ภาคที่ 6 บทที่ 111 ป่าหอคอย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 111 ป่าหอคอย

พวกเขาเข้ามาในดินแดนมืดครึ้มแห่งหนึ่ง

มองไม่เห็นแสงจากเมืองเบื้องล่าง เผ่าวิญญาณไม่จำเป็นต้องใช้แสงอยู่แล้ว

พวกเขาเคลื่อนกายดั่งภูตผี โลกมืดสลัวเหมาะสมกับพวกเขามากกว่า

แต่ทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่บุกรุกเข้ามานั้นไม่คุ้นเคยกับโลกสลัวรอบกายสักนิด

ปักษาผู้หนึ่งใช้วิชาแสงขึ้นมา

แต่พริบตานั้น วิชาอาร์คาน่าทั้งหลายก็ดับแสงนั่นลงทันใด

“อย่าจุดไฟ! พวกมันรอซุ่มโจมตีเราอยู่ในความมืด!” คนหนึ่งร้องขึ้น

แค่เพียงเพราะเข้ามาในแดนใต้ดินได้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว แต่ศึกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นต่างหาก

พื้นที่มืดมิดส่งผลให้เผ่าวิญญาณมีโอกาสโจมตีอยู่มาก พวกเขาซุ่มซ่อนอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก โจมตีใครก็ตามที่ใช้วิชาแสง กลืนกินเข้าไปในความมืดมิด

เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลดีกับกองทัพหลากเผ่าพันธุ์ ใครที่คิดจะจุดแสงเพื่อให้มองเห็นได้มากขึ้นจะถูกความมืดมิดสังหารสิ้น แสงสลัวภายในถ้ำยิ่งทำให้มองเห็นยากขึ้นไปอีก แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีวิชามากมายที่ทำให้มองเห็นในความมืดได้ เผ่าวิญญาณก็สามารถใช้วิชาอาร์คาน่ามืดได้เช่นกัน

ในเมื่อทั้งสองฝ่ายมีวิชาหักล้างกันเช่นนี้ ความมืดมิดจึงเป็นความมืดของจริง ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน

การต่อสู้ดุเดือดเริ่มต้นขึ้นในความมืดมิดนั้น

การลอบโจมตีของเผ่าวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แม้กองทัพมนุษย์ คนเถื่อน และปักษาจะบุกเข้าไปอย่างไม่ลดละ แต่ก็ถูกเผ่าวิญญาณโจมตีกลับมา

การลอบโจมตีส่งผลให้พวกเขาเสียกองกำลังไปเป็นจำนวนมาก

แต่หากเผ่าวิญญาณคิดว่าจะสามารถเอาชนะได้ด้วยวิธีเช่นนี้ก็คงผิดมหันต์แล้ว

หัวหน้าคนเถื่อนผู้หนึ่งพลันร้องขึ้น “นักรบฝนเลือดทั้งหลาย เราจะสู้จนตัวตาย! บุกเข้าไปเลย!!!”

“ย๊ากกกก!”

คนเถื่อนกลุ่มใหญ่คำรามลั่นขึ้นพร้อมกัน

อักขระโทเทมบนร่างกายเริ่มส่องแสงสีแดงเข้มขึ้นมา จิตวิญญาณกระหายการต่อสู้พุ่งขึ้นสูง

จากนั้นคนเถื่อนก็พุ่งออกไปราวพายุกระหน่ำ ทำลายล้างทุกสิ่งอย่างที่ขวางทาง

เผ่าวิญญาณใช้วิชาอาร์คาน่า ทว่าคนเถื่อนไม่สนใจ พุ่งผ่านไปไม่ไยดี ร่างกายอันแข็งแกร่งและความทนทานต่อพลังต้นกำเนิดอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้บ่มเพาะพลังได้ลำบาก แต่ก็เป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาสามารถต้านรับพลังอำนาจของวิชาอาร์คาน่าได้เช่นเดียวกัน

ในขณะที่ต้านรับการโจมตีที่ซัดเข้ามาจากทั่วทุกทิศทาง เผ่าปักษาเบื้องหลังก็ฉวยโอกาสใช้วิชาอาร์คาน่าซัดออกไปทุกทิศทางเช่นกัน ความแม่นยำนั้นไม่สำคัญ แค่ซัดออกไปให้ตรงจุดก็พอ เผ่าวิญญาณจำนวนมากร้องเสียงโหยหวนอยู่ภายในความมืด ถูกบีบให้ล่าถอยไป

“จัดการมันเลย!”

