บทที่ 1652 สันดานสุนัขชอบกลับไปกินขี้

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“นั่นก็ยังมีอันตรายอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงยากที่จะคลายความกังวล

“ข้าว่านะฮูหยิน หรือเจ้าคิดว่าข้าเพิ่งจะเผชิญอันตรายหลังจากมาอยู่กับนายท่าน? ตอนที่ข้ายังไม่ได้อยู่กับนายท่าน เจ้าคิดว่าคนที่ไม่มีเส้นสายภูมิหลังอย่างข้าไต่เต้าขึ้นตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการโดยไม่เสี่ยงอันตรายเหรอ? ตอนที่นายท่านยังเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ข้ากับเขาเคยมาปฏิบัติภารกิจด้วยกันที่เขาภูตพเนจร เพื่อให้ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ข้ายังเคยเสี่ยงอันตรายลงมือสังหารนายท่านเลย ดังนั้น ยามปกติพวกเราไม่ใช่คนขี้ขลาดหวาดกลัว แต่บางครั้งก็ต้องดูว่าเสี่ยงอันตรายแล้วคุ้มไหม ตราบใดที่คุ้มค่า อันตรายที่ควรเสี่ยงก็ยังต้องเสี่ยง ถ้าราบรื่นเกินไปก็ขึ้นสู่ตำแหน่งไม่ได้หรอก ในใต้หล้ามีเรื่องดีๆ ที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเสียที่ไหนกัน ต่อให้เจ้าอยู่ที่ตำแหน่งนี้เหมือนเดิมโดยไม่ทำอะไร ข้างล่างก็จะมีคนไม่พอใจที่เจ้าขวางทางเขา แล้วก็ดันจนเจ้าล้มอยู่ดี บางทีอาจจะมีคนถูกใจความสวยของเจ้า พอจัดการข้าแล้วจะได้ครอบครองเจ้าง่ายขึ้นก็ได้ จะให้ทุกอย่างราบรื่นได้ยังไง”

เมื่อเห็นเขาดึงนางมาเกี่ยวด้วย ทั้งยังพูดให้รับไม่ไหวขนาดนั้น “เชอะ!” เสวี่ยหลิงหลงก็อดไม่ได้ที่จะบ่น “ก็ข้าเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่รึไง”

“เหอะๆ เป็นห่วงไปก็ไม่มีประโยชน์!” สวีถังหรานพิงผนังอ่างอาบน้ำ เงยหน้ามองเพดาน แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ตอนที่ยังไม่ได้ติดตามรับใช้นายท่าน ข้าก็เลื่อนตำแหน่งลำบากมาก ทำตัวเป็นคนต่ำทรามไปก็เสียแรงเปล่า แต่หลังจากอยู่กับนายท่านแล้ว ก็เลื่อนตำแหน่งได้ไวเหมือนทะยานขึ้นฟ้า! เจ้าไม่ได้ทำงานอยู่ในตำหนักสวรรค์ เจ้าไม่เข้าใจหรอก พอเคยได้ลิ้มรสชาติหวานอร่อยมาแล้ว ถ้าจะให้ข้าหดหัวโดนคนมองเหยียดอีก ข้าก็ทนรับรสชาตินั้นไม่ไหวหรอก ข้าหันกลับไม่ได้แล้ว สิ่งที่ข้าต้องทำตอนนี้ก็คือ พาเจ้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน เดี๋ยวก็มีสถานการณ์นั้นเดี๋ยวก็มีสถานการณ์นี้ ความสามารถของสวีมีจำกัด ถึงจะมองไม่เข้าใจ แต่ก็มีอยู่จุดหนึ่งที่สวีรู้ดี ว่าด้วยนิสัยอย่างนายท่านน่ะ ในไม่ช้าก็เร็วที่นี่จะต้องกลายเป็นจุดเกิดความขัดแย้ง เจ้าหลบไปก่อนเถอะ”

นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เขาเก็บเกี่ยวได้จากการที่ประจบสอพลออยู่ข้างกายเหมียวอี้มาหลายปี เขาถนัดศึกษาสังเกตความรู้สึกนึกคิดของเหมียวอี้ เกรงว่าคงจะรู้นิสัยเหมียวอี้ลึกกว่าอวิ๋นจือชิวด้วยซ้ำ

