เล่มที่ 33 เล่มที่ 33 ตอนที่ 966 ความเป็นความตาย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

นิ้วของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อยในขณะที่ลูบแก้มเด็กชายคนนั้น ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความประหลาดใจ

“เจ้า… เจ้าเป็นลูกข้าหรือ? ”

“เสด็จแม่! ” เด็กชายตะโกนอีกครั้ง

ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก และอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนของตนเอง

“ไม่คิดว่าเจ้าจะโตมากขนาดนี้ ปลอดภัยดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว เสด็จแม่เกรงว่าจะไม่สามารถคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย”

“ซีซี… ” ทันใดนั้นก็มีเสียงของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้นจากด้านหลัง

ซูจิ่นซีปล่อยเด็กชายคนนั้นและหันหลังกลับไป นางเห็นเยี่ยโยวเหยายืนอยู่ข้างหน้าตนเอง

ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับแตกต่างไปจากเมื่อครู่เล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ ตอนมาที่สวนตี้เหมยกับเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาสวมเสื้อคลุมสีดำเข้ม ทว่าตอนนี้กลับสวมเสื้อคลุมสีเหลืองทั้งยังปักลวดลายมังกรมงคล

แม้ตอนนี้เยี่ยโยวเหยาจะปกครองแคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋นสองแคว้น ทว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ฮ่องเต้และไม่อาจสวมเสื้อคลุมมังกรได้

นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?

“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ”

ซูจิ่นซีกำลังจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเยี่ยโยวเหยาเดินมาอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซี และประคองซูจิ่นซีมาโอบไว้ในอ้อมแขน

“ซีซี เจิ้น [1] ฝันเรื่องหนึ่ง! ”

“เพคะ? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เป็นความฝันที่ยาวนานมาก ฝันว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปเพื่อลูกของเรา เจิ้นตามหาเจ้าทั่วอาณาจักรเทียนเหอก็หาเจ้าไม่พบ ไม่ว่าที่ใดก็ไม่มีเจ้า”

ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยากำลังกังวลและหวาดกลัวเล็กน้อย นางจึงเอื้อมมือออกไปกอดเยี่ยโยวเหยา

“เยี่ยโยวเหยา ข้าจะทิ้งท่านไปได้อย่างไร? นั่นเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น”

“จริงหรือ? หากทำเพื่อลูกของพวกเรา จำเป็นต้องทิ้งข้าไปด้วยหรือ? ”

ซูจิ่นซีตกตะลึงครู่หนึ่ง ทว่าไม่ได้รีบตอบในทันที

เยี่ยโยวเหยาปล่อยซูจิ่นซี ไม่รู้ว่ามีกระบี่เฟิ่งอวี่ในมือของเขาตั้งแต่เมื่อใด

“เจิ้นต้องการให้เจ้าพิสูจน์ให้เจิ้นเห็นว่า ไม่ว่าเจ้าต้องเผชิญกับสิ่งใดในชีวิต เจ้าจะเลือกเจิ้น และจะไม่ทอดทิ้งเจิ้น”

ซูจิ่นซีไม่อยากจะเชื่อ “ข้าจะพิสูจน์อย่างไร? ”

แววตาเคร่งขรึมเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ ขยับไปที่ร่างของเด็กที่อยู่ข้างหลังซูจิ่นซี จากนั้นไม่นาน เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและโหดเหี้ยมว่า “สังหารเขา! ”

เด็กชายคนนั้นใบหน้าซีดขาวด้วยความตกใจ เขากอดขาของซูจิ่นซีและตะโกนด้วยความหวาดกลัว “เสด็จแม่… ”

ซูจิ่นซียังคงจ้องมองดวงตาของเยี่ยโยวเหยา นางไม่ปฏิเสธและไม่รับกระบี่เฟิ่งอวี่ที่เยี่ยโยวเหยายื่นให้

หลังจากนั้นไม่นาน นางจึงพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา… ”

