บทที่ 523.3 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ทางฝั่งของหมู่บ้าน

ตั้งแต่ยามสนธยาไปจนถึงยามดึกดื่น และไปจนถึงยามฟ้าสาง

ม้าสองตัวจากมาอย่างเชื่องช้า มุ่งหน้าเดินทางขึ้นเหนือต่ออีกครั้ง

สุยจิ่งเฉิงเงียบงันมาตลอดทาง ตอนที่เห็นว่าผู้อาวุโสปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า นางถึงได้ถามว่า “ผู้อาวุโส ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ เหตุใดท่านถึงได้ยินดีสอนข้ามากมายขนาดนั้น?”

เฉินผิงอันกลับตอบไม่ตรงคำถาม “เจ้ารู้สึกว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวเป็นคนอย่างไร?”

สุยจิ่งเฉิงตอบ “ดีมาก”

เฉินผิงอันถามอีก “แล้วเจ้าคิดว่าพวกลูกศิษย์ที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นสั่งสอนมาล่ะ เป็นคนอย่างไร?”

สุยจิ่งเฉิงตอบอีกครั้ง “แม้ว่าจะไม่รู้นิสัยที่แท้จริงของสามคนนั้น แต่อย่างน้อยมองดูแล้วก็ล้วนไม่เลว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า มีหวังตุ้นแล้ว ก็จะมีเพียงแค่เจ้าหมู่บ้านที่เพิ่มมาคนหนึ่งจริงๆ หรือ? ยุทธภพของแคว้นอู่หลิง ไปจนถึงตลอดทั้งแคว้นอู่หลิง ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากหวังตุ้นคนเดียวไปมากเท่าไร?”

เฉินผิงอันเอ่ยต่อ “ดังนั้นข้าจึงอยากจะเห็นว่า สกุลสุยแห่งแคว้นอู่หลิงในอนาคตที่เมื่อมีผู้ฝึกตนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งแล้ว ต่อให้นางจะไม่ได้อยู่ในจวนตระกูลสุยตลอดเวลา แต่เมื่อนางเป็นตัวแทนของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่ หรือไม่ก็เจ้าประมุขในนามคนถัดไป เมื่อนางได้กลายเป็นใจกลางหลักคนสำคัญตามความหมายที่แท้จริงของสกุลสุยแล้ว ถ้าอย่างนั้นสกุลสุยจะบ่มเพาะขนบธรรมเนียมประจำตระกูลที่คู่ควรกับคำว่า ‘ถูกต้องเที่ยงตรง’ ได้จริงหรือไม่”

สุยจิ่งเฉิงมองเขา

เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเองต่อว่า “ข้ารู้สึกว่ามีความหวัง”

สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ข้ามีภูเขาลั่วพั่ว เจ้ามีตระกูลสุย คนคนหนึ่งอย่าได้หลงระเริงลำพองตนมากเกินไปนัก แต่ก็ไม่ควรดูถูกตัวเองมากเกินไป เป็นเรื่องยากมากที่พวกเราจะเปลี่ยนวิถีทางโลกได้มากมายในคราวเดียว แต่อันที่จริงพวกเราต่างก็กำลังเปลี่ยนแปลงวิถีทางโลกอยู่ตลอดทุกเวลานาที”

สุยจิ่งเฉิงอืมรับหนึ่งที

ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันก็หันหน้ามามองนางคล้ายสงสัย

สุยจิ่งเฉิงมึนงงไม่เข้าใจ “ผู้อาวุโส มีอะไรหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอว “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าคิดจะทุ่มสุดชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แน่นอนว่าดีมาก แต่ข้าก็อยากจะพูดเรื่องที่ไม่น่าสนใจอย่างมากกับเจ้าเรื่องหนึ่ง ยินดีตายแต่กลับต้องมีชีวิตอย่างทุกข์ทน มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อคนอื่น มีแต่จะยิ่งทำให้ตัวเองทุกข์ทรมาน นี่เป็นเรื่องที่ร้ายกาจอย่างมาก แต่กลับไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำความเข้าใจได้ เจ้าอย่าได้ปล่อยให้ความไม่เข้าใจเช่นนี้กลายมาเป็นภาระของตัวเจ้าเอง”

สุยจิ่งเฉิงพลันหน้าแดงก่ำ ถามเสียงดังว่า “ผู้อาวุโส ข้าชอบท่านได้ไหม?!”

