บทที่ 523.2 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

อันที่จริงหลังจากกระบี่บินชูอีถูกกักอยู่ในยันต์กักกระบี่แผ่นนั้นแล้ว รัศมีห้าจั้งใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันก็ปรากฎยันต์ค่ายกลที่มีลำแสงไหลเวียนวนแห่งหนึ่ง เส้นแสงตัดสลับกันเหมือนกระดานหมากล้อมหนึ่งกระดาน จากนั้นก็หดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าระดับความเจิดจ้าบาดตาของเส้นแสงแต่ละเส้นนั้นกลับน่าเหลือเชื่อขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งเซียนที่เด็ดเอาแก่นตะวันจันทราที่บริสุทธิ์ที่สุดออกมา

นักฆ่าร่างเล็กเตี้ยที่เป็นอาจารย์ค่ายกลของบนภูเขากระตุกมุมปาก

ค่ายกลแห่งนี้มีความมหัศจรรย์อยู่สองอย่าง นั่นคือสามารถทำให้การโคจรปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนหยุดชะงัก สองคือไม่ว่าคนที่ถูกกักตัวไว้จะเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่สวมเม็ดเสื้อเกราะ หรือจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตหลอมดวงจิต ต่อให้เรือนกายของเจ้าแข็งแกร่งปานขุนเขาก็ยังต้องถูกเส้นแสงที่ตัดสลับกันเหล่านั้นแนบติดดวงวิญญาณ โรมรันพัวพันไม่ห่างกาย ความทุกข์ทรมานที่เหมือนถูกทารุณกรรมเช่นนี้ไม่ใช่ความเจ็บปวดแค่ทางผิวหนังแล้ว แต่เหมือนกับความทรมานยามที่คนธรรมดาหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนทั่วไปถูกดึงดวงวิญญาณไปเป็นไส้ตะเกียงที่ถูกจุดไฟ

อาจารย์ค่ายกลผู้นี้สบถด่าอยู่สองสามคำ แล้วก็ควักยันต์สีเหลืองออกมาอีกหนึ่งปึก ให้มาหยุดลอยอยู่ใกล้กับยันต์กักกระบี่กระดาษสีทองแผ่นนั้น เมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์ถูกชักนำก็คล้ายว่าจะกลายเป็นค่ายกลยันต์เล็กๆ อีกแห่งหนึ่ง

สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว

คนชุดดำที่สวมหน้ากากสีขาวหิมะซึ่งยืนอยู่บนผิวน้ำชำเลืองตามองการกระจายตัวของศพบนสนามรบแวบหนึ่ง จากนั้นในสมองก็เริ่มทบทวนภาพการลงมือก่อนหน้านี้ของคนผู้นั้นซ้ำอีกครั้ง

มีเรื่องเล็กอยู่เรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องยืนยันให้แน่ใจเสียก่อน

ตอนนี้ดูแล้วน่าจะปิดงานได้แล้ว

หากเปลี่ยนไปเป็นสถานการณ์ทั่วไป มาเจอกับเซียนกระบี่โอสถทองที่เชี่ยวชาญด้านการเข่นฆ่าอย่างถึงที่สุดเช่นนี้ ถ้าพวกเขามาพบเจออีกฝ่ายอย่างฉุกละหุก ก็มีแต่ว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น สามารถหนีรอดไปได้คนสองคนก็ถือว่าอีกฝ่ายยอมออมมือมีเมตตาให้มากแล้ว

ทว่าการเข่นฆ่ากันระหว่างผู้ฝึกตนบนภูเขา แน่นอนว่าขอบเขตและสมบัติอาคมต่างก็สำคัญอย่างยิ่ง ทว่ากลับไม่ใช่ตัวแปรที่แน่นอน อีกทั้งพลังการต่อสู้ในใต้หล้านี้ก็ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง

เขาผงกศีรษะให้กับนักฆ่าที่เก็บรวบรวมดวงวิญญาณอยู่ตลอดเวลาผู้นั้น

ฝ่ายหลังลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มสาวเท้าเร็วรี่พร้อมทำมุทรา ท่องคาถาอยู่ในใจ

เดิมทีเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อยู่ในค่ายกลยันต์ก็ถูกพันธนาการเรือนกายอยู่แล้ว เวลานี้เขายังเซถอยไปหนึ่งก้าว ไหล่ข้างหนึ่งกระตุก เฉินผิงอันจำต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีถึงจะพอยกมือข้างขวาขึ้นมาได้ เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าเส้นลายมือบนฝ่ามือมีเส้นสีดำบิดเบี้ยวไต่คลานเต็มไปหมด