“ซีซี เจ้าบอกว่าเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเจิ้น เพียงเจ้าพิสูจน์ให้เจิ้นเห็นกับตา เจิ้นจะเชื่อเจ้า! ”

“ตกลง! ”

ซูจิ่นซีรับกระบี่เฟิ่งอวี่จากมือของเยี่ยโยวเหยาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นจึงค่อยๆ ก้มศีรษะลงมองเด็กชายที่กำลังกอดขาตนเอง

เด็กชายคนนั้นสบตาของซูจิ่นซีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว ทันใดนั้น เขาก็ปล่อยขาของซูจิ่นซีแล้วถอยหลังกลับสองก้าว

“อย่า… เสด็จแม่ อย่าสังหารลูก อย่า… ” เขาพูดพลางสะดุดล้มลงกับพื้น

ซูจิ่นซีถือกระบี่ยาวในมือค่อย ๆ ชี้ไปที่เด็กชายคนนั้น

ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในดวงตาของเด็กคนนั้นเข้มข้นมากขึ้น เขาร้องไห้น้ำตาไหลพรากดั่งสายฝน

ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า จู่ๆ ซูจิ่นซีก็หันกระบี่แทงไปที่หัวใจของเยี่ยโยวเหยา

ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขาเหลือบมองกระบี่สีขาวที่แทงตรงหน้าอกของตนเอง และค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองซูจิ่นซี

“เพราะเหตุใด? ”

ดวงตาของซูจิ่นซีเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวด ทว่ามีความดื้อรั้นและเย็นชามากขึ้น

“เพราะว่านี่เป็นภาพมิติมายา เจ้าไม่ใช่เยี่ยโยวเหยา” ซูจิ่นซีพูดพลางหยุดคิดครู่หนึ่ง และพูดต่ออีกว่า “เสือร้ายไม่กินลูกตนเอง ต่อให้เยี่ยโยวเหยาจะรักข้ามากเพียงใด เขาต้องยอมตายดีกว่าบังคับให้ข้าสังหารลูกของตนเองแน่”

ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ดอกเหมยและสนามหญ้าโดยรอบหายไป

กลับมาอยู่ในวิหารแห่งหนึ่ง

บันไดหยกขาว เสามังกรเหินหาว เหมือนกับพระราชวังฉินกงที่อยู่ในความทรงจำ

“โยวเหยา สังหารสตรีนางนี้! เพียงเจ้าสังหารนาง เสด็จพ่อจะมอบตราราชลัญจกรให้เจ้า”

“ไม่ ซูจิ่นซีเป็นสตรีของลูก ลูกไม่อาจสังหารนางได้! ”

“นางเป็นลูกหลานของสกุลมู่หรง ในตอนนั้นสกุลมู่หรงและสกุลเสวียนหยวนได้สมรู้ร่วมคิดทรยศต่อจักรวรรดิต้าฉินของข้า ทำลายล้างจักรวรรดิต้าฉิน หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว? บุตรสาวของศัตรูคู่ควรเป็นพระชายาของจักรวรรดิต้าฉินของข้าหรือ? โยวเหยา ในปรโลก เจ้าจะเผชิญหน้าบรรพบุรุษอย่างเราได้อย่างไร? ”

“ไม่ เสด็จพ่อ เรื่องนี้ต้องเกิดการเข้าใจผิดอันใดบางอย่างแน่ ลูกจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน! ”

……

มีเสียงคนสองคนกำลังโต้เถียงกันดังมาจากระยะไกล ซูจิ่นซีหันไปยังทิศทางของเสียง นางเห็นเยี่ยโยวเหยาและชายผู้สง่างามในเสื้อคลุมของกษัตริย์

เยี่ยโยวเหยาเรียกชายผู้นั้นว่า “เสด็จพ่อ”

นั่นก็คือฮ่องเต้แห่งจักรวรรดิต้าฉิน

สิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีประหลาดใจยิ่งกว่าคือ สตรีที่ยืนห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก ดูเหมือนกับนางทุกประการ

เมื่อครู่ ขณะอยู่ที่สวนตี้เหมยเป็นภาพมิติมายาของตัวนางเอง หรือว่านี่จะเป็นภาพมิติมายาของเยี่ยโยวเหยา?