“ขนาดเจ้ายังไม่กลัวเลย แล้วข้าจะกลัวอะไรล่ะ ข้าไม่ไป” เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปาก

สวีถังหรานเอียงหน้ามองมา “ไม่ใช่เรื่องนั้น ถ้าอยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ยังคิดหาทางหลบได้ เจ้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้ กลับจะกลายเป็นภาระของข้าด้วยซ้ำ จะเป็นตัวถ่วงข้า ถ้าเจ้าหวังดีกับข้าจริงๆ เจ้าก็ต้องไปก่อน รอให้คลื่นลมนี้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เสวี่ยหลิงหลงเงียบงัน แต่ก็ซบไหล่เขาอย่างเงียบๆ อีก “เจ้าคิดจะให้ข้าไปไหน?”

สวีถังหรานหลับตา พร้อมกล่าวเบาๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไปดูแลหนิวฮูหยินที่จวนอ๋องสวรรค์ก็แล้วกัน อยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์จะต้องปลอดภัยแน่นอน ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับข้าจริงๆ ฮูหยินก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์นะ ในเมื่อขึ้นโต๊ะเดิมพันแล้ว จะแพ้หรือชนะก็ต้องยอมรับชะตากรรม ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าจะหาคนมาแต่งงานด้วยก็แต่งงานไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องครองตัวเป็นหม้ายเพื่อข้า อาศัยความงามของเจ้า คนที่ไปมาหาสู่กับจวนอ๋องสวรรค์มีแต่ผู้สูงศักดิ์ทั้งนั้น ทั้งยังมีหนิวฮูหยินคอยช่วยเหลือ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาใครแต่งงานด้วยไม่ได้ จะได้หมดความกังวลกับชีวิตในอนาคต ชาตินี้สวีก็ไม่ถือว่าทำผิดต่อเจ้าเช่นกัน”

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน!” เสวี่ยหลิงหลงโมโหจนกำหมัดชกเขาหลายที ผลปรากฏว่าโดนเขาจับมือเอาไว้ ดึงขึ้นเหนือผิวน้ำ จับกดให้พลิกตัวอยู่ข้างอ่างอาบน้ำแล้วทำโทษเสียเลย…

หยางเจาชิงที่รีบร้อนเดินเข้ามาในห้องหยุดฝีเท้ากะทันหัน ครั้งนี้จงใจเอียงศีรษะบอกใบ้หลินผิงผิงที่อยู่กับเฟยหง บอกใบ้ให้หลินผิงผิงถอยไป

หลินผิงผิงที่นั่งยองๆ อยู่ข้างเตียงนั่งรู้ว่าผู้ชายของตัวเองมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับนายท่านแน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่สะดวกจะให้นางเห็น จึงรีบยกกระโปรงขึ้นแล้วขอตัว

“พี่ผิงผิง ข้าไปด้วยค่ะ ไปนั่งตรงนั้นกัน” เฟยหงที่อยู่ตรงข้ามพลิกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ดับไฟที่เตาต้มน้ำชาทันที ยกกระโปรงลุกขึ้นแล้วเช่นกัน เดินคล้องแขนหลินผิงผิงออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว หยางเจาชิงก็เข้ามาในห้อง ยืนกุมหมัดอยู่ข้างหลังเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “นายท่าน”

เหมียวอี้ยังคงหลับตาอยู่ตรงหน้าภาพนั้น แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าจัดการคนแล้ว ผู้หญิงคนนั้นอาจจะสังเกตอะไรบางอย่างได้ จัดการไปพร้อมกันเลยแล้วกัน ทำให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย”

“เกรงว่าคงจะแตะต้องผู้หญิงคนนั้นไม่ได้แล้ว สวีถังหรานกลับมาที่จวนแม่ทัพภาคแล้วขอรับ” หยางเจาชิงกล่าว

“อ้อ!” เหมียวอี้พลันลืมตาแล้วหันตัวมา ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ “หรือว่าสวีถังหรานปฏิเสธไปแล้ว?” ในดวงตาถึงขั้นฉายแววดีใจเล็กน้อยด้วย