ดาบจำนวนมากพุ่งออกไป ไล่ล่าเผ่าวิญญาณจากด้านหลัง

แต่ก็ไร้หยาดเลือดสาดกระเซ็น เพราะเมื่อดาบแทงเข้าที่ด้านหลัง เผ่าวิญญาณก็ร้องเสียงเจ็บปวดออกมา ก่อนจะล้มหน้าคว่ำแน่นิ่งไป

แม้สามารถสังหารเผ่าวิญญาณได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ขวัญกำลังใจเพิ่มสูงขึ้นมาก ที่สำคัญคือพวกเขาได้วิธีจัดการศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพมาแล้ว

ความร่วมมือของกองทัพทั้งสามจึงเริ่มผลิดอกออกผล

คนเถื่อนเป็นโล่ เผ่าปักษาลองเชิง เผ่ามนุษย์ลงมือสังหาร ทัพใหญ่รุดหน้าไปเช่นนี้ กดดันเผ่าวิญญาณให้ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว

ผลก็คือไม่มีการลอบโจมตีจากความมืดอีก พวกเขาสามารถหยุดมันได้เร็วกว่าที่คิดไว้

ถึงตอนนี้ ทหารทั้งหลายที่เข้ามาในถ้ำใต้ดินเป็นกลุ่มแรกก็พ้นเขตมืดมิดมาแล้ว ตอนนี้เข้าสู่ทุ่งหญ้ากว้างขวางแห่งหนึ่ง

น่าแปลกที่จู่ ๆ แสงสว่างก็ปรากฏขึ้น

มันมาจากดวงจันทร์เทียมที่อยู่ไกลออกไป เปล่งแสงอันอ่อนโยนโอบล้อมบริเวณโดยรอบในที่สุด เหล่าทหารก็สามารถมองเห็นพื้นดินใต้ฝ่าเท้าตนเองได้

เป็นทุ่งหญ้าที่ไร้พืชพรรณอย่างแท้จริง ภายในถ้ำว่านไหลไม่มีทรัพยากรใดเติบโตอยู่เลย มีเพียงหินและแร่เท่านั้น

เผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ คงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

ตรงข้ามของทุ่งหญ้าคือปราสาทสูงตระหง่านแห่งหนึ่งตั้งอยู่

คือเมืองแห่งความมืดมน!

นี่ต้องเป็นเมืองแห่งความมืดมนไม่ผิดแน่

“เมืองแห่งความมืดมนปรากฏสู่สายตาเสียที” กูเทียนเยวี่ยถอนใจ

“เผ่าวิญญาณจะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากในวันนี้!” หลงเจ๋อเอ่อร์ร้องเสียงตื่นเต้น

“อย่าเพิ่งตื่นเต้นเกินไป” ซูเฉินราดน้ำเย็นใส่ “เราสังหารเผ่าวิญญาณที่พบมาก่อนหน้าได้บางส่วนก็จริง แต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของเผ่าวิญญาณทั้งหมดด้วยซ้ำ มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกลรวบรวมพวกเขามาไว้ที่นี่ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นน่าจะมีราวแสนตน”

เมื่อได้ยินจำนวน หลงเจ๋อเอ่อร์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