“เยี่ยโยวเหยา… ”

ซูจิ่นซีรีบวิ่งไปหาเยี่ยโยวเหยาและเอ่ยเรียกเขา ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับมองไม่เห็นนางแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาเห็นคือสตรีอีกคนหนึ่ง นั่นคือตัวนางในภาพมิติมายา

“โยวเหยา ฟังเสด็จพ่อ สังหารนาง! ” ฮ่องเต้ต้าฉินยื่นกระบี่เสวียนหยวนให้เยี่ยโยวเหยา

“ไม่! ”

เยี่ยโยวเหยาตอบอย่างหนักแน่นและปกป้องซูจิ่นซีที่อยู่ในภาพมิติมายา

“โยวเหยา หรือว่าเพื่อสตรีนางนี้แล้ว เจ้าจะทรยศจักรวรรดิต้าฉิน ทรยศต่อเสด็จพ่อ และทรยศต่อแผ่นดิน? ”

“ไม่! ” เสียงของเยี่ยโยวเหยาหนักแน่นอย่างมาก “ลูกต้องการซูจิ่นซี แผ่นดินนี้ลูกก็ต้องการเช่นกัน! ”

“ดี! ดี! ดี! ” ฮ่องเต้ต้าฉินพูด “ดี” สามคำ ดวงตาโกรธเคืองแทบระเบิดออกมา เขาถือกระบี่เสวียนหยวนแทงซูจิ่นซีในภาพมิติมายา “ในเมื่อเจ้าไม่อาจลงมือได้ เสด็จพ่อจะลงมือแทนเจ้าเอง! ”

“เสด็จพ่อ ไม่! ”

เยี่ยโยวเหยาขวางอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซีในภาพมิติมายา กระบี่ที่ฮ่องเต้ต้าฉินแทงออกไป ทว่าเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเยี่ยโยวเหยานั้นไม่อาจยับยั้งกระบี่ได้ทัน ปลายกระบี่แทงเข้าที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยาอย่างแรง

“เยี่ยโยวเหยา… ”

ดวงตาของซูจิ่นซีเปล่งประกาย นางต้องการช่วยเยี่ยโยวเหยา ทว่ามือที่ยื่นออกมาพยุงเขากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ฮ่องเต้ต้าฉิน เยี่ยโยวเหยา และตนเองในภาพมิติมายาได้สลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยหายไปทันที

จากนั้น ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง นางยังคงอยู่ในกระแสน้ำวนภายในคลื่นน้ำที่ซัดเข้ามา

เยี่ยโยวเหยายังคงอยู่ข้างกายนางและกอดนางแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง

ทว่าดวงตาของเขาปิดสนิท ใบหน้าซีดขาว มีบาดแผลที่หน้าอก เป็นจุดที่ฮ่องเต้ต้าฉินแทงเขาด้วยกระบี่เสวียนหยวนในภาพมิติมายา ซึ่งในตอนนี้มีเลือดไหลออกมา

ภาพมิติมายาควบคุมจิตมารของผู้คน จิตมารในใจของเยี่ยโยวเหยาคือแผ่นดินและซูจิ่นซี วิธีที่จะทำลายภาพมิติมายาคือการละทิ้งจิตมารของตนเอง

ในภาพมิติมายา เยี่ยโยวเหยาไม่ต้องการทำร้ายซูจิ่นซี ทว่ากลับได้รับบาดเจ็บจากจิตมารในใจของตนเอง ตอนนี้อยู่ในส่วนลึกของภาพมิติมายา เกรงว่าเป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย

……

เชิงอรรถ

[1] เจิ้น เป็นคำเรียกตนเองของฮ่องเต้ในยุคสมัยหนึ่งของเมืองจีน