ราวกับว่าแขนทั้งแขนถูกพันธนาการกักขังไปด้วย

เฉินผิงอันกำหมัดปล่อยลมปราณออกมาสะเทือน แต่ก็ยังไม่อาจสะเทือนให้เส้นสีดำสนิทพวกนั้นแหลกสลายไปได้

เวลาเดียวกันนั้นนักฆ่าที่มีเรือนกายกำยำก็ปลดธนูคันยักษ์ลงมา แล้วน้าวสุดสายจนคันธนูเหมือนพระจันทร์เต็มดวง

คนชุดดำที่อยู่บนผิวน้ำยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เข้าวัด เหตุใดต้องใช้มือซ้ายถือธูป? เป็นเพราะมือขวาผ่านการเข่นฆ่ามามากเกินไป ไม่เหมาะจะให้เอามากราบไหว้องค์พระพุทธเจ้าสินะ สุดยอดวิชาเช่นนี้ หาได้ยากจากผู้ฝึกตนทั่วไป หากไม่เป็นเพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดหนึ่งในหมื่นขึ้น อันที่จริงก็ควรจะใช้วิชาอภินิหารของลัทธิพุทธวิชานี้มาเล่นงานเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว”

ลูกธนูที่อาบย้อมไปด้วยประกายแสงไหลเวียนพุ่งแหวกอากาศออกไป

แต่กลับถูกคนผู้นั้นใช้มือซ้ายจับกุมเอาไว้ เนื่องด้วยแรงกระแทกรุนแรงมาก เซียนกระบี่ชุดเขียวจึงจำต้องเบี่ยงศีรษะถึงจะหลบปลายลูกดอกแหลมคมมาได้ มือซ้ายปลดปล่อยพายุหมัด ลูกธนูที่ดีดหักจึงร่วงลงสู่พื้น

กระดานหมากรุกใต้ฝ่าเท้าที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็มีเส้นแสงเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนสิ่งชีวิตที่ไต่คลานขึ้นบนกำแพง เหมือนตาข่ายอาคมปากหนึ่งที่ครอบคลุมร่างคนชุดเขียวในชั่วพริบตา

ฝ่ายชายฉกรรจ์ร่างกำยำก็ง้าวสายปล่อยลูกธนูออกมาไม่หยุด ลูกธนูหกดอกที่ปล่อยไปล้วนถูกบุรุษชุดเขียวตบทิ้ง คนชุดดำที่อยู่บนผิวน้ำกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่ามีแสงกระบี่เส้นหนึ่งสาดยิงออกมาจากร่างของเขา

คนผู้นั้นยื่นมือข้างซ้ายออกมา ใช้ฝ่ามือกำกระบี่บินที่เฉียบคมเล่มนั้นเอาไว้

กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตประตูมังกร อย่างไรก็ยังเป็นกระบี่บิน แล้วนับประสาอะไรกับที่หากพูดถึงแค่ระดับความคมของมันก็ไม่ถือว่าเป็นรองผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทั่วไปแล้ว

เนื่องจากคนผู้นั้นจะต้องสกัดกั้น กักกันกระบี่บิน ต่อให้พอจะเบี่ยงหลบไปได้เล็กน้อย แต่ก็ยังคงถูกลูกธนูดอกหนึ่งยิงทะลุไหล่ซ้าย หลังจากที่ลูกธนูทะลุไหล่ออกไป แรงส่งของมันก็ยังคงรุนแรงน่าครั่นคร้าม นี่แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของลูกธนูตระกูลเซียนชนิดนี้และพละกำลังแขนของคนง้าวสายที่โดดเด่นเหนือผู้ใดได้อย่างชัดเจน

มือขวาถูกวิชาอภินิหารพันธนาการเอาไว้ ไหล่ซ้ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส บวกกับแรงสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณจากยันต์ค่ายกลที่แนบติดรัดพันเรือนกาย เซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นี้ย่อมไม่มีทางที่จะโต้ตอบเอาคืนได้อีกแล้ว

สุยจิ่งเฉิงน้ำตาไหลอาบน้ำ ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างแรงพลางตะโกนก้อง “รีบไปช่วยเจ้านายของเจ้าสิ ต่อให้แค่ลองทำดูก็ยังดี”

