บทที่ 111 ป่าหอคอย
พวกเขาเข้ามาในดินแดนมืดครึ้มแห่งหนึ่ง
มองไม่เห็นแสงจากเมืองเบื้องล่าง เผ่าวิญญาณไม่จำเป็นต้องใช้แสงอยู่แล้ว
พวกเขาเคลื่อนกายดั่งภูตผี โลกมืดสลัวเหมาะสมกับพวกเขามากกว่า
แต่ทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่บุกรุกเข้ามานั้นไม่คุ้นเคยกับโลกสลัวรอบกายสักนิด
ปักษาผู้หนึ่งใช้วิชาแสงขึ้นมา
แต่พริบตานั้น วิชาอาร์คาน่าทั้งหลายก็ดับแสงนั่นลงทันใด
“อย่าจุดไฟ! พวกมันรอซุ่มโจมตีเราอยู่ในความมืด!” คนหนึ่งร้องขึ้น
แค่เพียงเพราะเข้ามาในแดนใต้ดินได้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว แต่ศึกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นต่างหาก
พื้นที่มืดมิดส่งผลให้เผ่าวิญญาณมีโอกาสโจมตีอยู่มาก พวกเขาซุ่มซ่อนอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก โจมตีใครก็ตามที่ใช้วิชาแสง กลืนกินเข้าไปในความมืดมิด
เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลดีกับกองทัพหลากเผ่าพันธุ์ ใครที่คิดจะจุดแสงเพื่อให้มองเห็นได้มากขึ้นจะถูกความมืดมิดสังหารสิ้น แสงสลัวภายในถ้ำยิ่งทำให้มองเห็นยากขึ้นไปอีก แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีวิชามากมายที่ทำให้มองเห็นในความมืดได้ เผ่าวิญญาณก็สามารถใช้วิชาอาร์คาน่ามืดได้เช่นกัน
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายมีวิชาหักล้างกันเช่นนี้ ความมืดมิดจึงเป็นความมืดของจริง ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
การต่อสู้ดุเดือดเริ่มต้นขึ้นในความมืดมิดนั้น
การลอบโจมตีของเผ่าวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
แม้กองทัพมนุษย์ คนเถื่อน และปักษาจะบุกเข้าไปอย่างไม่ลดละ แต่ก็ถูกเผ่าวิญญาณโจมตีกลับมา
การลอบโจมตีส่งผลให้พวกเขาเสียกองกำลังไปเป็นจำนวนมาก
แต่หากเผ่าวิญญาณคิดว่าจะสามารถเอาชนะได้ด้วยวิธีเช่นนี้ก็คงผิดมหันต์แล้ว
หัวหน้าคนเถื่อนผู้หนึ่งพลันร้องขึ้น “นักรบฝนเลือดทั้งหลาย เราจะสู้จนตัวตาย! บุกเข้าไปเลย!!!”
“ย๊ากกกก!”
คนเถื่อนกลุ่มใหญ่คำรามลั่นขึ้นพร้อมกัน
อักขระโทเทมบนร่างกายเริ่มส่องแสงสีแดงเข้มขึ้นมา จิตวิญญาณกระหายการต่อสู้พุ่งขึ้นสูง
จากนั้นคนเถื่อนก็พุ่งออกไปราวพายุกระหน่ำ ทำลายล้างทุกสิ่งอย่างที่ขวางทาง
เผ่าวิญญาณใช้วิชาอาร์คาน่า ทว่าคนเถื่อนไม่สนใจ พุ่งผ่านไปไม่ไยดี ร่างกายอันแข็งแกร่งและความทนทานต่อพลังต้นกำเนิดอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้บ่มเพาะพลังได้ลำบาก แต่ก็เป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาสามารถต้านรับพลังอำนาจของวิชาอาร์คาน่าได้เช่นเดียวกัน
ในขณะที่ต้านรับการโจมตีที่ซัดเข้ามาจากทั่วทุกทิศทาง เผ่าปักษาเบื้องหลังก็ฉวยโอกาสใช้วิชาอาร์คาน่าซัดออกไปทุกทิศทางเช่นกัน ความแม่นยำนั้นไม่สำคัญ แค่ซัดออกไปให้ตรงจุดก็พอ เผ่าวิญญาณจำนวนมากร้องเสียงโหยหวนอยู่ภายในความมืด ถูกบีบให้ล่าถอยไป
“จัดการมันเลย!”
