลจบลงแล้วพวกเขามาอยู่ด้วยกันสักวันสองวัน ดีหรือไม่ ไม่แน่ว่ามันอาจจะทำให้สหายสมความปรารถนาได้” สาวงามผู้นั้นกวาดสายตามองใบหน้าของชายวัยกลางคน และยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่แสดงให้เห็นพลังแห่งความเย้ายวนที่ไม่รู้จบ แต่แววตาของนางกลับเย็นเยียบ “แม่นางหูล้อเล่นแล้ว ข้าเพียงพูดเล่นไปเท่านั้น จะกล้าคิดเกินเลยกับนางฟ้าเช่นท่านได้อย่างไร” เมื่อมองรอยยิ้มของสาวงาม ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างฝืนใจ เขารีบกลับที่นั่งเดิมของตนเองด้วยท่าทีเรียบร้อยอย่างมาก

“พูดเล่น! ในเมื่อสหายท่านนี้ไม่ได้อยากเป็นคู่ชีวิตของข้าน้อยจริงๆ แล้วล่ะก็ ทางที่ดีควรจะระวังคำพูดให้มากกว่านี้ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไปก่อน แต่ถ้าหากมีการพูดเล่นครั้งหน้าแล้วล่ะก็ อย่าหาว่าข้าน้อยโหดเหี้ยมเลยนะเจ้าคะ” รอยยิ้มบนใบหน้างามหายไปทันที ท่าทางดูเย็นชาอย่างมาก

ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ดูไม่ได้มากขึ้น แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปแม้เพียงครึ่งคำ

ผู้คนในงานประมูลในเหตุการณ์นี้ทั้งหมด ทุกคนต่างรู้สึกใจสั่นอย่างมาก และไม่กล้าใช้สายตาจาบจ้วงหูอวี้ซวงอีกแล้ว

“เอาล่ะ สาวน้อย ตอนนี้ก็เสียเวลาไปมากแล้ว ที่ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาชมพวกเจ้าหาเรื่องกัน รีบนำของประมูลออกมาเถอะ” จู่ๆ ก็มีเสียงแหบพร่าของชายชราดังออกมาจากห้องสีเงินที่ลอยอยู่บนฟ้า น้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

“เจ้าค่ะ เป็นข้าน้อยที่เสียมารยาทไป จะรีบนำของประมูลชิ้นแรกออกมาเดี๋ยวนี้” เมื่อหูอวี้ซวงได้ยินดังนั้น ก็ชะงักไป พร้อมโค้งคำนับ

จากนั้นนางก็ใช้มือข้างหนึ่งร่ายคาถา

ทันทีที่ร่ายเสร็จ ก็มีเสียงดังขึ้นพร้อมวงแหวนแสงที่สว่างขึ้น ทันใดนั้นด้านหน้าของนางก็มีโต๊ะตัวยาวที่ทำจากหยกสีใสปรากฏขึ้นมา

บนโต๊ะมีกล่องไม้สามกล่อง ขนาดไม่เท่ากัน วางเรียงกันอยู่เป็นแนวนอน

“ของประมูลชิ้นแรกนั้นไม่ได้มาจากแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน อีกทั้งกลุ่มพันธมิตรของพวกเราก็ทุ่มเทแรงกายในการเสาะหามันอย่างมาก มันคือ ไขกระดูกของสิงโตสายฟ้าทองคำหนึ่งขวด” ระหว่างที่นางกำลังพูดอยู่นางก็ใช้นิ้วชี้แตะไปที่ม่านแสง จากนั้นก็ยกกล่องไม้กล่องหนึ่งมาวางไว้บนฝ่ามือ

“ไขกระดูกของสิงโตสายฟ้าทองคำ?”