สำหรับเผ่าวิญญาณแล้ว จำนวนนี้นับว่าไม่ใช่น้อย เพราะแต่ละตนก็มีกำลังสูงส่งอยู่แล้ว แล้วยังมีทาสรับใช้ มีหุ่นเชิด มีอาวุธอีกมากมาย รวมกันแล้วก็ได้เป็น 3-5 แสน ยิ่งอีกฝ่ายได้ประโยชน์ด้านภูมิศาสตร์ เห็นได้ชัดเลยว่าต้องเกิดศึกใหญ่ขึ้นเป็นแน่

ทำให้หลงเจ๋อเอ่อร์ไม่ยินดีเท่าไหร่ “เช่นนั้นนิกายไร้ขอบเขตก็ไม่ได้บุกเข้ามาหรือ? เป็นเผ่าวิญญาณที่ปล่อยให้เข้ามาหรือไร?”

ตานปาพลันเอ่ย “หลงเจ๋อเอ่อร์ อย่าเสียมารยาท ผีพวกนั้นไม่มีทางปะทะกับเจ้าตรง ๆ หรอก แต่ละตนจะหนีไปเมื่อไหร่ก็ยังได้ ทั้งทรงพลังและเจ้าเล่ห์ สังหารได้ยากเย็น ที่นิกายไร้ขอบเขตสามารถสังหารศัตรูได้มากเท่านี้ก็เก่งมากแล้ว ตอนนี้เผ่าวิญญาณรวมพลเต็มกำลังเพื่อต่อสู้กับพวกเรา อย่างไรก็เลี่ยงศึกใหญ่ไม่ได้ ที่พวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็เพราะเจ้านิกายซู”

หลงเจ๋อเอ่อร์จึงเงียบไปด้วยท่าทีไม่พอใจ

“แต่พวกเจ้าก็อาจเสียหายหนักเพราะพวกเราเช่นกัน” ซูเฉินเอ่ยเสียงสงบ “ข้าอดรู้สึกไม่ได้ว่าเผ่าวิญญาณยังมีไพ่ตายเหลืออยู่ และต้องรับมือไม่ง่ายแน่ พลั้งเผลอเพียงนิดก็อาจทำให้อีกฝ่ายพลิกสถานการณ์ได้เลย”

“คิดเรื่องนั้นไปก็เปล่าประโยชน์แล้ว อย่างไรข้าก็ไม่มีทางทิ้งโอกาสสังหารเผ่าวิญญาณในคราวเดียวไปได้หรอก” ตานปาตอบเสียงเรียบ

กูเทียนเยวี่ยคำราม “พวกข้าเผ่าปักษาย่อมทำคำสั่งฝ่าบาทให้สำเร็จแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต”

ซูเฉินพยักหน้า “ในเมื่อทุกคนยังมีจิตฮึกเหิมจะสู้ เช่นนั้นพวกเราก็จะสู้ จะดีหรือร้ายก็ต้องลองดู”

ทั้ง 3 เผ่าจึงเริ่มส่งสัญญาณตามลำดับ

ทหารจึงเข้าประจำการและเตรียมโจมตี

คนเถื่อนเป็นกองกำลังภาคพื้นดิน รับหน้าที่ประจำการอยู่จุดกลาง

เผ่ามนุษย์และเผ่าปักษาขนาบซ้ายขวาคนเถื่อนราวกับเป็นปีก

ซึ่งก็เป็นปีกของจริง ในเมื่อพวกเขาสามารถบินได้

น่าเสียดายที่พื้นที่ใต้ดินนั้นมีจำกัด ผู้เชี่ยวชาญพลังลอยอยู่เหนือพื้นดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนเถื่อนไม่จำเป็นต้องใช้วิชาระยะไกลเพื่อโจมตีให้รอบระยะเลย

นี่เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษของการต่อสู้ใต้ดิน เมื่อมาอยู่ใต้ดินแล้ว คนเถื่อนก็จะสามารถสำแดงพลังได้อย่างเต็มที่

ทหารทั้งหลายจึงเริ่มรุดหน้าเข้าสู่เมืองแห่งความมืดมน

เมื่อเข้ามาใกล้ เมืองแห่งความมืดมนก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