ใช่แล้วล่ะ ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่เขาใช้ทดสอบสวีถังหราน ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากทำอย่างนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยากทำอย่างนี้เลย ถึงอย่างไรสวีถังหรานก็ติดตามรับใช้เขามาหลายปี ไม่ว่าเวลาไหนก็ยืนข้างเขาตลอด ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน

แต่หยางชิ่งไม่ได้คิดอย่างนี้ หยางชิ่งคิดว่าในเวลานี้จำเป็นต้องกำจัดปัญหาทุกอย่างที่อยู่ข้างกายทิ้งไป เพราะคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ธรรมดา จะประมาทไม่ได้ ศึกภายในต้องสงบก่อนจึงค่อยสู้ศึกภายนอก ไม่อย่างนั้นถ้าพลาดก้าวเดียวก็อาจจะแพ้ทั้งกระดาน คู่ต่อสู้ไม่มีทางให้โอกาสเขาเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ไหนแต่ไรมา คนที่ตายด้วยคมดาบของคนที่อยู่ข้างกายก็มีให้เห็นอยู่ทุกที่ และสวีถังหรานเองก็เป็นคนต่ำทรามที่ใครๆ ก็รู้กัน เป็นคนที่เอาผลประโยชน์มาควบคุมได้ง่ายที่สุด ถูกคนอื่นจ้องหลอกใช้ได้ง่าย ดังนั้นหยางชิ่งจึงต้องการให้เหมียวอี้สร้างสถานการณ์ทดสอบ ถ้าไม่ได้เรื่องก็กำจัดทิ้งเสียเลย!

เหมียวอี้ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างลำบากใจมาก แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าที่หยางชิ่งพูดมีเหตุผล ถ้าสวีถังหรานทรยศตนได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ ไม่สู้ถือโอกาสตัดจบไว้แต่เนิ่นๆ จะดีกว่า ถึงได้มีการเตรียมการอย่างนี้ขึ้น

หยางเจาชิงตอบว่า “นายท่านได้โปรดดูนี่!” เขาโยนศพร่างหนึ่งขึ้นมาบนพื้น มีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ใบหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาเบิกโพลง ตรงหน้าอกยังมีแผลจากการใช้ดาบซ้ำอีกด้วย ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว

“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ตะลึงงัน

หยางเจาชิงตอบว่า “นี่คือคนที่ข้าน้อยเตรียมให้ไปเจอกับสวีถังหราน ผลปรากฏว่าถูกสวีถังหรานวางยาพิษสังหารแล้ว”

“ตอบตกลงจะเจอกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เจรจากันไม่ลงตัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสังหารเขานี่?” เหมียวอี้งงนิดหน่อย

หยางเจาชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ก็เพราะแบบนี้ ถึงได้ถูกเขาลงมือสังหารได้ง่ายๆ ใครจะไปคิดว่าพอเจอกันเจ้านั่นก็วางยาพิษเลย ฝั่งพวกเราป้องกันแล้วก็ไม่มีประโยชน์ คาดว่าเขาก็คงคิดถึงจุดนี้เช่นกัน คิดว่าคนที่มาเจอเขาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะเล่นลูกไม้นี้ เลยใม่ได้ตรวจสอบสุราอาหารอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนมาดีแล้ว กังวลว่าคนที่มาพบจะพาผู้ช่วยมาด้วย หลังจากลงมือแล้วก็เลยหนีออกจากเรือไปเลย…” หลังจากเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “โชคดีคำนึงถึงความมั่นใจเชื่อถือได้ไว้ก่อน เลยจ่ายเงินจ้างคนมา ถ้าใช้คนของตัวเอง ความผิดพลาดนี้ก็จะใหญ่หลวงแล้ว”

“หนีจากรูส้วมไปแล้ว…” เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน เพราะฉากนั้นงดงามเกินไป ไม่จินตนาการต่อแล้ว ต่อไปถ้าเจ้าหมอนั่นมาอยู่ข้างกาย ตนควรจะหลบให้ไกลหน่อยหรือเปล่า ในภายหลังยังจะมีความอยากให้อาหารที่เจ้าหมอนี่ทำอีกไหม?