สีหน้าของเฉินผิงอันเป็นธรรมชาติ จิตใจนิ่งสงบดุจน้ำนิ่งลึก “ชอบข้า? นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางชอบเจ้า”

สุยจิ่งเฉิงเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร!”

ดูเหมือนเฉินผิงอันจะนึกถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขขึ้นมาได้ เขาคลี่ยิ้มกว้างสดใส ไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงยกนิ้วโป้งให้สุยจิ่งเฉิงที่ขี่ม้าอยู่เคียงกัน “สายตาไม่เลว”

ระหว่างเส้นทางขึ้นเหนือ

“ผู้อาวุโส อย่าดื่มเหล้าอีกเลย เลือดไหลไม่หยุดอีกแล้ว”

“ไม่เป็นไร นี่เรียกว่ามาดของยอดฝีมือ”

“ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงไม่ชอบข้า เป็นเพราะข้าไม่สวยพอหรือ? หรือว่าจิตใจไม่ดีพอ?”

“ไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าดีหรือไม่ดี แม่นางที่ดีทุกคนก็ควรถูกบุรุษที่ดีชื่นชอบ เจ้าชอบเพียงแต่เขา เขาชอบเพียงแต่เจ้า แบบนี้จึงจะถูก แน่นอนว่าอายุของเจ้าก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ไม่ถือว่าเป็นแม่นางน้อยแล้ว”

“ผู้อาวุโส!”

“สุดท้ายนี้จะสอนหลักการเหตุผลที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นสอนข้าให้เจ้า ต้องฟังถ้อยคำไพเราะเหมือนบุปผาโปรยปรายจากสวรรค์ได้ แล้วก็ต้องฟังความจริงที่ระคายหูได้เช่นกัน”

เสียงฝีเท้าม้าดังเป็นระลอก

เดินไปเดินมา ต้นไหวโบราณของบ้านเกิดก็ไม่อยู่แล้ว

เดินไปเดินมา แม่นางที่รักยังอยู่ห่างไกล

เดินไปเดินมา ดอกไม้บนคันดินยังคงผลิบานอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิของทุกปี แต่อาจารย์ที่เคารพนับถือที่สุดกลับไม่อยู่แล้ว

เดินไปเดินมา มือดาบที่เลื่อมใสที่สุดก็ไม่ได้พบเจอกันมานานมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังสวมงอบหรือไม่ แล้วจะหากระบี่ดีๆ เล่มหนึ่งเจอหรือยัง

เดินไปเดินมา ไม่รู้ว่าเพื่อนที่ดีที่สุดได้พบเห็นภูเขาที่สูงที่สุด แม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดแล้วหรือยัง

เดินไปเดินมา เจ้าเด็กขี้มูกยืดในอดีตที่ถูกคนรังแกมาโดยตลอดกลายเป็นคนที่พวกเขาเคยรังเกียจที่สุด

เดินไปเดินมา บนเท้าก็ไม่ได้สวมรองเท้าสานมานานหลายปีแล้ว

……

ลูกศิษย์คนหนึ่งของหวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวที่มีนามว่าลู่จัวส่งจดหมายออกไปหนึ่งฉบับ

ภายหลังก็มีคนที่ทำหน้าที่รับจดหมายรับจดหมายฉบับนี้มาแล้วใช้วิธีการของตระกูลเซียนอย่างการส่งข่าวด้วยกระบี่บิน ส่งจดหมายไปให้กับคนบนภูเขาแซ่ฉีคนหนึ่ง

ลู่จัวกับคนผู้นั้นเคยพบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพ ต่างคนต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นคนรู้ใจของตน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว สหายคนนั้นคือลูกรักแห่งสวรรค์ที่แท้จริง หันกลับมามองลู่จัว พรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธธรรมดาอย่างมาก ไม่พูดถึงผู้ฝึกตนมากมายดารดาษบนภูเขา เอาแค่เปรียบเทียบกับฟู่โหลวไถ หวังจิ้งซานและคู่ศิษย์น้องชายหญิงที่อยู่ในสำนักเดียวกัน ลู่จัวก็ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ย่ำแย่มากที่สุด ดังนั้นลู่จัวจึงคิดว่าตำแหน่งสุดท้ายของตนในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวก็คือสามารถรับช่วงต่อผู้ดูแลใหญ่ที่อายุมากแล้วคนนั้นได้ จะดีจะชั่วก็ยังได้ช่วยแบ่งเบาภาระงานยิบย่อยส่วนหนึ่งมาจากศิษย์พี่หวังจิ้งซาน

