บทที่ 1653 เก็บได้โชคใหญ่

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เขาจำเป็นต้องให้เยี่ยนเป่ยหงช่วยเหลืออย่างลับๆ พอเยี่ยนเป่ยหงได้ข่าวจากเขาแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบมาทันที

และทางนี้ก็ยังใช้งานเยี่ยนเป่ยหงไม่ได้ชั่วคราว กอปรกับคนของตระกูลโค่วเพ่นพ่านอยู่ทั่วจวนแม่ทัพภาค จึงไม่สะดวกให้เยี่ยนเป่ยหงเข้าพัก ประจวบเหมาะกับเหยียนซิวหลอมไปของวิเศษและต้องการคนคุ้มกันพอดี แล้วยอดเขาโอนเอนก็อยู่ที่เขาภูตพเนจร ระยะทางไปกลับตลาดผีไม่ถือว่าไกลเกินไป ถ้ามีธุระอะไรก็สามารถเรียกมาได้ทันเวลา ถึงได้ส่งเยี่ยนเป่ยหงให้ไปคุ้มกันเหยียนซิวแล้ว

หยางเจาชิงแปลกใจนิดหน่อย ตามหลักแล้วเรื่องที่เหยียนซิวทำมักจะไม่ให้คนทั่วไปรับรู้ นอกจากลูกน้องบางคนของฮูหยิน ก็ไม่เหมาะจะให้คนอื่นมาคลุกคลีอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเหมียวอี้คนใครไปคุ้มครองเหยียนซิว? เพียงแต่เขาเป็นคนที่ไม่เคยเอ่ยถามเรื่องที่เหมียวอี้ไม่อยากบอก สิ่งที่ควรถามก็ถาม สิ่งที่ไม่ควรถามก็ไม่เคยถามมากเลย

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วถอยออกไป แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งเดินไปถึงประตู ก็เห็นสวีถังหรานเขามาคารวะนายท่านแล้ว

“นายท่านอยู่หรือเปล่า?” สวีถังหรานถามอย่างร่าเริง ท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตร สำหรับที่คนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แต่ไหนแต่ไรมาท่าทีของเขาก็ไม่เคยเลวร้ายอยู่แล้ว บนร่างกายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว

“อยู่ข้างใน” หยางเจาชิงมองประเมินเขาศีรษะจดเท้าวแวบหนึ่ง ทั้งยังหลบไปพิงด้านข้างโดยจิตใต้สำนึก หลีกทางให้เขาเข้าไป แต่ว่าตัวเองกลับยังไม่ออกไป

สวีถังหรานที่ได้รับอนุญาตแล้วเข้ามาทำความเคารพข้างใน เหมียวอี้ที่เดินออกจากห้องมานั่งลงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “มีธุระอะไรเหรอ?”

สวีถังหรานยิ้มอย่างมีอัธยาศัยดี “ข้าน้อยเพิ่งได้รับสุราชั้นดีมาหลายกา เลยเตรียมสุราอาหารไว้ที่บ้านแล้วนิดหน่อย อยากจะมาเชิญนายท่านไปรับประทาน”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หยางเจาชิงที่ยืนตะแคงข้างอยู่ตรงประตูเอามือลูบจมูกโดยจิตใต้สำนึก

เหมียวอี้สีหน้าทื่อแข็งนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลอยู่เลยว่าจะกินอาหารที่เจ้าหมอนี่ทำได้อย่างไร ใครจะคิดว่าสิ่งที่กลัวจะมาเยือนแล้ว เจ้าหมอนี่เพิ่งมุดออกมาจากสถานที่แบบนั้น พอกลับมาถึงก็แสดงฝีมือเลย นี่จงใจทำให้ข้าสะอิดสะเอียนหรือเปล่า

อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้ เหมียวอี้ไม่มีทางไปแตะต้องอาหารเลิศรสที่สวีถังหรานทำแน่นอน จึงปฏิเสธไปตรงๆ เลย “ช่างเถอะ ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย เอาไว้คราวหลัง”

สวีถังหรานอึ้งนิดหน่อย จากนั้นก็พยักหน้าซ้ำๆ “อ้อ ได้ๆ เอาไว้คราวหลัง นายท่านดูว่าว่างเมื่อไร ข้าน้อยจะเฝ้าคอยด้วยความเคารพทุกเมื่อ” เขาไม่ได้ถามอะไรเช่นกัน รีบตบปากรับคำ แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะขอตัวอำลา

เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ยังมีธุระอะไรอีก?”