เขาย้ายสายตากลับมาจากตัวศพ แล้วเอามือลูบคางพร้อมบอกว่า “ตอนที่เขาวางยาพิษ ก่อนที่คนโดนยาพิษจะล้มตาย ไม่ได้มีปฏิกิริยาสักนิดเลยเหรอ? พวกเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวสักนิดเลยเหรอ?”

หยางเจาชิงตอบอย่างปวดประสาท “นายท่าน ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวสักนิดเลยขอรับ อย่าว่าแต่พวกเราเลย ขนาดคนบนเรือยังไม่สังเกตเห็นอะไรสักนิดเลย เดาว่าเจ้าบ้านั่นคงไปเอาพิษประหลาดมาจากที่ไหนสักแห่ง โจมตีครั้งเดียวถึงตาย ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าไปตามนัดคนเดียว”

เหมียวอี้ก็ปวดประสาทเช่ยกัน นี่คือวิธีการทำงานของสวีถังหรานโดยแท้ เขาอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “เจ้าชาติสุนัขนี่ ทำตัวให้สมเป็นลูกผู้ชายสักครั้งไม่ได้รึไง เอาแต่ใช้วิธีการน่าต่ำช้าอับอายทำงาน เฮ้อ! ถ้ามองงานทุกอย่างให้เขาทำ พอสร้างผลงานได้แล้วก็ไม่มีทางยกย่องออกหน้าออกหน้าได้เลย ถ้าทำงานสำเร็จแล้ว เวลาเจ้าอยากจะให้รางวัลเขา ก็ยังต้องช่วยหาข้ออ้างมาตบตาคนอื่นให้เขาอีก เหนื่อยมั้ยล่ะ? แล้วเจ้าก็ดันว่าอะไรเขาไม่ได้ด้วย นี่มันตัวอะไรกัน!”

ปากก็ด่าไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับโล่งสบายแล้ว เหมือนยกก้อนหินออกจากอก ส่วนเหตุผลว่าทำไมสวีถังหรานจึงทำอย่างนี้ ทุกอย่างล้วนแผนที่ฝั่งนี้วางไว้ มีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในใจแล้ว เดาสาเหตุได้ไม่ยาก ดังนั้นเหมียวอี้จึงอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “เป็นคนต่ำทรามแบบเต็มสิบจริงๆ เอาหัวใจคนทรามมาวัดหัวใจสัตบุรุษ รายงานมาตรงๆ เลยจะเป็นไรไป อย่าบอกนะว่าในสายตาเขา ความใจกว้างของหนิวไม่มีประโยชน์สักนิดเลย? ยอมเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ได้ทำเรื่องขโมยไก่คลำสุนัข สันดานสุนัขชอบกลับไปกินขี้!”

เขาพูดไม่ผิดเลยจริงๆ หารู้ไม่ว่าในสายตาสวีถังหราน เขานั้นไม่ใช่สัตบุรุษอะไรเลย เป็นคนที่เจ้าเล่ห์โหดร้ายยิ่งกว่าสวีถังหรานเสียอีก ในปีนั้นที่ตามจับเฮยหวังแล้วต่อสู้กัน เขาก็วางกับดักสวีถังหรานไว้อนาถมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสวีถังหรานไหวพริบดี ก็คงจะไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิตแล้ว ตอนหลังวุ่นวายจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเจอเขาทีไรก็จะฆ่าเขาทุกครั้ง เรียกได้ว่าอนาถมาก!

หยางเจาชิงหัวเราะแห้ง อยู่กับสวีถังหรานมาหลายปีขนาดนี้ ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าสวีถังหรานเป็นคนอย่างไร นั่นคือคนต่ำทรามขนานแท้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็ไม่กล้าใช้งานคนประเภทนี้เลยจริงๆ ก็ไม่แปลกที่นายท่านต้องการจะทดสอบ หลังจากหัวเราะเสร็จแล้วก็ถามว่า “นายท่าน งั้นเรื่องนี้…”

“ช่างเถอะ!” เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางศพ “จัดการให้สะอาดเรียบร้อย แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าให้เขารู้ล่ะ ทุกคนจะได้ไม่อึดอัดใส่กัน”

“ขอรับ!”