ความงดงามของเมืองช่างสมกับเป็นเผ่าวิญญาณเสียจริง

เมืองแห่งความมืดมนไร้กำแพงกั้น ไร้การป้องกันใด เว้นเสียแต่หอคอยสูงทั้งหลายที่ตั้งตระหง่านเท่านั้น

หอคอยเหล่านี้เป็นสถานที่อาศัยของเผ่าวิญญาณ เป็นที่ตั้งห้องวิจัยของพวกเขา และเป็นสถานที่ที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขาด้วย เผ่าวิญญาณที่ขึ้นสู่ระดับกลางได้จะได้รับหอคอยปกป้องหนึ่งแห่งภายในเมืองแห่งความมืดมน

และเมืองแห่งความมืดมนก็ขยับขยายผ่านการสร้างหอคอยเช่นนี้

หากไม่มีหอคอยที่เหมาะสมว่างเมื่อมีเผ่าวิญญาณขึ้นสู่ระดับกลาง พวกเขาก็จะสร้างมันขึ้นใหม่ที่ชานเมือง

ดังนั้นจำนวนหอคอยจึงเป็นเครื่องแสดงความแข็งแกร่งของเผ่าวิญญาณ

คร่าว ๆ ก็มีราวหนึ่งแสนหอคอยทีเดียว

พวกมันคือเมืองแห่งความมืดมน และเป็นปราการป้องกันเมืองด้วย

ถูกต้องแล้ว เมืองแห่งความมืดมนไม่มีเครื่องป้องกันอื่นใดอีก หอคอยทั้งหลายเหล่านี้เป็นปราการเดียวที่พวกมันมี แต่ก็ทรงอิทธิพลและน่ากลัวเป็นยิ่งนัก

ซูเฉินได้ข้อมูลเมืองแห่งความมืดมนคร่าว ๆ มาจากเหยียนท่า ฟังจากสิ่งที่เขาเล่า หอคอยแต่ละแห่งของเมืองเป็นอาวุธที่มีพลังป้องกันสูง หากเผ่าวิญญาณสู้อยู่ภายในหอคอยจะมีพลังเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า หอคอยยังสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าได้อีก แน่นอนว่าหอคอยแต่ละแห่งก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป แต่หอคอยที่อ่อนแอที่สุดสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าขั้น 5 ได้ ส่วนที่แกร่งที่สุดก็สามารถใช้วิชาขั้นตำนานได้เลย ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าหอคอยแห่งตำนาน

ถัดจากระดับตำนาน ก็ยังมีหอคอยอีก 500 แห่งที่เป็นระดับ 10 อีก 1,500 แห่งเป็นระดับ 9 อีก 5,000 แห่งเป็นระดับ 8 อีก 16,000 เป็นระดับ 7 อีก 27,000 แห่งเป็นระดับ 6 และอีก 44,000 แห่งเป็นระดับ 5

จำนวนที่มากมายเหล่านี้ ได้ยินแล้วก็ชาหนังศีรษะไปเลยทีเดียว

ยังโชคดีที่เหลือเผ่าวิญญาณรวมแล้วไม่ถึงแสน มีระดับกลางเพียงสี่หมื่น ดังนั้นเมื่อถึงเวลาก็จะมีหอคอยแค่สี่หมื่นแห่งที่สามารถใช้โจมตีได้

แต่หอคอยที่ว่างเปล่าเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์

เมื่อหอคอยเผ่าวิญญาณถูกทำลาย เผ่าวิญญาณด้านในก็สามารถเปลี่ยนหอคอยไปได้เรื่อย ๆ หากยังไม่สิ้นใจ

“ดังนั้นหากอยากจัดการพวกเขา จะโจมตีจุดที่พวกเขาอยู่อย่างเดียวไม่ได้ ต้องโจมตีเป็นเขต ทำลายหอคอยทั้งหมดไม่เลือกหน้า” ซูเฉินเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่ยาก” หลงเจ๋อเอ่อร์เผยยิ้ม “คนเถื่อนถนัดเรื่องทำลายล้างสิ่งกีดขวางอยู่แล้ว”