ลู่จัวชอบหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว ชอบความครึกครื้นและผู้คนที่สามัคคีปรองดองของที่นี่

อาจารย์และคนร่วมสำนักต่างก็ให้การดูแลเขาเป็นอย่างดี เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถใดที่จะดูแลพวกเขาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยดูแลคนบางส่วนที่เขาสามารถดูแลได้ให้มากหน่อย ยกตัวอย่างเช่นพวกสตรี เด็กและคนชราในหมู่บ้าน

เวลาปกติลู่จัวชอบมองดูหวังจิ้งซานถ่ายทอดวิชากระบี่ให้แก่ศิษย์น้องเล็กอย่างมีความรับผิดชอบและละเอียดรอบคอบ

ศิษย์น้องหญิงเล็กมักจะชอบหงุดหงิดที่ตัวเองผิวดำไปสักหน่อย ไม่งดงามสดใสมากพอ แล้วนับประสาอะไรกับที่วิชาดาบของนางก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างชั้นจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปอักโข ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้จะไล่ตามอีกฝ่ายทันหรือไม่ ลู่จัวเองก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจนางอย่างไร เพียงแต่เขาก็ยินดีจะรับฟังคำบ่นด้วยความกลัดกลุ้มของนางอยู่เสมอ

อาจารย์ที่ไม่ได้ออกไปท่องยุทธภพมานานหลายปีแล้ว เวลานี้ได้ออกไปจากหมู่บ้านอีกครั้ง

ลู่จัวไม่รู้ว่าคราวนี้อาจารย์จะนำเรื่องราวในยุทธภพแบบใดกลับมา

หวังตุ้นจากไปอย่างเงียบเชียบ แต่กลับไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่นอกยุทธภพ ไปหาฟู่โหลวไถลูกศิษย์ใหญ่

ที่นั่นเป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านภูเขามาช่วงระยะทางหนึ่ง ดื่มเหล้ากับบุรุษธรรมดาสามัญผู้นั้น

ลูกศิษย์ฟู่โหลวไถเรียนทำอาหารจนพอจะทำเป็นบ้างแล้ว นางจึงเข้าครัวด้วยตัวเองลงมือทำกับแกล้มสามจาน รสชาติไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวเลยจริงๆ ถั่วลิสงคั่วเกลือเค็มเกินไป แผ่นรากบัวก็จืดเกินไป ได้แต่กล้อมแกล้มให้ผ่านคอไปเท่านั้น เพียงแต่เมื่อเห็นสายตาของลูกศิษย์กับใบหน้าประดับยิ้มของคนหนุ่มผู้นั้น หวังตุ้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะถึงอย่างไรสุราก็ยังรสชาติใช้ได้ น่าเสียดายที่เขาเป็นคนเอามาเอง อันที่จริงในหมู่บ้านยังมีเหล้าโซ่วเหมยเก็บไว้อีกหลายไห

บุรุษผู้นั้นคุยไม่เก่ง เพียงแค่ดื่มเหล้าอย่างเดียว แล้วก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำไพเราะจับใจอะไร ทุกๆ ช่วงหนึ่งที่หวังตุ้นเล่าเรื่องน้อยใหญ่ในหมู่บ้านจบลง บุรุษก็จะเป็นฝ่ายดื่มคารวะ หวังตุ้นเองก็ดื่มตามเขาไปด้วย

ฟู่โหลวไถนั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

เหล้าหนึ่งกา ต่อให้บุรุษตัวโตสองคนจะดื่มช้าแค่ไหน อันที่จริงก็ดื่มได้ไม่นานเท่าไร

สุดท้ายหวังตุ้นเอ่ยว่า “ดื่มเหล้ากับเจ้าไม่แย่ไปกว่าดื่มเหล้ากับเซียนกระบี่ผู้นั้นเลย วันหน้าหากมีโอกาส แล้วเซียนกระบี่ผู้นั้นมาเยือนหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวอีกครั้ง ข้าจะต้องถ่วงเวลาเขาไว้สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วเรียกเจ้ากับโหลวไถไปพบเขาให้ได้”