ดาบจำนวนมากพุ่งออกไป ไล่ล่าเผ่าวิญญาณจากด้านหลัง
แต่ก็ไร้หยาดเลือดสาดกระเซ็น เพราะเมื่อดาบแทงเข้าที่ด้านหลัง เผ่าวิญญาณก็ร้องเสียงเจ็บปวดออกมา ก่อนจะล้มหน้าคว่ำแน่นิ่งไป
แม้สามารถสังหารเผ่าวิญญาณได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ขวัญกำลังใจเพิ่มสูงขึ้นมาก ที่สำคัญคือพวกเขาได้วิธีจัดการศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพมาแล้ว
ความร่วมมือของกองทัพทั้งสามจึงเริ่มผลิดอกออกผล
คนเถื่อนเป็นโล่ เผ่าปักษาลองเชิง เผ่ามนุษย์ลงมือสังหาร ทัพใหญ่รุดหน้าไปเช่นนี้ กดดันเผ่าวิญญาณให้ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
ผลก็คือไม่มีการลอบโจมตีจากความมืดอีก พวกเขาสามารถหยุดมันได้เร็วกว่าที่คิดไว้
ถึงตอนนี้ ทหารทั้งหลายที่เข้ามาในถ้ำใต้ดินเป็นกลุ่มแรกก็พ้นเขตมืดมิดมาแล้ว ตอนนี้เข้าสู่ทุ่งหญ้ากว้างขวางแห่งหนึ่ง
น่าแปลกที่จู่ ๆ แสงสว่างก็ปรากฏขึ้น
มันมาจากดวงจันทร์เทียมที่อยู่ไกลออกไป เปล่งแสงอันอ่อนโยนโอบล้อมบริเวณโดยรอบในที่สุด เหล่าทหารก็สามารถมองเห็นพื้นดินใต้ฝ่าเท้าตนเองได้
เป็นทุ่งหญ้าที่ไร้พืชพรรณอย่างแท้จริง ภายในถ้ำว่านไหลไม่มีทรัพยากรใดเติบโตอยู่เลย มีเพียงหินและแร่เท่านั้น
เผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ คงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
ตรงข้ามของทุ่งหญ้าคือปราสาทสูงตระหง่านแห่งหนึ่งตั้งอยู่
คือเมืองแห่งความมืดมน!
นี่ต้องเป็นเมืองแห่งความมืดมนไม่ผิดแน่
“เมืองแห่งความมืดมนปรากฏสู่สายตาเสียที” กูเทียนเยวี่ยถอนใจ
“เผ่าวิญญาณจะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากในวันนี้!” หลงเจ๋อเอ่อร์ร้องเสียงตื่นเต้น
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นเกินไป” ซูเฉินราดน้ำเย็นใส่ “เราสังหารเผ่าวิญญาณที่พบมาก่อนหน้าได้บางส่วนก็จริง แต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของเผ่าวิญญาณทั้งหมดด้วยซ้ำ มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกลรวบรวมพวกเขามาไว้ที่นี่ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นน่าจะมีราวแสนตน”
เมื่อได้ยินจำนวน หลงเจ๋อเอ่อร์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
สำหรับเผ่าวิญญาณแล้ว จำนวนนี้นับว่าไม่ใช่น้อย เพราะแต่ละตนก็มีกำลังสูงส่งอยู่แล้ว แล้วยังมีทาสรับใช้ มีหุ่นเชิด มีอาวุธอีกมากมาย รวมกันแล้วก็ได้เป็น 3-5 แสน ยิ่งอีกฝ่ายได้ประโยชน์ด้านภูมิศาสตร์ เห็นได้ชัดเลยว่าต้องเกิดศึกใหญ่ขึ้นเป็นแน่
ทำให้หลงเจ๋อเอ่อร์ไม่ยินดีเท่าไหร่ “เช่นนั้นนิกายไร้ขอบเขตก็ไม่ได้บุกเข้ามาหรือ? เป็นเผ่าวิญญาณที่ปล่อยให้เข้ามาหรือไร?”
