คืออวิ๋นจิ่น
ยังมีอู๋จุนและตงหลิงหวงอยู่ด้านหลังของเขาอีกด้วย
ซูจิ่นซีรีบเดินไปหาอวิ๋นจิ่น “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
ก้อนหินริมแม่น้ำมีจำนวนมาก ขณะที่ซูจิ่นซีเดินจึงเดินไม่ค่อยมั่นคง อาจล้มได้ตลอดเวลา อวิ๋นจิ่นรีบเดินมาทางซูจิ่นซีสองก้าว
“พระชายา โปรดถนอมพระวรกาย”
“แม่นางพิษน้อย พี่จุนอยู่ที่นี่ด้วย! ” อู๋จุนเดินเข้าไปหาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง! ” ตงหลิงหวงคำนับซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
“พวกเจ้าอยู่มาที่นี่ได้อย่างไร? พบอันตรายหรือไม่? ”
“ตอนที่ลงมาจากแท่นจิ่วโยว พวกเราก็มาอยู่ที่นี่แล้ว! ” อู๋จุนกล่าว
อวิ๋นจิ่นพูดว่า “ท่านอ๋องและพระชายา พบเรื่องอันใดมาหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีเล่าเรื่องที่พบตั้งแต่ต้นให้ทั้งสามคนฟัง “ตอนที่พวกเราลงมาจากแท่นจิ่วโยว พวกเราเข้าสู่ความทรงจำของเป่ยถังฉินเกอ เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เป่ยถังฉินเกอถูกผลักลงมาในแท่นจิ่วโยว สุดท้ายก็กระโดดจากแท่นจิ่วโยวและมาถึงที่นี่”
อู๋จุนตกใจเมื่อได้ยิน “อันใดกัน? พวกเรามาจากแท่นจิ่วโยวพร้อมกัน ทว่าพวกเจ้ากลับผ่านเรื่องราวมากมายเช่นนี้เชียวหรือ? ”
อู๋จุนแสดงออกไม่ชัดเจนนัก อวิ๋นจิ่นพูดเสริมว่า “พระชายา พวกเราสามคนเพิ่งเหาะลงมา เมื่อเห็นท่านทั้งสองคน พวกเราก็ลงมาจากแท่นจิ่วโยวพร้อมกัน”
สรุปก็คือ ทุกคนลงมาจากแท่นจิ่วโยวพร้อมกัน ระยะเวลาแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ทว่าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาได้เข้าไปในความทรงจำของเป่ยถังฉินเกอ ทั้งยังประสบเรื่องราวหลายอย่าง เป็นช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นหรือ
นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
สีหน้าของซูจิ่นซีดูเคร่งเครียดเล็กน้อย
อวิ๋นจิ่นพูดว่า “ด้านล่างแท่นจิ่วโยวนี้แปลกประหลาดมาก ทุกคนระวังตัวด้วย”
“อืม! ” ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ พยักหน้าพร้อมกัน
ตงหลิงหวงพูดขึ้นว่า “พวกเราลองสังเกตดูรอบๆ สถานที่แห่งนี้ ดูเหมือนไม่ใช่สถานที่คุมขังคนได้เลย และไม่รู้ว่าเป่ยถังฉินเกออยู่ที่ใด? ”
“ใช่! ” ซูจิ่นซีกล่าวว่า “ข้า เยี่ยโยวเหยา และรัชทายาทตงเฉินสามคนอยู่กลุ่มเดียวกัน อวิ๋นจิ่นและอู๋จุน พวกท่านแยกไปอีกกลุ่มหนึ่ง! ”
ตงหลิงหวงพูดว่า “โยวอ๋องดูแลพระชายาโยวอ๋อง ส่วนข้า หมอหลวงอวิ๋น และเจ้าหุบเขาอู๋สามารถแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ใช้วิธีนี้จะสามารถหาได้เร็วยิ่งขึ้น”
ซูจิ่นซีพลันขมวดคิ้ว
ทำเหมือนนางเป็นผู้ป่วยอีกแล้ว
นางเพียงตั้งครรภ์ ไม่ได้ถูกทำลายวรยุทธ์กระมัง?