บุรุษเริ่มร้อนใจ เขารีบวางถ้วยเหล้าและตะเกียบลง “อย่าเลยๆ คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก นั่งร่วมโต๊ะกับเซียนกระบี่ ข้าคงพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ”

หวังตุ้นยิ้มกล่าว “พวกเจ้าต้องคุยกันได้ถูกคอแน่นอน เชื่อข้าเถอะ พอคุยกันแล้ว ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเจ้าลูกกระต่ายคนใดในหมู่บ้านยังจะกล้าดูแคลนเจ้าอีก”

บุรุษที่ใบหน้าแดงก่ำลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “โหลวไถอยู่กับข้า เดิมทีก็ถือว่าได้รับความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้าอยู่แล้ว พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักของนางไม่ชอบใจ นี่ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเขาเองก็ดีมาก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังคงหวังดีกับนาง พอเข้าใจเรื่องพวกนี้ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้รู้สึกแย่สักเท่าไร กลับกันยังดีใจอย่างมาก มีคนมากมายเห็นข้อดีในตัวภรรยาของตนเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องดี”

หวังตุ้นยกกาเหล้าขึ้นมาเทเหล้าใส่ชาม เหลือเหล้าอีกแค่ไม่หยดเท่านั้น เขาผายมือบอกเป็นนัยแก่ฟู่โหลวไถว่าไม่ต้องหยิบเหล้ากาใหม่ แล้วพูดกับคนหนุ่มว่า “เจ้าคิดได้แบบนี้ โหลวไถติดตามเจ้าก็ไม่ถือว่าต้องกล้ำกลืนสักเท่าไร”

หวังตุ้นเปิดห่อผ้า หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา “ของขวัญอย่างอื่นข้าไม่มีหรอก ได้แต่เอาสุราดีมาฝากพวกเจ้า ตัวข้าเองก็มีอยู่แค่สามกา กาหนึ่งข้าดื่มไปเกินครึ่งแล้ว อีกกาหนึ่งเก็บไว้ในหมู่บ้าน กะว่าวันใดที่ล้างมือลาออกจากวงการแล้วค่อยดื่ม นี่เป็นกาสุดท้ายแล้ว”

ฟู่โหลวไถเป็นคนตาดีมองของออก จึงถามว่า “อาจารย์ คือเหล้าหมักตระกูลเซียนหรือ?”

หวังตุ้นยิ้มพลางพยักหน้ารับ “หลังจากประมือกับเซียนกระบี่คนนั้น อีกฝ่ายเห็นว่าคุณธรรมของข้าสูงส่งกว่าวรยุทธก็เลยมอบให้สามกา ช่วยไม่ได้ คนเขายืนกรานจะยกให้ให้ได้ จะห้ามก็ห้ามไม่อยู่”

ฟู่โหลวไถยิ้มกล่าว “คนอื่นไม่รู้ แต่ข้าก็จะไม่รู้ด้วยหรือ? อาจารย์ท่านยังพอจะมีเงินเทพเซียนอยู่บ้าง ใช่ว่าจะซื้อดื่มไม่ไหวเสียหน่อย”

หวังตุ้นส่ายหน้า “ไม่เหมือนกัน คนบนภูเขาที่มีกลิ่นอายของยุทธภพ มีไม่มาก”

ฟู่โหลวไถเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา “นี่ไม่ใช่กำลังโอ้อวดว่าตัวเองเคยดื่มสุรากับเซียนกระบี่มาก่อนหรอกหรือ? หากข้าเดาไม่ผิด เหล้ากาที่เหลืออยู่ พอออกไปจากที่นี่ ท่านก็คงจะเอาไปดื่มร่วมกับสหายเก่าแก่ในยุทธภพพวกนั้นสินะ แล้วก็จะได้ถือโอกาสเล่าว่าตัวเองได้ประมือกับเซียนกระบี่ให้พวกเขาฟังด้วย?”