สวีถังหรานยิ้มอย่างถ่อมตน สองมือแกว่งไปแกว่งมา เหมือนกำลังลังเลนิดหน่อย ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่

“มีคำพูก็รีบเอ่ย มีผายลมก็รีบปล่อย” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว

สวีถังหรานก็รอคำนี้จากเขาอยู่พอดี จึงทำตามคำสั่งทันที “นายท่าน คืออย่างนี้นะ หลิงหลงฮูหยินของข้าเริ่มคิดถึงฮูหยินแล้ว ไม่ได้เจอฮูหยินมานาน อยากจะไปเยี่ยมสักหน่อย เพียงแต่ประตูจวนอ๋องสวรรค์ช่างสูงนัก ไม่ทราบว่าจะสะดวกหรือเปล่า?”

เดิมทีอยากจะเชิญเหมียวอี้ไปรับประทานอาหารก่อน แล้วระหว่างที่กินดื่มกันก็จะให้เสวี่ยหลิงหลงเอ่ยปากเอง แต่ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยออกมาเอง

เหมียวอี้ก็ไม่ได้คิดมากเช่นกัน แค่นึกว่าเจ้าหมอนี่มีเจตนาดีอยากประจบเฉยๆ เพราะคุ้นชินกับมุกนี้ของสวีถังหรานแล้ว และที่จริงเขาเองก็เตรียมจะส่งเฟยหงออกไปหลบอันตรายชั่วคราวเช่นกัน หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าบอกว่า “อาจจะต้องเข้าไปในจวนอ๋องสวรรค์ก็ได้ ดาวหยกงามใหญ่ขนาดนั้น คงไม่ถึงขั้นไม่มีที่ให้แขกพัก ไปก็ไปเถอะ หรูฮูหยินก็ต้องการจะไปเยี่ยมฮูหยินเหมือนกัน เจาชิง!”

หยางเจาชิงที่อยู่ตรงประตูรีบสาวเท้าเดินเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”

เหมียวอี้สั่งว่า “ไปเรียกหลินผิงผิงมาด้วย อยู่ในที่ไร้แสงตะวันแบบตลาดผีก็น่าเบื่อเหมือนกัน ถือโอกาสตอนที่ฮูหยินยังอยู่จวนอ๋องสวรรค์ โอกาสแบบนี้หายาก ไปเปิดหูเปิดตาที่ดาวหยกงามสักหน่อย ระหว่างทางจะได้มีเพื่อนหลายๆ คน เดี๋ยวข้าจะให้คนของจวนอ๋องสวรรค์คุ้มกันส่งพวกนางสามคนก็แล้วกัน”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

เฟยหงกับหลินผิงผิงก็ไปเหมือนกันเหรอ? สวีถังหรานกำลังแอบครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเหมียวอี้บอกอีกว่า “สวีถังหราน มีเรื่องให้เจ้าเตรียมจัดการนิดหน่อย”

สวีถังหรานเก็บสีหน้าอารมณ์ทันที แล้วกุมหมัดคารวะมองเขา ทำท่าเหมือนตั้งใจรอฟัง

เหมียวอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปทางหน้าต่าง ขณะที่เดินก็พูดไปด้วยว่า “จะดีจะเลวยังไง พวกเราก็แขวนป้ายจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไว้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องมานั่งดูภูตผีมารปีศาจพวกนั้นร่ำรวยเฉยๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าคิดหาทางแอบหาร้านค้าที่ตลาดผีไว้สักจำนวนหนึ่ง พวกเราก็จะทำธุรกิจสักหน่อยเหมือนกัน ทำสักยี่สิบร้านก่อนเป็นไง?”