หลังจากรอให้หยางเจาชิงจัดการศพที่อยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างลังเลว่า “พลังของสวีถังหรานอ่อนแอไปหน่อย เดี๋ยวเจ้านำมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่เจ้าเคยฝึกไปให้เขาแล้วกัน”

มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ เดิมทีเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของหุ้นหยวนเจินเหรินซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของเฟิงเป่ยเฉิน ตอนหลังตกอยู่ในมืออวิ๋นอ้าวเทียน แล้วอวิ๋นจือก็ส่งต่อให้เหมียวอี้ เพื่อให้ยกระดับความสามารถของลูกน้อง เหยียนซิวกับหยางเจาชิงต่างก็ฝึกวิชานี้ ถึงแม้จะเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของพิภพเล็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของพิภพเล็กจะแย่กว่า ลำพังแค่เคล็ดวิชาฝึกตนจากสำนักที่หลากหลายพวกนั้น ที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้ด้อยกว่าของพิภพใหญ่ก็ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของแม่ทัพอันดับหนึ่งของเฟิงเป่ยเฉิน ไม่รู้เหมือนกันว่าพิภพเล็กนำเคล็ดวิชาฝึกตนมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือมีทรัพยากรฝึกตนไม่พอก็เท่านั้นเอง

สรุปก็คือมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์จะต้องดีกว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสวีถังหรานในตอนนี้แน่นอน ไม่รู้ว่าดีกว่าตั้งกี่เท่า

หยางเจาชิงอึ้งไปชั่วขณะ ในใจแอบทึ่ง เจ้าคนต่ำช้าสวีถังหรานนั่นกอดขานายท่านสำเร็จแล้วจริงๆ!

แต่เขาก็ไม่ได้แย่เช่นกัน เขาได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคฟ้าไปแล้ว จึงพยักหน้าบอกว่า “ขอรับ! เดี๋ยวข้าจะมอบให้เขา จะบอกให้ชัดเจนว่านายท่านตบรางวัลให้”

เหมียวอี้ขานรับ แล้วโบกมือให้เขาถอยออกไป

ทว่าหยางเจาชิงลองถามอีกว่า “นายท่าน จะต้องส่งคนไปทางยอดเขาโอนเอนสักหน่อยหรือเปล่า ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าให้เขาไปคนเดียว ข้าน้อยไม่ค่อยวางใจ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเราก็จะไม่รู้เลย”

คนที่ไปยอดเขาโอนเอนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเหยียนซิวนั่นเอง และสาเหตุที่เหยียนซิวไปที่ยอดเขาโอนเอน ก็เป็นสาเหตุเดียวกับที่เฮยหวังยึดครองยอดเขาโอนเอนในปีนั้น เพราะนั่นคือทำเลดีในการหลอมสร้าง ‘ธงเรียกวิญญาณ’ ตอนนี้ในมือเหยียนซิวมีเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางครบแล้ว มีวิธีการหลอมสร้างของวิเศษที่บันทึกอยู่บนนั้นแล้ว และทางหกลัทธิก็ช่วยรวบรวมวัสดุในการหลอมสร้างเอาไว้แล้วด้วย เหยียนซิวต้องการจะไปหลอมของวิเศษ เหมียวอี้ก็ช่วยสนับสนุนเต็มที่ เพราะเขาเองก็เคยสัมผัสกับอานุภาพของ ‘ธงเรียกวิญญาณ’ นั่นมาก่อนเช่นกัน เป็นเพราะมันแปลกประหลาดจริงๆ อีกทั้งธงเรียกวิญญาณในมือเฮยหวังก็ยังหลอมสร้างไม่สำเร็จ หลังจากหลอมสร้างธงเรียกวิญญาณสำเร็จแล้วจะมีอานุภาพมากขนาดไหน เหมียวอี้เฝ้าคอยจะเห็นสิ่งนี้มาก

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าส่งคนที่พึ่งพาได้ให้ไปคุ้มครองเขาแล้ว” พอเหมียวอี้โบกมือ เขาก็เรียกเยี่ยนเป่ยหงเข้ามาแล้ว

…………………………