ดูเหมือนอวิ๋นจิ่นจะมองสิ่งที่ซูจิ่นซีคิดอยู่ในใจออก จึงพูดว่า “กระหม่อมและคนอื่นๆ ต่างเป็นห่วงพระวรกายของพระชายา แม้วรยุทธ์ของพระชายาจะแข็งแกร่ง อย่างไรเสีย ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาพิเศษ”
เอาเถิด!
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าในสถานการณ์นี้ แม้ตนเองจะต่อต้านอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ จึงไม่ดื้อดึง
จากนั้น ทุกคนก็เตรียมพร้อมแยกกันออกไปตามหา ทว่าเพียงหันหลังกลับ ยังไม่ทันเดินไปไกลนัก ทันใดนั้น เสียงหวีดแหลมก็ดังอยู่ข้างใบหู ผสมกับเสียงลมและฝน
หูของซูจิ่นซีไวต่อเสียงอย่างมาก นางจำได้ทันทีว่าเสียงนั้นมาจากแม่น้ำที่อยู่ด้านข้าง จึงรีบหันไปทางแม่น้ำอย่างรวดเร็ว
เพียงชำเลืองมองครั้งเดียว ยังไม่ทันเห็นชัดเจน จู่ๆ แขนของนางก็ถูกรั้งเอาไว้ จากนั้น เยี่ยโยวเหยาก็อุ้มนางและเหาะขึ้นไปในจุดที่ไกลออกไป
ในเวลาเดียวกัน เสียงของอวิ๋นจิ่นและอู๋จุนก็ดังเข้ามาในหูของนาง
“พระชายา ระวังตัวด้วย! ”
“แม่นางพิษน้อย ระวังตัวด้วย! ”
ขณะที่อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็หันกลับมาและมองไปทางด้านหลังอีกครั้ง
นางเห็นเพียงแม่น้ำที่เกรี้ยวกราดราวกับคลื่นในมหาสมุทร มันม้วนตัวขึ้นบนท้องฟ้า จากนั้นก็โจมตีพวกเขาด้วยพลังที่เดือดพล่าน คลื่นสูงมากจนแทบจะเชื่อมกับท้องฟ้า
ท่ามกลางคลื่นน้ำ ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด ทว่าส่องสว่างเป็นพิเศษ ราวกับดวงจันทร์ขนาดใหญ่สองดวงที่เปล่งประกายตลอดเวลา
ไม่ว่าซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และคนอื่นๆ จะหนีไปไกลเพียงใด ดูเหมือนคลื่นน้ำนั้นจะถูกควบคุมโดยบางสิ่งและโจมตีมาที่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางเกลียวคลื่นโหมกระหน่ำดั่งสายฝน ในไม่ช้า เสื้อผ้าของซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ก็เปียกโชก
ทันใดนั้น อู๋จุน อวิ๋นจิ่น และตงหลิงหวงก็มายืนอยู่ด้านหลังของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
อู๋จุนพูดเสียงดัง “เยี่ยโยวเหยา เจ้ารีบพาแม่นางพิษน้อยไป พวกเราทั้งสามคนจะรับมือให้เจ้าเอง”
ทันทีที่พูดจบ คลื่นน้ำก็พัดมาอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว อวิ๋นจิ่น ตงหลิงหวง และอู๋จุน ทั้งสามคนต่างหยิบอาวุธของตนเองและเหาะขึ้นไปขัดขวางคลื่นที่โหมกระหน่ำ
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ถูกกดดันด้วยระยะที่กระชั้นชิด เขารีบพาซูจิ่นซีเหาะลงบนพื้น ก่อนจะหันกลับไปข้างหลัง มองอู๋จุน อวิ๋นจิ่น และตงหลิงหวงที่ต่างก็ใช้อาวุธของแต่ละคนซึ่งเปล่งประกายดั่งแสงจันทร์ต่อต้านคลื่นน้ำนั้น
ทว่าไม่มีประโยชน์อันใด ไม่นานพวกเขาก็ถูกคลื่นน้ำล้อมไว้
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างหนัก นางพยายามช่วยอวิ๋นจิ่นและคนอื่น ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาห้ามไว้