ตานปาพลันเอ่ย “หลงเจ๋อเอ่อร์ อย่าเสียมารยาท ผีพวกนั้นไม่มีทางปะทะกับเจ้าตรง ๆ หรอก แต่ละตนจะหนีไปเมื่อไหร่ก็ยังได้ ทั้งทรงพลังและเจ้าเล่ห์ สังหารได้ยากเย็น ที่นิกายไร้ขอบเขตสามารถสังหารศัตรูได้มากเท่านี้ก็เก่งมากแล้ว ตอนนี้เผ่าวิญญาณรวมพลเต็มกำลังเพื่อต่อสู้กับพวกเรา อย่างไรก็เลี่ยงศึกใหญ่ไม่ได้ ที่พวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็เพราะเจ้านิกายซู”
หลงเจ๋อเอ่อร์จึงเงียบไปด้วยท่าทีไม่พอใจ
“แต่พวกเจ้าก็อาจเสียหายหนักเพราะพวกเราเช่นกัน” ซูเฉินเอ่ยเสียงสงบ “ข้าอดรู้สึกไม่ได้ว่าเผ่าวิญญาณยังมีไพ่ตายเหลืออยู่ และต้องรับมือไม่ง่ายแน่ พลั้งเผลอเพียงนิดก็อาจทำให้อีกฝ่ายพลิกสถานการณ์ได้เลย”
“คิดเรื่องนั้นไปก็เปล่าประโยชน์แล้ว อย่างไรข้าก็ไม่มีทางทิ้งโอกาสสังหารเผ่าวิญญาณในคราวเดียวไปได้หรอก” ตานปาตอบเสียงเรียบ
กูเทียนเยวี่ยคำราม “พวกข้าเผ่าปักษาย่อมทำคำสั่งฝ่าบาทให้สำเร็จแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต”
ซูเฉินพยักหน้า “ในเมื่อทุกคนยังมีจิตฮึกเหิมจะสู้ เช่นนั้นพวกเราก็จะสู้ จะดีหรือร้ายก็ต้องลองดู”
ทั้ง 3 เผ่าจึงเริ่มส่งสัญญาณตามลำดับ
ทหารจึงเข้าประจำการและเตรียมโจมตี
คนเถื่อนเป็นกองกำลังภาคพื้นดิน รับหน้าที่ประจำการอยู่จุดกลาง
เผ่ามนุษย์และเผ่าปักษาขนาบซ้ายขวาคนเถื่อนราวกับเป็นปีก
ซึ่งก็เป็นปีกของจริง ในเมื่อพวกเขาสามารถบินได้
น่าเสียดายที่พื้นที่ใต้ดินนั้นมีจำกัด ผู้เชี่ยวชาญพลังลอยอยู่เหนือพื้นดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนเถื่อนไม่จำเป็นต้องใช้วิชาระยะไกลเพื่อโจมตีให้รอบระยะเลย
นี่เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษของการต่อสู้ใต้ดิน เมื่อมาอยู่ใต้ดินแล้ว คนเถื่อนก็จะสามารถสำแดงพลังได้อย่างเต็มที่
ทหารทั้งหลายจึงเริ่มรุดหน้าเข้าสู่เมืองแห่งความมืดมน
เมื่อเข้ามาใกล้ เมืองแห่งความมืดมนก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ความงดงามของเมืองช่างสมกับเป็นเผ่าวิญญาณเสียจริง
เมืองแห่งความมืดมนไร้กำแพงกั้น ไร้การป้องกันใด เว้นเสียแต่หอคอยสูงทั้งหลายที่ตั้งตระหง่านเท่านั้น
หอคอยเหล่านี้เป็นสถานที่อาศัยของเผ่าวิญญาณ เป็นที่ตั้งห้องวิจัยของพวกเขา และเป็นสถานที่ที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขาด้วย เผ่าวิญญาณที่ขึ้นสู่ระดับกลางได้จะได้รับหอคอยปกป้องหนึ่งแห่งภายในเมืองแห่งความมืดมน
และเมืองแห่งความมืดมนก็ขยับขยายผ่านการสร้างหอคอยเช่นนี้
หากไม่มีหอคอยที่เหมาะสมว่างเมื่อมีเผ่าวิญญาณขึ้นสู่ระดับกลาง พวกเขาก็จะสร้างมันขึ้นใหม่ที่ชานเมือง