แต่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ตรงเอวของนางกลับมีเพียงความเงียบงัน

ใช่ว่าสุยจิ่งเฉิงจะเสียดายชีวิตไม่กล้าพาตัวไปตาย ไม่ใช่ว่านางไม่อยากควบม้ากระโจนออกไป แต่เพราะนางรู้ดีว่า เมื่อนางไป ก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มความอันตรายให้ผู้อาวุโสมากเท่านั้น

นางเริ่มเกลียดแค้นนิสัยชอบคิดคำนวณอย่างเยือกเย็นของตนแล้ว

สุยจิ่งเฉิงกัดฟัน กระทุ้งสีข้างม้า คีบปิ่นทองสามชิ้นออกมาแล้วเริ่มควบม้าตะบึงออกไป อย่างมากก็แค่ข้าสุยจิ่งเฉิงตายก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถทำให้เขาไม่ต้องคอยแบ่งสมาธิมาเป็นห่วงนาง แล้วก็ไม่ต้องถ่วงเวลาการสังหารศัตรูเพื่อเอาตัวรอดของผู้อาวุโสด้วย

เฉินผิงอันที่ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือดสด จิตวิญญาณได้รับการทารุณสะบัดมือซ้าย โยนกระบี่บินในกำมือที่ใกล้จะพันธนาการไม่อยู่ทิ้งไป แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีแค่นี้เองหรือ? ไม่มีท่าไม้ตายแล้วหรือไร?”

นักฆ่าที่ใช้วิชาอภินิหารของลัทธิพุทธมาพันธนาการมือขวาของเซียนกระบี่พูดเสียงทุ้มหนัก “ผิดปกติ! ไหนเลยจะมีคนเป็นที่ถูกทรมานขนาดนี้แล้วยังไม่สะทกสะท้านอยู่ได้!”

มือขวาของเฉินผิงอันห้อยตกลง ปล่อยให้ยันต์ค่ายกลกลบทับเรือนกาย

เขาก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว ร่างหายวับไปจากตำแหน่งเดิม

สังหารอาจารย์ค่ายกลก่อน

นี่ก็คือเรื่องที่เหมาเสี่ยวตงกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากผ่านการเข่นฆ่าที่อันตรายและน่าหวาดหวั่นในเมืองหลวงต้าสุยครานั้น

บุรุษร่างเล็กเตี้ยก็ย่อมต้องรู้ถึงความสำคัญของตัวเอง

จึงดำดินเผ่นหนีไปทันที

กระบี่บินของคนชุดดำบนผิวน้ำและลูกธนูของคนยิงธนูสาดยิงมายังตำแหน่งที่อาจารย์ค่ายกลร่างเล็กเตี้ยยืนอยู่ก่อนหน้านี้แทบจะเวลาเดียวกัน

ทว่าคนชุดเขียวกลับไม่ได้ปรากฏตัวที่นั่น แต่เดินเบี่ยงออกไปห้าหกก้าว มือซ้ายกุมลำคอของสตรีคนนั้น หิ้วตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศ สตรีตายคาที่ จิตวิญญาณถูกพายุหมัดขุ่นคลั่กเหมือนกระแสน้ำท่วมไหล่บ่าระเบิดจนเละในเสี้ยววินาที

โยนศพในมือไปยังลูกธนูดอกที่สอง แล้วเฉินผิงอันก็กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง พื้นดินสั่นสะเทือน

เสียงร้องอื้ออึงดังขึ้น อาจารย์ค่ายกลผู้นั้นแหวกผิวดินออกมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์ร่างกำยำ เฉินผิงอันโบกมือง่ายๆ หนึ่งครั้ง สลายยันต์กักกระบี่และยันต์สีเหลืองแผ่นอื่นๆ ให้แตกกระจุยไปพร้อมๆ กัน

จากนั้นร่างของเขาก็หายไปอีกครั้ง

หนึ่งหมัดต่อยทะลุหน้าอกของชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างไว้ภายใต้ชุดคลุมสีดำ

ห้านิ้วของมือซ้ายที่ทะลุหัวใจไปโผล่ด้านหลังคว้าใบหน้าของอาจารย์ค่ายกลไว้ได้พอดี หัวทั้งหัวของฝ่ายหลังระเบิดปังกระจัดกระจาย