“ข้าไปเอง! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดจบก็เรียกกระบี่เสวียนหยวนออกมา ก่อนจะกระโดดขึ้นโจมตีคลื่นน้ำนั้น
ทว่าเพียงชั่วพริบตา เยี่ยโยวเหยาก็ถูกคลื่นน้ำกลืนกินไปเช่นกัน
ซูจิ่นซีตกใจไปชั่วขณะ นางชักกระบี่ยาวออกมาและโจมตีไปทางคลื่นน้ำ
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็จมอยู่ใต้คลื่นน้ำ
คลื่นน้ำระลอกใหญ่ถาโถมใส่ร่างของซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง ร่างของนางไม่อาจรักษาสมดุลได้ ทว่านางยังคงปกป้องท้องของตนเอง แม้ความเจ็บปวดที่รุนแรงจะกระทบแผ่นหลังและหัวไหล่ ทว่านางกลับไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย
ในขณะที่ซูจิ่นซีรู้สึกว่าตนเองไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไปและกำลังจะจมน้ำ แขนของนางก็ถูกคนผู้หนึ่งคว้าไว้ หลังจากนั้น นางก็ถูกโอบกอด ซูจิ่นซีรู้สึกถึงลมหายใจที่คุ้นเคย และรีบหันศีรษะไป “เยี่ยโยวเหยา”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงออกถึงความดื้อรั้นของซูจิ่นซี จากนั้นก็จุมพิตริมฝีปากของซูจิ่นซีแผ่วเบา เพื่อถ่ายลมหายใจจากปากของเขาเข้าไปในปากของซูจิ่นซี
ทั้งสองม้วนตัวในคลื่นน้ำอย่างรวดเร็ว การโจมตีของคลื่นน้ำทำให้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาไม่สามารถลืมตาได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ซูจิ่นซีลืมตาขึ้น เมื่อนางรู้สึกว่าแรงกดดันจากคลื่นรอบตัวลดลงไปเล็กน้อย
หิมะตกหนักรอบบริเวณและกลิ่นหอมสวนเหมย ที่จริงแล้วเป็นสวนตี้เหมยในเมืองเหยาแคว้นหนานหลี ซึ่งเยี่ยโยวเหยามอบให้เป็นชื่อของนาง
ช่วงเวลาที่ไปเยือนสวนตี้เหมยนั้น เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ตอนกลางคืนยามที่ซูจิ่นซีหลับนั้น นางจะฝันถึงสวนตี้เหมยตลอดเวลา
ทว่านางไม่ได้ไปที่นั่นเป็นเวลานานมากแล้ว นางจึงจดจำช่วงวันเวลาเหล่านั้นไม่ค่อยได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาอยู่ในแคว้นเป่ยอี้ เหตุใดจึงมองเห็นสวนตี้เหมยเล่า!
ภาพมิติมายาแรกที่ปรากฏในใจของซูจิ่นซี นางกำลังพยายามพูดบางอย่างกับเยี่ยโยวเหยา ทว่าเมื่อหันหลังกลับไป ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างนาง และไม่มีแม้แต่เงาของเยี่ยโยวเหยา?
จากนั้น เสียงของเด็กน้อยก็ดังมาจากทางเดิน
“เสด็จแม่… ”
จิตใจที่กำลังตกประหม่าของซูจิ่นซีพลันอ่อนระทวย นางรีบมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น และเห็นเด็กอายุหนึ่งหรือสองขวบเศษวิ่งเข้ามาหานางด้วยจังหวะเดินที่ไม่มั่นคงนัก
น่าแปลก ซูจิ่นซีมีความรู้สึกสนิทสนมอย่างยิ่งกับเด็กชายตัวเล็กผู้นั้น นางวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว เด็กชายตัวเล็กกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของซูจิ่นซี
เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นอีกครั้งว่า “เสด็จแม่”
เสด็จแม่?