“หา! ยี่สิบร้านเหรอ?” สวีถังหรานอุทานตกใจ จากนั้นก็เอามือสะกิดคางทันที พร้อมกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ “นายท่าน เดิมทีตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่อยากให้จวนแม่ทัพภาคยื่นมือเข้าไปในตลาดผีอยู่แล้ว จะทำอย่างลับๆ ยังไง แต่ก็พ้นสายตาตึกศาลาสัตยพรตได้ยากอยู่ดี ถ้าตึกศาลาสัตยพรตไม่ยินยอม พวกเราก็ทำธุรกิจนี้ไม่ได้เลย ถ้าทำแค่ร้านสองร้าน ตึกศาลาสัตยพรตก็อาจจะปิดตาข้างเดียวได้ แต่ถ้าทำรวดเดียวยี่สิบร้าน เรื่องนี้ก็ค่อนข้างจัดการยากนะขอรับ”

ขนาดหยางเจาชิงยังมองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อเลย รู้สึกเหมือนเขากำลังบังคับให้ทำงานยากเช่นกัน

เหมียวอี้จ้องโคมไฟระยิบระยับทั้งใกล้และไกลนอกหน้าต่าง “เจ้าไปทำก่อนได้เลย ถ้าเจอฝั่งตึกศาลาสัตยพรตมาหาเรื่อง ก็มาบอกข้าได้ ข้าจะไปคุยกับตึกศาลาสัตยพรตด้วยตัวเอง”

เมื่อพูดมาแบบนี้ก็จัดการง่ายแล้ว อย่างน้อยถ้าทำไม่สำเร็จ ตัวเองก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร สวีถังหรานมีความมั่นใจทันที ตบหน้าอกพร้อมบอกว่า “นายท่านวางใจได้ เรื่องนี้ข้าน้อยจะจัดการเอง ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้…เพียงแต่ร้านค้าที่ตลาดผีแพงกว่าร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ยี่สิบร้านนี้…”

เหมียวอี้พูดตัดบททันที “ข้าไม่มีเงินให้เจ้าหรอก ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร เอาเป็นว่าข้ามอบหมายเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”

ล้อเล่นอะไรกัน? สวีถังหรานยิ้มขื่นขมในใจ นี่ไม่ใช่ว่าให้ข้าออกทุนเองหรอกเหรอ?

“ทำไม? ถ้าเจ้ารู้สึกว่าทำงานนี้ไม่ได้ ข้าก็เปลี่ยนให้คนอื่นไปทำแทนได้นะ” เหมียวอี้หันกลับมามอง

สวีถังหรานรีบโบกมือซ้ำๆ “ไม่ๆๆ นายท่านเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว ในเมื่อนายท่านสั่งแล้ว ข้าน้อยก็ย่อมบุกน้ำลุยไฟโดยไม่ปฏิเสธ ข้าน้อยแค่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี” พอพูดจบก็นึกเสียใจทีหลังทันที แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปแล้ว จะเอาคืนกลับมาได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าให้โอกาสเขาอีกรอย เขาก็ยังจะตอบตกลงเหมือนเดิม

หยางเจาชิงเห็นท่าทางของเขา ดูเหมือนกำลังคิดหาทางอยู่จริงๆ กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนสีหน้ากลัดกลุ้มระทมทุกข์มากกว่า

หลังจากออกมาจากห้องเหมียวอี้แล้ว “เฮ้อ!” สวีถังหรานก็ถอนหายใจเบาๆ รู้สึกห่อเล็กน้อย เขาถึงขั้นสงสัยว่าเหมียวอี้รู้เรื่องที่เขาทำแล้วหรือเปล่า ก็เลยกำลังจงใจกลั่นแกล้งเขา

“จัดการยากเหรอ?” หยางเจาชิงที่เดินอยู่ข้างกันเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้…จัดการง่ายเหรอ?” สวีถังหรานตอบอย่างอ่อนแรง