คนชุดดำบนผิวน้ำถอนหายใจหนึ่งครั้ง เก็บกระบี่บินเล่มนั้นมา ร่างดำหายลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว

เหลือเพียงผู้ฝึกลมปราณที่สามารถใช้ผลกรรมมากน้อยจากการเข่นฆ่ามาพันธนาการแขนข้างหนึ่งของผู้ฝึกตน ร่างของเขาพลันทรุดฮวบลงพื้น จิตวิญญาณกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวหลายกลุ่มที่หนีกระจายไปสี่ทิศ

กระบี่บินชูอีสืออู่พุ่งออกไปพร้อมกัน ทิ่มแทงปั่นป่วนควันเขียวแต่ละกลุ่มให้เละเทะอย่างรวดเร็ว

มือขวาของเฉินผิงอันยังคงห้อยต่องแต่ง ไหล่ส่ายไหวน้อยๆ ร่างของเขาเซไปสองสามก้าว แต่ก็ยังเดินสองก้าวพุ่งไปถึงกลางลำธาร ยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่คนชุดดำผู้นั้นหายตัวไปเมื่อครู่ ในมือมีเจี้ยนเซียนเพิ่มขึ้นมา แล้วจ้วงกระบี่แทงลงไป

กระแสน้ำของลำธารทั้งสายพลันระเบิดดังปัง สะเก็ดลูกน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนแตกฉานซ่านเซ็น

เพียงแต่ว่าบริเวณใกล้เคียงกับยอดเขามีเงาร่างเงาหนึ่งแนบติดกับหน้าผา แล้วพลันทะยานตัวขึ้นสูง กลายร่างเป็นสายรุ้งจากไป

เฉินผิงอันปล่อยมือ เจี้ยนเซียนในมือลากเส้นสีทองที่ยาวมากเส้นหนึ่งพุ่งตามไป

อีกทั้งเฉินผิงอันยังกวาดตามองรอบด้าน หรี่ตาประเมินสถานการณ์

กระบี่บินชูอีสืออู่พากันพุ่งกลับจากช่องโพรงสองตำแหน่งเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอัน

สุดท้ายเส้นสายตาของเฉินผิงอันไปหยุดอยู่บนหน้าผาหินฝั่งตรงข้าม แล้วสาวเท้าก้าวเนิบๆ เข้าไปหา “คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบจริงๆ หรือไร? เจ้าไม่ควรเรียกกระบี่บินออกมา ไม่อย่างนั้นข้าก็คงปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้แล้วจริงๆ”

กลางหน้าผาหินมีร่างของคนชุดดำสวมหน้ากากสีขาวหิมะโผล่ออกมาอย่างรวดเร็ว

กระบี่บินของทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ

เฉินผิงอันใช้มือข้างซ้ายกุมหัวใจเอาไว้ ร่องนิ้วคีบกระบี่บินเล่มนั้น ปลายกระบี่ของอีกฝ่ายอยู่ห่างหัวใจของเขาแค่เส้นยาแดงผ่าแปด

แต่หว่างคิ้วและหัวใจของอีกฝ่ายกลับถูกชูอีสืออู่แทงทะลุเป็นรูไปแล้ว

กระบี่บินที่ถูกสองนิ้วของเฉินผิงอันคีบไว้พลันหม่นหมองไร้ประกายแสง ไม่เหลือปราณกระบี่และสติปัญญาอีกแม้แต่น้อย

จากนั้นเขาก็โยนมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

คนชุดดำที่ยังคงเหลือลมปราณอีกเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับรู้ดีว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอนเลือกที่จะฆ่าตัวตาย เขาระเบิดช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งหมด ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้แม้แต่น้อย

เฉินผิงอันพุ่งตัวถอยหลัง พลิ้วกายข้ามผ่านธารน้ำไปยืนอยู่ริมฝั่ง เก็บกระบี่บินสองเล่มกลับมา แล้วปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้ริ้วคลื่นลมปราณที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นสลายหายไป

เจี้ยนเซียนกลับคืนมาหาเขา

ถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในกำมือ มือซ้ายกุมกระบี่ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนหันหน้าไปถ่มเลือดหนาข้นคำหนึ่งทิ้ง

สุยจิ่งเฉิงควบม้าตรงมาหา จากนั้นก็พลิกตัวลงจากหลังม้า

เฉินผิงอันหันหน้ามากล่าวว่า “ไม่เป็นไร”