ดังนั้นจำนวนหอคอยจึงเป็นเครื่องแสดงความแข็งแกร่งของเผ่าวิญญาณ
คร่าว ๆ ก็มีราวหนึ่งแสนหอคอยทีเดียว
พวกมันคือเมืองแห่งความมืดมน และเป็นปราการป้องกันเมืองด้วย
ถูกต้องแล้ว เมืองแห่งความมืดมนไม่มีเครื่องป้องกันอื่นใดอีก หอคอยทั้งหลายเหล่านี้เป็นปราการเดียวที่พวกมันมี แต่ก็ทรงอิทธิพลและน่ากลัวเป็นยิ่งนัก
ซูเฉินได้ข้อมูลเมืองแห่งความมืดมนคร่าว ๆ มาจากเหยียนท่า ฟังจากสิ่งที่เขาเล่า หอคอยแต่ละแห่งของเมืองเป็นอาวุธที่มีพลังป้องกันสูง หากเผ่าวิญญาณสู้อยู่ภายในหอคอยจะมีพลังเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า หอคอยยังสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าได้อีก แน่นอนว่าหอคอยแต่ละแห่งก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป แต่หอคอยที่อ่อนแอที่สุดสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าขั้น 5 ได้ ส่วนที่แกร่งที่สุดก็สามารถใช้วิชาขั้นตำนานได้เลย ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าหอคอยแห่งตำนาน
ถัดจากระดับตำนาน ก็ยังมีหอคอยอีก 500 แห่งที่เป็นระดับ 10 อีก 1,500 แห่งเป็นระดับ 9 อีก 5,000 แห่งเป็นระดับ 8 อีก 16,000 เป็นระดับ 7 อีก 27,000 แห่งเป็นระดับ 6 และอีก 44,000 แห่งเป็นระดับ 5
จำนวนที่มากมายเหล่านี้ ได้ยินแล้วก็ชาหนังศีรษะไปเลยทีเดียว
ยังโชคดีที่เหลือเผ่าวิญญาณรวมแล้วไม่ถึงแสน มีระดับกลางเพียงสี่หมื่น ดังนั้นเมื่อถึงเวลาก็จะมีหอคอยแค่สี่หมื่นแห่งที่สามารถใช้โจมตีได้
แต่หอคอยที่ว่างเปล่าเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์
เมื่อหอคอยเผ่าวิญญาณถูกทำลาย เผ่าวิญญาณด้านในก็สามารถเปลี่ยนหอคอยไปได้เรื่อย ๆ หากยังไม่สิ้นใจ
“ดังนั้นหากอยากจัดการพวกเขา จะโจมตีจุดที่พวกเขาอยู่อย่างเดียวไม่ได้ ต้องโจมตีเป็นเขต ทำลายหอคอยทั้งหมดไม่เลือกหน้า” ซูเฉินเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ยาก” หลงเจ๋อเอ่อร์เผยยิ้ม “คนเถื่อนถนัดเรื่องทำลายล้างสิ่งกีดขวางอยู่แล้ว”
จะเรียกคนเถื่อนว่าเหมือนไฟป่าก็นับว่าเหมาะทีเดียว
คนเถื่อนไม่เก่งกาจเรื่องจัดการศัตรูเพียงหนึ่งเดียว แต่หากให้ทำลายล้างไม่เลือกหน้านี่นับเป็นความสามารถพิเศษเลยของพวกเขาทีเดียว
ซูเฉินพยักหน้าเข้าใจ “ศึกครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้คนเถื่อนได้สำแดงความเก่งกาจแน่”
หลงเจ๋อเอ่อร์ได้ยินคำซูเฉินก็ดีใจ หัวเราะขึ้น “รอดูได้เลย”
เขาหันไปตะโกนใส่คนเถื่อน “เจ้าพวกโง่ทั้งหลาย ยังไม่เอาสมบัติของเราออกมาอีกหรือ? รีบเอาออกมาเร็ว!”