หยางเจาชิงยิ้มตอบ “นายท่านใช้ให้ทำหน้ที่สำคัญ ก็เพราะเห็นความสำคัญของเจ้าไง”

“เหอะๆ!” สวีถังหรานหัวเราะแห้ง ที่จริงอยากจะถ่มน้ำลายใส่เขามากกว่า

“เจ้าอย่าไม่เชื่อเลย กลับมาดึกๆ หน่อย ข้ามีของจะส่งให้เจ้า เป็นของขวัญจากนายท่าน ของขวัญล้ำค่า! รับรองว่าเจ้าได้ใช้ประโยชน์ไปทั้งชีวิตแน่!” หยางเจาชิงกล่าว

นายท่านมอบของขวัญล้ำค่าให้เหรอ? สวีถังหรานตาเป็นประกาย “ของอะไร?”

“รอข้าเตรียมอีกประเดี๋ยว รออีกหน่อยเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หยางเจาชิงยิ้มอย่างแฝงความหมายล้ำลึก พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินก้าวยาวจากไป ทิ้งสวีถังหรานที่พูดยื้อหลายรอบต้องเอามือลูบหน้าผาก

หลังจากกลับเข้ามาในเรือนแล้ว สวีถังหรานก็ยังคงครุ่นคิดไม่เลิก

เสวี่ยหลิงหลงที่เดินออกมาเตรียมต้อนรับแขกไม่เห็นเงาเหมียวอี้ จึงซักไซ้ “นายท่านล่ะ?”

“ติดธุระมาไม่ได้” สวีถังหรานที่นั่งบนเก้าอี้ตอบอย่างขอไปที

เสียแรงที่เตรียมไว้! เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจ แล้วมองไปนอกประตูที่ว่างเปล่า ทำได้เพียงช่างมัน พอหันกลับมาก็พบว่าสวีถังหรานมีสีหน้าแปลกไป อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? โดนนายท่านตำหนิมาเหรอ?”

สวีถังหรานส่ายหน้าเบาๆ แล้วพึมพำตอบว่า “นายท่านตอบตกลงแล้ว แต่ให้ฮูหยินเฟยหงกับหลินผิงผิงไปกับเจ้าด้วย”

“ก็สมปรารถนาเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้ายังหน้านิ่วคิ้วขมวดทำไมอีก?” เสวี่ยหลิงหลงแปลกใจแล้ว

สวีถังหรานอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน คำพูดบางคำผู้ชายไม่มีทางบอกผู้หญิง การที่ส่งเฟยหงกับหลินผิงผิงไปด้วยกันแบบนี้ เขาสงสัยว่าตัวเองจะเดาถูกแล้ว นายท่านอาจจะต้องการก่อเรื่องที่ตลาดผีแล้วจริงๆ ก็ได้ ถ้าพูดสิ่งนี้ออกมาเกรงว่าจะทำให้เสวี่ยหลิงหลงกังวลยิ่งกว่าเดิม จึงกลืนคำพูดนี้กลับไป

ตอนดึกๆ หน่อย หยางเจาชิงก็มาตามนัด แอบมาเจอกับสวีถังหรานในห้องสมาธิอย่างลับๆ พักหนึ่ง

เสวี่ยหลิงหลงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคุยอะไรกัน สรุปก็คือตอนที่ทั้งสองออกมา สีหน้าหดหู่ของสวีถังหรานก็เหมือนถูกกวาดหายไปหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เดินหัวเราะร่าส่งหยางเจาชิงออกนอกประตูไปด้วยตัวเอง

ตอนที่กลับมา เสวี่ยหลิงหลงตามซักไซ้อยู่ข้างกายสวีถังหราน “เจ้านี่ประเดี๋ยวก็ทำหน้าทนทุกข์ ประเดี๋ยวก็ร่าเริงแจ่มใส เป็นอะไรไปแล้ว?”

สวีถังหรานพลิกมือหยิบแผ่นหยกมาโบกอยู่ในมือ แล้วเดาะลิ้นบอกว่า “ไม่เสียแรงที่สวีติดตามรับใช้ นี่คือของขวัญล้ำค่าจากนายท่าน มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์!”