บุรุษกระตุกชายแขนเสื้อของนางเบาๆ ฟู่โหลวไถกล่าว “ไม่เป็นไร อาจารย์”

หวังตุ้นสบถด่าอย่างฉุนๆ ปนขัน “ลูกสาวที่ออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป! ไปแล้วๆ ไม่ต้องมาส่ง วันหน้ามีเวลาว่างก็แวะไปที่หมู่บ้านบ้าง ที่นั่นก็เป็นบ้านของเจ้าเหมือนกัน”

สองสามีภรรยายังคงมาส่งที่หน้าประตูบ้าน แสงสนธยาลากเงาแผ่นหลังของผู้เฒ่าให้ทอดยาว

บุรุษกุมมือของนางไว้เบาๆ พูดอย่างละอายใจว่า “ถูกคนในหมู่บ้านดูแคลน อันที่จริงในใจข้าก็มีปมอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ที่พูดกับอาจารย์ของเจ้าล้วนเป็นคำโกหกทั้งนั้น”

นางกุมมือเขากลับเบาๆ “ไม่เป็นไร ข้ารู้ดี อันที่จริงอาจารย์เองก็รู้”

……

ตู้อวี๋ไม่ได้ย้อนกลับตำหนักขวานผีในทันที แต่ออกไปท่องยุทธภพอยู่เพียงลำพัง

ความไม่สงบมากมายในยุทธภพ รวมไปถึงความขัดแย้งของผู้ฝึกตนบนภูเขาบางส่วน ตู้อวี๋ยังคงเลือกที่จะนิ่งดูดาย ตอนนี้เขาเห็นใครก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือที่อำพรางตัวลึกล้ำไปเสียหมด ยังไม่อาจปรับตัวได้ในทันทีทันใด

เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อไหร่ถึงจะสามารถเป็นคนดีที่มีจิตใจของจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรมได้เสียทีเล่า?

ผลคือมีครั้งหนึ่งที่ไปเจอกับการไล่ฆ่าในยุทธภพที่ศักยภาพแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือบุรุษตัวโตๆ กลุ่มใหญ่ที่มีหน้ามีตาของเส้นทางสายมืดกลุ่มหนึ่งที่กำลังไล่ฆ่าลูกศิษย์สายขาวคนหนึ่ง

ตู้อวี๋ใช้ความเร็วดั่งฟ้าร้องคนไม่ทันป้องหูซัดพวกชายชาตรีแห่งยุทธภพเหล่านั้นจนหมอบ จากนั้นพอแบกคนหนุ่มขึ้นบ่าได้ก็เผ่นหนีทันที วิ่งออกมาได้สักสิบกว่าลี้ก็โยนคนที่ถูกเขาช่วยลงบนพื้น ส่วนตัวเขาเองก็เผ่นหนีไปเหมือนกัน

ไม่เพียงแต่คนหนุ่มผู้นั้นที่นั่งเหม่ออยู่บนพื้น อึ้งตะลึงอยู่กับที่ พวกโจรในยุทธภพที่อยู่ห่างไกลออกไปก็รู้สึกประหลาดใจไม่ต่างกัน

……

สำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูก

นครปี้ฮว่าเหลือร้านค้าอยู่แค่ร้านเดียว กิจการซบเซา แต่เนื่องจากเหลือเพียงหนึ่งร้านจึงพอจะฝืนประคับประคองตัวเอาไว้ได้ ยังคงมีลูกค้าที่มาเยือนเพราะเคยได้ยินชื่อเสียงแวะเวียนมา

วันนี้ผังหลันซีมีเวลาว่างอย่างที่หาได้ยาก เขาจึงลงจากภูเขามาช่วยงานในร้าน

แม้จะบอกว่าการฝึกตนของผังหลันซียุ่งและหนักมากขึ้นทุกที จำนวนครั้งที่คนทั้งสองได้พบหน้ากัน เมื่อเทียบกับในอดีต อันที่จริงก็ถือว่าน้อยลงเรื่อยๆ

แต่เด็กสาวกลับมีสีหน้าแช่มชื้นดวงตาสดใส นางไม่เคยวาดหวังถึงชีวิตในอนาคตมากเท่าตอนนี้มาก่อน

ต่อให้เป็นตอนที่ไม่ได้พบผังหลันซี นางก็ยังกลัดกลุ้มน้อยลงไปจากเดิมมาก

……

หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูนั่งนิ่งอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง

มีเพียงผู้ฝึกตนจำนวนน้อยนิดเพียงหยิบมือซึ่งรวมถึงเจ้าตำหนักจินอูที่รู้ว่าอาจารย์อาน้อยผู้นี้เริ่มปิดด่านแล้ว อีกทั้งระยะเวลายังไม่ใช่สั้นๆ ดังนั้นช่วงนี้ตำหนักจินอูจึงปิดภูเขา

ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมาบนภูเขา

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดหลิ่วจื้อชิงถึงได้นั่งปิดด่านอยู่บนยอดเขา ในบรรดากลุ่มคนที่เดิมทีก็มีน้อยจนนับนิ้วได้กลับไม่มีใครสักคนที่รู้ แล้วก็ไม่มีใครกล้าพอจะเอ่ยถาม

……

ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนลำคลองเหยาเย่ช่วงบนของชายหาดโครงกระดูก

สามีภรรยาที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระคู่หนึ่งได้เข้ามาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนหลายวันแล้ว เมื่อในที่สุดสตรีที่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตก็เดินออกมาจากห้อง น้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อคลอดวงตาของบุรุษ

คนทั้งสองเดินเข้าไปในห้องด้วยกัน หลังจากปิดประตูลงแล้ว สตรีก็เอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเรายังเหลือเงินเกล็ดหิมะอีกตั้งมาก”

นางเช็ดน้ำตา “ข้ารู้ว่าหลังจากที่มอบโครงกระดูกขาวพวกนั้นให้พวกเราในหุบเขาผีร้าย เซียนกระบี่ก็ไม่มีความคิดที่จะย้อนกลับมาหาพวกเราที่ตลาดด่านไน่เหอ นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”

บุรุษยิ้มกล่าว “ค้างไว้ เหลือไว้ก่อน จะมีหรือไม่มีโอกาสได้พบผู้มีพระคุณคนนั้น ชีวิตนี้พวกเราจะตอบแทนเขาได้หรือไม่ เป็นเรื่องของพวกเรา แต่คิดจะตอบแทนหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องของพวกเราอีกเหมือนกัน”

……

ภายใต้การวางแผนอย่างลับๆ โดยมีเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นเป็นผู้ออกแรงและออกเงิน

ศาลเทพอัคคีของเมืองสุยเจี้ยก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ มีเทวรูปหลากสีสันองค์ใหม่ถูกนำมาตั้งวาง

ควันธูปโชติช่วงรุ่งเรือง

ส่วนศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนั้นกลับยังสร้างไม่เสร็จเสียที และทางฝั่งของราชสำนักก็ยังไม่ได้แต่งตั้งเทพอภิบาลเมืองคนใหม่

ในเมืองสุยเจี้ย

เด็กหนุ่มของตรอกเก่าโทรมคู่หนึ่งถูกอันธพาลวัยฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งดักปิดหัวท้ายของตรอกเล็ก ในมือพวกเขาถือไม้กระบอง แสยะยิ้มเดินเข้ามาใกล้

เด็กหนุ่มสูงใหญ่คนหนึ่งในนั้นใช้สองมือค้ำยันผนังสองด้าน เพียงไม่นานก็ป่ายปีนขึ้นไปถึงบนหัวกำแพง

เด็กหนุ่มร่างผอมบางอีกคนทำตาม เพียงแต่ช้ากว่าจึงถูกคนผู้หนึ่งกระชากข้อเท้าลงมาอย่างแรง ร่างของเขาร่วงกระแทกพื้น ก่อนที่ไม้กระบองจะฟาดใส่หัว

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งใช้แขนบังศีรษะเอาไว้

ถูกกระบองตีจนต้องถอยเข้าไปชิดผนัง

เด็กหนุ่มที่เดิมทีสามารถหนีไปได้แล้วกระโดดลงมาเบาๆ เนื่องจากห่างจากพื้นมาค่อนข้างไกล เด็กหนุ่มที่เรือนกายปราดเปรียวต้องเหยียบบนผนังซ้ายขวาของตรอกเล็กอยู่หลายครั้ง พอกระโดดลงมายืนบนพื้นก็สาวหมัดต่อยคนสองสามคนอย่างมั่วซั่ว ทว่าสองหมัดก็ยังคงหนีไม่พ้นสี่มือ เพียงไม่นานก็ถูกไม้กระบองรุมฟาด แต่กระนั้นเขาก็ยังพยายามปกป้องเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งด้านหลังที่ร่างแนบติดกำแพงอย่างสุดกำลัง

สุดท้ายศีรษะของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ถูกคนกดลงบนพื้น ส่วนเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งก็ถูกตีจนร้องกลิ้งโอดโอยติดอยู่กับผนัง