“จริงหรือของปลอมเนี่ย แม้ว่าจะยังไม่เคยไปแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำรามมาก่อน แต่ข้าก็เคยได้ยินชื่อของสิงโตสายฟ้านี่มาไม่น้อย”

“งานประมูลครั้งนี้น่าจะจัดอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ เพียงของชิ้นแรก ก็เป็นของที่น่าตกใจขนาดนี้แล้ว”

…ผู้ที่เข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้มาจากหลายชนเผ่า เมื่อได้ยินว่าพิธีกรคนงามพูดเช่นนั้น ก็เกิดเสียงจ้อกแจ้กพูดคุยกันดังขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่จ้องมองเข้าไปในห้องไม้บนฝ่ามือของนางทันที

หญิงงามผู้นั้นยิ้มเล็กน้อย นางใช้มือข้างหนึ่งเคาะกล่องไม้เบาๆ “แกร๊ก” เสียงฝาเปิดขึ้นทันที ด้านในมีขวดสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามือ ด้านนอกมีอักษรรูนสีเงินจางๆ อยู่รอบๆ ตัวมัน และเปล่งแสงจิตวิญญาณอ่อนๆ ขึ้นมา

“สิงโตสายฟ้าสีทอง เป็นหนึ่งในสามอสูรศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำราม เมื่ออยู่ในวัยโตเต็มวัยฝีมือของมันเทียบเท่าได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธี ตอนแรกเกิดก็สามารถควบคุมสายฟ้าได้โดยธรรมชาติ หากนำไขกระดูกธาตุสายฟ้ามาหลอมเป็นโอสถ ผู้ที่ทานโอสถนั้นเข้าไปจะทำให้ร่างกายต้านทานสายฟ้าได้ชั่วคราว แต่การหลอมโอสถไขกระดูกนั้นไม่ง่าย ในเมื่อมีไขกระดูกทองคำหนึ่งขวดเต็มๆ ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะหลอมสำเร็จ แต่หากหลอมออกมาได้จริงๆ คนที่กำลังจะประสบเคราะห์สวรรค์นั้น ข้าน้อยไม่พูดอะไร พวกท่านน่าจะรู้ดี” สาวงามผู้นั้นถือขวดแก้วนั้นไว้ในมือข้างเดียว พร้อมอธิบายสรรพคุณ จากนั้นนางก็ใช้นิ้วชี้แตะไปที่ความว่างเปล่ากลางอากาศสองสามครั้ง ทันใดนั้นลำแสงวิญญาณก็กระจายออกมา พร้อมกับอักษรรูนสีทอง อักษรพวกนั้นค่อยๆ ลอยเข้าไปในยันต์สีเงินอ่อนที่แปะอยู่ที่หน้าขวดโอสถ

เมื่ออักษรทั้งหมดเข้าไปในยันต์เสร็จแล้ว ยันต์แผ่นนั้นก็สั่นกึกๆ และเด้งออกจากขวดโอสถนั้น

พร้อมกับเสียงระเบิดดัง “ตู้ม”

เมื่อยันต์หลุดออกไป สายฟ้าสีม่วงหลายสายก็โผล่ออกมาจากขวดโอสถใบนั้น หลังจากที่มันรวมตัวกันก็กลายเป็นตาข่ายสายฟ้า

ชนต่างเผ่าบางส่วนที่ได้เห็นดังนั้นก็ส่งเสียงแปลกใจออกมา

สายตาของคนบางส่วนก็เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้น

ขนาดขวดที่บรรจุไขกระดูกสิงโตสายฟ้าทองคำตัวนี้ยังไม่เปิดออก ยังมีพลังมากมายขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ามันสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการหลอมโอสถต้านสายฟ้าได้จริง

ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการประมูลครั้งจึงมีเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไป

แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีที่อยู่ในห้องสีเงินอ่อนก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเช่นกัน

“คิดไม่ถึงว่าทันทีเริ่มงานประมูล กลุ่มพันธมิตรก็นำของล้ำค่าขนาดนี้มาประมูลแล้ว ในเมื่อเป็นของที่สามารถต้านทานอัสนีได้ ผู้อาวุโสจะร่วมประมูลด้วยหรือไม่เจ้าคะ” แววตาของเซวี่ยพั่วมีประกายวิบวับคล้ายเจอของที่ถูกใจ จึงหันไปถามกับหานลี่

“โอสถไขกระดูก แม้ว่าจะลึกลับและสามารถทำให้ร่างกายต้านทานสายฟ้าได้ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานแล้ว ก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ ส่วนตัวข้านั้นไม่เหมือนกับคนระดับมหาเมธีธรรมดา ร่างกายของข้าเคยฝึกวิชากระดูกวิญญาณแท้บรรพกาลมาแล้ว หากเอามันมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย” สีหน้าของหานลี่ราบเรียบ อธิบายด้วยน้ำเสียงสบายๆ และดูเหมือนจะไม่สนใจของชิ้นนี้จริงๆ