“เป็นเคล็ดวิชาฝึกตนเหรอ?”

“แน่นอน!”

“มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี่ร้ายกาจนักเหรอ?”

สวีถังหรานรีบหันกลับไปมองนอกประตู แล้วโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประตูเสียเลย เสร็จแล้วถึงได้แอบยิ้มพร้อมถ่ายทอดเสียง “ตอนแรกข้าก็นึกว่าแค่ได้ยินชื่อเคล็ดวิชาที่เหมือนกันเฉยๆ แต่หลังจากดูสิ่งที่อยู่ข้างใน มันอาจจะเป็นมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่ข้าเคยบังเอิญได้ยินชื่อมาก่อนก็ได้ แต่หยางเจาชิงบอกว่า เคล็ดวิชานี้คือสิ่งที่อสุราอัคนี ปรมาจารย์ต่างยุคของนายท่านทิ้งไว้ พอได้ฟังแบบนั้น ก็รู้เลยว่านายท่านกับหยางเจาชิงไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้เลย ครั้งนี้พวกเราเก็บได้โชคใหญ่แล้วจริงๆ ข้าจะทำสำเนาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เดี๋ยวเจ้านำกลับไปฝึกที่จวนอ๋องสวรรค์ ขอเพียงได้ฝึกมหาเคล็ดวิชานี้ อนาคตของพวกเราสองคนก็จะน่าเฝ้าคอยแล้ว!”

ฟังจากที่เขาพูดเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เสวี่ยหลิงหลงก็อดไม่ได้ที่จะตาลุกวาว ถามอย่างตื่นเต้นประหลาดใจว่า “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้ว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี่มีที่มายังไงกันแน่?”

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยินคนพูดถึงครั้งหนึ่ง ข้าก็คงไม่รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้หรอก เมื่อนานมาแล้ว ใต้หล้าแห่งนี้ยังไม่มีระแบบปกครอบแบบตำหนักสวรรค์ ทุกอย่างล้วนอาศัยพลังความสามารถ ถ้าจัดอันดับพลังความสามารถ ก็จะเรียกว่าหนึ่งเทพ สามเซียน หกสำนัก สามสิบสองประมุขดาว นี่ก็คือผู้ที่มีพลังความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า หนึ่งเทพก็เหมายถึงราชาปีศาจหนานโปที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในปีนั้น แต่เดิมที่การจัดอันดับนี้ไม่มีหนึ่งเทพหรอก หลังจากราชาปีศาจหนานโปผงาดขึ้นมาแล้วถึงได้เพิ่มเข้าไป สามเซียนก็คืออาจารย์ของราชันสวรรค์ อาจารย์ของประมุขพุทธะและอาจารย์ของประมุขไป๋ หกสำนักก็หมายถึงหกสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนั้น ว่ากันว่าราชาปีศาจหนานโปเคยแอบขโมยวิชาจากหกสำนักนี้เหมือนกัน หลังจากฝึกสำเร็จแล้ว ราชาปีศาจหนานโปก็ทำลายหกสำนักนั้น ส่วนสามสิบสองประมุขดาว ฟังจากชื่อแล้วเจ้าก็น่าจะเข้าใจ ส่วนสามสิบสองประมุขดาวจะร้ายกาจขนาดไหน เจ้าเคยได้ยินชื่อสิบปราสาทดำเนินใช่มั้ย ก็แบ่งรับถ่ายทอดมาจากในนั้นนั่นแหละ ว่ากันว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสี่อ๋องสวรรค์ก็ได้รับถ่ายทอดมาจากในนั้นเหมือนกัน ถ้าตำนานนี้เป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าในบรรดาเคล็ดวิชาฝึกตนของสามสิบสองประมุขดาว มีเพียงสิบสี่เคล็ดวิชาที่ได้รับถ่ายทอดสืบต่อมา ยังมีอีกสิบแปดเคล็ดวิชาที่หายไป”

………………………