สุยจิ่งเฉิงกะพริบตาปริบๆ เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่า “อีกฝ่ายไม่มีแผนการอย่างอื่นเหลือรอไว้อีกแล้ว”

คราวนี้น้ำตาถึงได้ทะลักออกจากกรอบดวงตาของสุยจิ่งเฉิง เห็นว่าทั่วร่างของเซียนกระบี่ชุดเขียวเต็มไปด้วยเลือดก็ยิ่งสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “ไหนบอกว่าสนามรบมีกฎของสนามรบ ยุทธภพก็มีกฎของยุทธภพ เหตุใดต้องไปยุ่งกับเรื่องคนอื่น หากไม่มายุ่งก็คงไม่ต้องเปิดศึกใหญ่เช่นนี้…”

เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งยองริมน้ำ ใช้มือซ้ายวักน้ำหนึ่งกอบมือมาล้างหน้า เจี้ยนเซียนตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้าง เขามองลำธารที่ผิวน้ำกลับคืนสู่ความนิ่งสงบ กระแสน้ำไหลริกๆ อีกครั้ง แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเคยบอกกับเจ้าไปแล้ว ใช้เหตุผลที่ซับซ้อนเพื่ออะไรกันแน่? ก็เพื่อให้สามารถออกหมัดออกกระบี่ได้อย่างง่ายดาย”

สุยจิ่งเฉิงเองก็ทรุดตัวลงนั่งยองข้างกายเขา ยกสองมือปิดหน้า สะอื้นไห้เบาๆ

เฉินผิงอันกล่าวว่า “เจ้าโชคดีมาก เจ้าลองไปค้นที่ศพและบริเวณใกล้เคียงกับศพของนักฆ่าเหล่านั้นดู ดูสิว่ามีสมบัติอาคมตระกูลเซียนอะไรให้เก็บมาได้หรือไม่”

สุยจิ่งเฉิงหัวเราะทั้งน้ำตา เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งไปเก็บของเชลยศึก

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ม้าสองตัวก็เลียบเส้นทางเดิมออกไปจากหุบเขา มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น

ร่างของเฉินผิงอันส่ายโงนเงนเล็กน้อย แขนข้างนั้นเริ่มค่อยๆ กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

สีหน้าของสุยจิ่งเฉิงก็ดีขึ้นมาก นางถามว่า “ผู้อาวุโส จะกลับไปทำอะไรหรือ?”

เฉินผิงอันตอบ “ให้ชาวบ้านพวกนั้นตายศพสมบูรณ์”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับอย่างแรง

แต่หลังจากนั้นนางก็รู้สึกผิดเล็กน้อย

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่ต้องรู้สึกเช่นนี้ คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ก็เหมือนอย่างพ่อของเจ้าที่นิ่งดูดายอยู่ในศาลา หากพูดถึงตัวของเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาก็ไม่ถือว่ามีความผิดอะไร ไม่ว่าใครที่มองดูเหตุการณ์อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งเงื่อนไขเรียกร้องกับตัวเองมากเกินไป เพียงแต่ว่าคนบางคน ต่อให้เหตุการณ์นั้นๆ จะไม่มีความผิด แต่ย้อนกลับมาถามใจตัวเองอีกครั้ง กลับจะมีความต่างราวฟ้ากับเหว สุยจิ่งเฉิง ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายได้ จงจำไว้ว่า ยามที่ประสบเคราะห์ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีช่วงเวลาที่มีใจแต่ไร้กำลังได้ทั้งนั้น หากสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นหลังจากจบเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องละอายใจหรือรู้สึกผิดมากเกินไป ไม่อย่างนั้นสภาพจิตใจจะต้องแตกสลายเข้าสักวัน”

สุยจิ่งเฉิงลังเลเล็กน้อย ก่อนหันหน้ามาเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส แม้จะบอกว่าได้รับผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ แต่ถึงอย่างไรก็บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ไม่รู้สึกเสียใจภายหลังเลยหรือ?”

เฉินผิงอันยกมือข้างซ้ายขึ้นชี้ไปด้านหลัง “คำถามประเภทนี้ เจ้าควรจะถามพวกเขามากกว่า”

สุยจิ่งเฉิงไม่ได้หันหลังมองตามนิ้วของเซียนกระบี่ชุดเขียวไป นางเพียงมองเขาอย่างเหม่อลอย

—–