เกิดเสียงโห่ร้องครั้งใหญ่ ก่อนที่ปืนใหญ่ทั้งหลายจะถูกเข็นมาจากแนวหลัง
ปืนใหญ่เพลิงมังกร!
รูปร่างของปืนใหญ่ช่างสมกับเป็นคนเถื่อน พวกเขาลากมันออกสู่สนามรบ ถูกบังคับให้แยกส่วนปืนใหญ่ออกมาภายใต้การชี้แนะอันซับซ้อนเพื่อนำมาใช้ในสนามรบด้วย เมื่อเข้ามาด้านในจึงประกอบขึ้นใหม่
กูเทียนเยวี่ยเหลือบมองปืนใหญ่เพลิงมังกรด้วยนัยน์ตาเหยียดพลางเอ่ย “นำของเราออกมาด้วย”
เผ่าปักษาหลายคนเหินร่างลงมา ดึงปืนใหญ่มาติดตั้งลงบนพื้น พวกมันคือปืนใหญ่ทลายสุริยันที่เคยใช้ปกป้องเมืองล่องนภาในอดีต แม้จะไม่ทรงพลังเท่าปืนใหญ่เพลิงมังกร แต่ก็เคลื่อนย้ายง่าย สามารถเก็บไว้ในแหวนพลังได้ เมื่อเทียบกับปืนใหญ่เพลิงมังกรที่ไม่สามารถเก็บไว้ในแหวนพลังและต้องแยกส่วนประกอบใหม่ ก็นับว่าสะดวกกว่ามาก
ซูเฉินโบกมือ ส่งผลให้หุ่นเชิดทั้งหลายปรากฏขึ้นทีละตัว หุ่นเชิดยักษ์สองตัวนับว่าสะดุดตาเป็นพิเศษ ซูเฉินได้วิชาสร้างหุ่นเชิดมาจากซากโบราณชาวอาร์คาน่าและหยงเยี่ยหลิวกวง หลังจากที่นิกายไร้ขอบเขตได้พิมพ์เขียวมา ก็ได้สร้างสาขาสร้างหุ่นขึ้นมา หุ่นเชิดทั้งหลายถูกสร้างขึ้นจากโลหะหายากที่ได้มาจากทั่วทั้งทวีป ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือพวกมันยังเคลือบไปด้วยโลหะดาราสูญ ทำให้สามารถเก็บไว้ในพลังสูญได้ไม่ว่ามันจะขนาดใหญ่หรือแข็งแกร่งเพียงไหนก็ตาม ดังนั้นจึงเคลื่อนย้ายได้สะดวกกว่าปืนใหญ่ทลายสุริยันของปักษาเสียอีก
ตอนนี้เตรียมอาวุธสำหรับล้อมเมืองเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็คือสั่งโจมตีเท่านั้น
ไม่มีการพักผ่อนหรือหยุดหายใจให้สักนิด
ปืนใหญ่นับหมื่นของกองทัพเริ่มใส่ลูกกระสุนลงไปทันใดเมื่อได้รับสัญญาณสั่งยิง