อันธพาลวัยฉกรรจ์คนหนึ่งกระทืบลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เขายื่นมือออกมา บอกให้คนนำถ้วยขาวใบหนึ่งที่เตรียมมาไว้ก่อนแล้วออกมา ฝ่ายหลังบีบจมูก วางถ้วยขาวใบนั้นลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว

“กล้าทำลายเรื่องดีๆ ของพวกเราก็ควรให้พวกเจ้าได้รับบทเรียนเสียบ้าง”

ชายฉกรรจ์โยนเงินเหรียญทองแดงพวงหนึ่งไว้ข้างถ้วยขาว “เห็นหรือยัง ข้าวและเงินล้วนเตรียมไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว กินของในจานนี้หมด เงินนี้ก็เป็นของพวกเจ้า หากกินได้เร็ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้เศษเงินไปอีกเม็ดหนึ่ง หากไม่กิน ข้าก็จะตีขาของพวกเจ้าให้หัก”

ให้ตายอย่างไรเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ไม่ยอม

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งร้องโอดครวญขึ้นมาอีกครั้ง ที่แท้ก็ถูกคนฟาดกระบองเข้าที่แผ่นหลัง

สุดท้ายอันธพาลกลุ่มนั้นก็จากไปพร้อมเสียงหัวเราะครื้นเครง แน่นอนว่าไม่ลืมเก็บเงินเหรียญทองแดงพวงนั้นไปด้วย

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งยองอยู่มุมกำแพง อาเจียนไม่หยุด

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งที่ใบหน้าเขียวจมูกช้ำกอดเข่านั่งพิงกำแพงส่งเสียงร่ำไห้

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน สุดท้ายมานั่งอยู่ข้างสหาย “ไม่เป็นไร สักวันหนึ่งพวกเราต้องได้แก้แค้นแน่”

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งเงียบไปนาน เขาหยุดร้องไห้แล้ว แต่นั่งเหม่อลอยแทน สุดท้ายถึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าอยากเป็นคนแบบเซียนกระบี่”

เขาเช็ดน้ำตา ไม่กล้ามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ข้างกาย “โง่มากเลยใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ลูบศีรษะของเขา “ได้สิ มีอะไรที่ไม่ได้กันเล่า ไม่แน่ว่าตอนที่เซียนกระบี่ผู้นั้นอายุเท่าพวกเราอาจสู้พวกเราไม่ได้ด้วยซ้ำ! เจ้าชอบวิ่งไปแอบฟังอาจารย์ผู้เฒ่าสอนหนังสือที่โรงเรียนเป็นประจำไม่ใช่หรือ ประโยคนั้นที่ข้าชอบมากที่สุดพูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งเอ่ยตอบ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น!”

จากนั้นเขาก็ก้มหน้าพูดว่า “แต่ต่อให้ข้ามีความสามารถแล้วก็ไม่อยากเป็นอย่างคนพวกนี้ที่ดีแต่รังแกคนไม่มีทางสู้”

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร รอให้พวกเราได้เป็นคนอย่างเซียนกระบี่เมื่อไหร่ เจ้าก็ทำแต่เรื่องดีๆ โดยเฉพาะ ส่วนข้า…ก็จะไม่ทำเรื่องเลวร้าย แต่จะรังแกเฉพาะคนเลว! มา ตีมือแทนคำสาบาน!”

เด็กหนุ่มสองคนยกฝ่ามือขึ้นสูงแล้วตีมือกันหนักๆ

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หันหน้ามาพ่นลมหายใจใส่เขา “หอมหรือไม่?”

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งรีบผลักอีกฝ่ายออกไป คนทั้งสองผลักกันไปผลักกันมา ไม่นานก็ต้องแสยะปากร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ สุดท้ายก็พากันหัวเราะเสียงดัง

พวกเขาแหงนหน้ามองไปด้านบนด้วยกัน ตรอกเล็กคับแคบ ฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่ดูคล้ายว่าจะมีเพียงแสงสว่างและทางออกแค่เส้นเดียว

แต่ถึงอย่างไรแสงสว่างเส้นนั้นก็อยู่เหนือศีรษะของเด็กหนุ่มทั้งสอง อีกทั้งพวกเขาก็มองเห็นมันแล้ว

—–