จะเรียกคนเถื่อนว่าเหมือนไฟป่าก็นับว่าเหมาะทีเดียว

คนเถื่อนไม่เก่งกาจเรื่องจัดการศัตรูเพียงหนึ่งเดียว แต่หากให้ทำลายล้างไม่เลือกหน้านี่นับเป็นความสามารถพิเศษเลยของพวกเขาทีเดียว

ซูเฉินพยักหน้าเข้าใจ “ศึกครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้คนเถื่อนได้สำแดงความเก่งกาจแน่”

หลงเจ๋อเอ่อร์ได้ยินคำซูเฉินก็ดีใจ หัวเราะขึ้น “รอดูได้เลย”

เขาหันไปตะโกนใส่คนเถื่อน “เจ้าพวกโง่ทั้งหลาย ยังไม่เอาสมบัติของเราออกมาอีกหรือ? รีบเอาออกมาเร็ว!”

เกิดเสียงโห่ร้องครั้งใหญ่ ก่อนที่ปืนใหญ่ทั้งหลายจะถูกเข็นมาจากแนวหลัง

ปืนใหญ่เพลิงมังกร!

รูปร่างของปืนใหญ่ช่างสมกับเป็นคนเถื่อน พวกเขาลากมันออกสู่สนามรบ ถูกบังคับให้แยกส่วนปืนใหญ่ออกมาภายใต้การชี้แนะอันซับซ้อนเพื่อนำมาใช้ในสนามรบด้วย เมื่อเข้ามาด้านในจึงประกอบขึ้นใหม่

กูเทียนเยวี่ยเหลือบมองปืนใหญ่เพลิงมังกรด้วยนัยน์ตาเหยียดพลางเอ่ย “นำของเราออกมาด้วย”

เผ่าปักษาหลายคนเหินร่างลงมา ดึงปืนใหญ่มาติดตั้งลงบนพื้น พวกมันคือปืนใหญ่ทลายสุริยันที่เคยใช้ปกป้องเมืองล่องนภาในอดีต แม้จะไม่ทรงพลังเท่าปืนใหญ่เพลิงมังกร แต่ก็เคลื่อนย้ายง่าย สามารถเก็บไว้ในแหวนพลังได้ เมื่อเทียบกับปืนใหญ่เพลิงมังกรที่ไม่สามารถเก็บไว้ในแหวนพลังและต้องแยกส่วนประกอบใหม่ ก็นับว่าสะดวกกว่ามาก

ซูเฉินโบกมือ ส่งผลให้หุ่นเชิดทั้งหลายปรากฏขึ้นทีละตัว หุ่นเชิดยักษ์สองตัวนับว่าสะดุดตาเป็นพิเศษ ซูเฉินได้วิชาสร้างหุ่นเชิดมาจากซากโบราณชาวอาร์คาน่าและหยงเยี่ยหลิวกวง หลังจากที่นิกายไร้ขอบเขตได้พิมพ์เขียวมา ก็ได้สร้างสาขาสร้างหุ่นขึ้นมา หุ่นเชิดทั้งหลายถูกสร้างขึ้นจากโลหะหายากที่ได้มาจากทั่วทั้งทวีป ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือพวกมันยังเคลือบไปด้วยโลหะดาราสูญ ทำให้สามารถเก็บไว้ในพลังสูญได้ไม่ว่ามันจะขนาดใหญ่หรือแข็งแกร่งเพียงไหนก็ตาม ดังนั้นจึงเคลื่อนย้ายได้สะดวกกว่าปืนใหญ่ทลายสุริยันของปักษาเสียอีก

ตอนนี้เตรียมอาวุธสำหรับล้อมเมืองเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็คือสั่งโจมตีเท่านั้น

ไม่มีการพักผ่อนหรือหยุดหายใจให้สักนิด

ปืนใหญ่นับหมื่นของกองทัพเริ่มใส่ลูกกระสุนลงไปทันใดเมื่อได้รับสัญญาณสั่งยิง