“อย่างนี้นี่เอง สำหรับมหาเมธีแล้วโอสถไขกระดูกนี้ไม่จำเป็นเลยสินะเจ้าคะ หากเป็นเช่นนั้นเหมือนว่าข้าน้อยยังจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง” เมื่อเซวี่ยพั่วได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มดีใจ

“อ่า สหายชอบของชิ้นนี้หรือ” หานลี่ถามกลับ

“ทำให้ผู้อาวุโสต้องขบขันแล้ว แม้ว่าข้าน้อยจะยังไม่รู้ตำแหน่งที่ชัดเจนของร่างหลัก และยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ในช่วงหลายปีนี้ระดับของข้าน้อยคงไม่มีความก้าวหน้า และคงไม่มีทางที่จะไปรวบรวมของวิเศษมาต้านทานทัณฑ์สวรรค์ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าน้อยจึงต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนจะดี” เซวี่ยพั่วหัวเราะอย่างขมขื่น

“ในเมื่อสหายชอบของชิ้นนี้ ก็ไปประมูลให้ได้เถอะ หากมีศิลาวิญญาณไม่พอ ข้าน้อยแซ่หานจะให้เจ้ายืมแน่นอน” หานลี่พูดเสียงเรียบ

“ผู้น้อยขอขอบคุณผู้อาวุโส” เมื่อเซวี่ยพั่วได้ยินดังนั้นก็ดีใจอย่างมาก

หานลี่ยิ้มน้อยๆ สายตาก็หันกลับไปมองกลางเวทีของงานประมูลอีกครั้ง

ตอนนั้นเองสาวงามผู้นั้น จับขวดโอสถด้วยนิ้วทั้งหาอย่างมั่นเหมาะ พร้อมเทของในขวดออกมา

“ซ่า” เสียงดังขึ้นมา ของเหลวสีทองไหลออกมาอย่างลึกลับ เมื่อมันสัมผัสกับอากาศด้านนอก มันก็กลายเป็นลูกบอลแสงสายฟ้าสีทองทันที

ขนาดเท่ากับหัวมนุษย์ ส่งเสียงแผดร้องดังลั่น เมื่อเห็นดังนั้นผู้คนที่ยังสงสัยในตัวของไขกระดูกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ก็วางใจลงได้ พวกเขาต่างครุ่นคิดว่าไม่ว่าจะต้องใช้ศิลาวิญญาณเท่าไหร่ก็จะประมูลมันมาให้ได้

เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เข้าร่วมประมูลทุกคน แววตาของหูอวี้ซวงเปล่งประกายขึ้น หลังจากที่นางหัวเราะเบาๆ นางก็เขย่าขวดโอสถเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีรัศมีแสงสีเงินปรากฏขึ้น จากนั้นก็ดูดลูกบอลสายฟ้าสีทองกลับเข้าไปในขวด พร้อมพูดอย่างเคร่งเครียดว่า

“ไขกระดูกสิงโตสายฟ้าทองคำขวดนี้ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สิบล้านศิลาวิญญาณ ใช้ศิลาวิญญาณชั้นดีเท่านั้น เริ่มการประมูลได้”

ทันทีที่นางพูดจบ นางก็สะบัดแขนเสื้อลง พร้อมเสียงประกอบดังขึ้น ลำแสงห้าสีส่องขึ้นฟ้า ควบแน่นอยู่กลางอากาศเป็นภาพมายาขนาดใหญ่

ม่านแสงนั้นใสราวกับกระจก ด้านบนของมันมีภาพเหมือนของขวดโอสถสีม่วงฉายอยู่

“ยี่สิบล้าน”

จู่ๆ ก็มีเสียงประมูลดังขึ้นจากส่วนหนึ่งของงาน ทันทีที่เริ่มต้นราคาของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ทำให้คนที่เข้าร่วมงานตกใจกันไม่น้อย

ด้านข้างของรูปภาพเหมือนขวดโอสถสีม่วง ก็มีตัวอักษรคำว่ายี่สิบล้านปรากฏขึ้น ด้านข้างของตัวเลขนั้นก็มีสัญลักษณ์กลมๆ กำกับอยู่ด้านข้าง เป็นการบอกว่านี่เป็นการประมูลมาจากใคร

“ยี่สิบเอ็ดล้าน”

“ยี่สิบสามล้าน”

การประมูลต่อราคาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จำนวนเลขของหน้าจอการประมูลก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาของการประมูลก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ทะลุสามสิบล้าน สามสิบห้าล้าน ในที่สุดราคาก็หยุดชั่วคราวที่สี่สิบล้าน

ด้วยราคาที่สูงเช่นนี้ แต่สามารถหลอมโอสถได้อย่างเดียว และยังไม่รับประกันความสำเร็จในการหลอม ก็ถือว่าเป็นราคาที่แพงมาก

แม้ว่าคนที่เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้จะมีแต่คนร่ำรวยทั้งนั้น แต่ก็รู้สึกว่ามันแพงเกินไปอยู่ดี เริ่มคิดกันแล้วว่าพวกเขาต้องการของสิ่งนี้จริงๆ หรือไม่

“สี่สิบห้าล้าน”

เสียงดังเอือยๆ ของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

ราคาประมูลของปรากฏที่ม่านแสงแล้ว ตัวอักษรเป็นสีทอง ส่วนราคาที่เสนอครั้งก่อนก็เปลี่ยนสีเป็นสีทองแดง

อีกทั้งเสียงร่วมประมูลของคนผู้นั้นดังมาจากห้องสีเงินที่อยู่บนท้องฟ้า แสดงว่ามหาเมธีคนหนึ่งออกโรงแล้ว

เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของคนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมงานก็เปลี่ยนไป จะไปแย่งของกับระดับมหาเมธี พวกเขาที่อยู่ระดับหลอมสูญก็ไม่มีความหมายขนาดนั้น

“สี่สิบหกล้าน”

หลังจากลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็มีคนเสนอราคาแข่งกับเขาแล้ว

“สี่สิบเจ็ดล้าน”

ตัวเลขบนม่านแสงเปลี่ยนไปอีกครั้ง คนที่เสนอราคาในครั้งนี้ก็เป็นมหาเมธีเหมือนกัน

ในครั้งนี้ ผู้คนที่เข้าร่วมงานต่างเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าเสนอราคาอีกแล้ว “ในเมื่อสหายต้องการของชิ้นนี้ ข้าน้อยก็ไม่มีคำโต้แย้ง” หลังจากที่เขาเสนอราคาแล้ว เสียงของมหาเมธีคนหนึ่งพูดขึ้นอย่านุ่มนวล แยกไม่ออกว่านี่คือเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่หลังจากที่เขาเสนอราคาครั้งนี้เขาก็ยอมแพ้

“ขอบคุณสหายท่านนี้มากที่ถอยให้” มหาเมธีคนแรกพูดขอบคุณด้วยความจริงใจ

ในตอนนั้นเอง มีเสียงไพเราะเสนาะหูกล่าวขึ้นมาว่า “สามสิบแปดล้าน” เสียงนั้นดังขึ้นมาจากห้องสีเงินหลังที่สาม

ในตอนนั้นเองชนต่างเผ่าที่อยู่งานประมูลก็ต่างตกตะลึง แม้แต่ห้องสีเงินห้องที่หนึ่งยังเงียบไป หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนเสนอว่า “สี่สิบล้าน” อีกครั้ง

“สี่สิบเอ็ดล้าน”

ห้องสีเงินกลางอากาศนั้น เป็นเซวี่ยพั่วที่ถือแผ่นกลมๆ อยู่ พร้อมใช้นิ้วปัดแผ่นนั้นอยู่อย่างเคร่งขรึม

หานลี่เอนกายบนเก้าอี้ พร้อมยิ้มน้อยๆ

“สี่สิบสองล้าน ไขกระดูกทองคำนี้มีประโยชน์ต่อข้าน้อยมาก หากสหายยอมหลีกทางให้ล่ะก็ ข้าจะมอบของตอบแทนภายหลัง” ในที่สุดมหาเมธีคนแรกที่เสนอราคาก็นั่งไม่ติด หลังจากที่เสนอราคาแล้ว ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล