ภาคที่ 6 บทที่ 112 สิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 112 สิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลว

ตูม ตูม ตูม ตูม!

ปืนใหญ่ระเบิดลั่น เติมท้องฟ้าเหนือเมืองแห่งความมืดมนให้เต็มไปด้วยแสงจ้า เกราะป้อมปราการส่งเสียงดังยามถูกห่ากระสุนเพลิงเข้าปะทะ เปลวเพลิงระลอกใหญ่สาดซัดไปทั่วเมือง

พร้อมกันนั้น เมืองแห่งความมืดมนก็เตรียมโต้กลับเช่นกัน

การโจมตีของหอคอยช่างเหมาะสมกับยุคที่มันถูกสร้างขึ้น เสียงสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะถูกปล่อยออกจากยอดหอคอยทั้งหลาย ริ้วสายฟ้าเลื้อยออกมา ซัดเข้าใส่กองทัพ

เหล่าทหารใช้เกราะป้องกัน คนเถื่อนถือโล่ทางกายภาพที่เริ่มเรืองแสงสีเลือดออกมา ปักษาใช้วิชาอาร์คาน่าสร้างเกราะเวทขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วเขต การโจมตีที่สาดใส่เขตนั้นจะถูกหักล้าง นิกายไร้ขอบเขตเองก็ใช้วิชาผสานในการป้องกันตนเองเช่นกัน

สายฟ้าเริงระบำไปตามผิวเกราะดั่งอสรพิษ เติมฟ้าให้เต็มไปด้วยเส้นสายสีเงินสว่างจ้า

ทั้งสองฝ่ายแลกกระบวนท่ากันทันทีที่เปิดศึก สำแดงกำลังน่าเกรงขาม แต่กลับมีจำนวนผู้เสียชีวิตต่ำมาก

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกราะก็เริ่มสลายไป จึงเริ่มเห็นผู้บาดเจ็บเสียชีวิต

หอคอยที่อ่อนแอหลายแห่งไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากปืนใหญ่ได้ เมื่อเกราะถูกทำลายจึงถล่มลงมา แม้จะพยายามปล่อยการโจมตีสายฟ้าออกมาเป็นเฮือกสุดท้าย แต่การโจมตีที่กระหน่ำเข้าใส่ก็ทำให้การโจมตีของมันอ่อนแอยิ่งกว่า เผ่าวิญญาณภายในหอคอยหนีออกมาได้ ย้ายไปหอคอยที่อยู่ด้านหลังแทน

เผ่าวิญญาณเสียปราการอาร์คาน่า แต่กองทัพผสมสูญเสียชีวิตคนไปจริง ๆ

ขณะที่สายฟ้ายังคงฟาดลงมาใส่ ทหารคนเถื่อนที่โชคร้ายก็ยิ่งถูกการโจมตีกระหน่ำใส่ เกราะถูกทำลาย ร่างระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทหารมนุษย์และปักษาก็ไม่ต่าง พลังงานสายฟ้าบ้าคลั่งขัดขวาง ด้วยไม่ใช่สายฟ้าจากธรรมชาติจึงมุ่งโจมตีทหารกลุ่มหนึ่งหนักกว่า ทำให้เกิดความเสียหายบาดเจ็บได้มากกว่า

สิ่งกีดขวางในอุโมงค์และการลอบโจมตีจากความมืดล้วนเป็นศึกขนาดเล็ก ศึกในปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่คือสงครามที่แท้จริง ภายในพริบตาเดียวก็สูญเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก

“ปราการอาร์คาน่าเหล่านี้แกร่งเกินไป” กูเทียนเยวี่ยพึมพำ หันมองยังซูเฉิน “ทั้งยังมีจำนวนมากเกินไป เกราะป้องกันก็แข็งแกร่งไม่น้อย หากเรายังดึงดันจะทำเช่นนี้ เกรงว่าจะตายกันหมดก่อนทันได้ทำลายหอคอยทั้งหมด”

ซูเฉินตอบ “แม้มันจะทรงพลัง แต่ก็เคลื่อนไหวไม่ได้ การใช้กองทัพใหญ่ต่อสู้กับมันไม่เหมาะนัก ออกคำสั่งให้สลายค่ายกล สลับกันป้องกันการโจมตีจากหอคอย เกราะแตกเมื่อไหร่ก็ให้ถอยทันที คนที่รอจังหวะสับเปลี่ยนก็รุดหน้ามาใช้เกราะป้องกันต่อ เราจะสลับกันต่อสู้”

ออกคำสั่งลงไปแล้ว กลยุทธ์การศึกก็เปลี่ยน แทนที่จะดึงดันบุกไปด้านหน้าต่อ พวกเขาเลือกที่จะประจำการอยู่นอกเขตโจมตีของหอคอย และทำลายหอคอยไปทีละแห่งแทน

อธิบายโดยง่ายคือ เป็นแผนที่จะทำให้ศัตรูเหนื่อยอ่อนนั่นเอง

กลยุทธ์ใหม่นี้ลดจำนวนคนบาดเจ็บลงได้มาก แต่ทำให้โอกาสในการเดินหน้าลดลง และใช้พลังงานมากกว่าเดิม

หากลดจำนวนคนตายลงได้ก็คุ้มค่านักหนาแล้ว

การต่อสู้จึงเข้าสู่จังหวะเชื่องช้าน่าเบื่อ ไม่มีฝั่งไหนคิดรุกโจมตีก่อน แต่เลือกหลบอยู่ภายในเกราะป้องกัน ลองเชิงอีกฝ่ายอยู่จากที่ไกล

พื้นที่ใต้ดินขนาดใหญ่ที่ตั้งเมืองแห่งความมืดมนเต็มไปด้วยเพลิงพิโรธและแสงแลบจากสายฟ้า

แม้หอคอยจะแกร่งมาก แต่พวกมันก็ขยับไม่ได้ ซูเฉินฉวยประโยชน์จากจุดอ่อนนี้ปรับกองกำลัง ลดจำนวนคนบาดเจ็บล้มตาย แต่ก็ยังทำลายหอคอยได้เรื่อย ๆ

อาจเพราะเริ่มจับสถานการณ์ได้ เผ่าวิญญาณจึงเริ่มปรับกลยุทธ์เช่นกัน

เปลวไฟสีดำเริ่มก่อตัวขึ้นเหนือเมืองแห่งความมืดมน ก่อร่างเป็นยักษ์ตัวหนึ่ง ต่อจากนั้นหุ่นเชิดสัมฤทธิ์ที่มีสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะอยู่ตามร่างก็ปรากฏ มันถือดาบและโล่ขนาดใหญ่ ตามมาด้วยต้นไม้ยักษ์ที่สะบัดใบบนร่าง ผลไม้สีเขียวร่วงหล่นลงพื้นเป็นจำนวนมาก มนุษย์รูปร่างเขียวคล้ำตัวเตี้ยดูดุร้ายแหวกออกมาจากผลเหล่านั้น สุดท้ายก็เป็นเงาดำที่ค่อย ๆ แหวกพื้นดินขึ้นมา มันไม่มีร่างกายที่จับต้องได้ แต่ก็ยังสามารถปล่อยกลิ่นอายแปลกประหลาดแต่ทรงพลังออกมาได้

ทันทีที่พวกมันสี่ตัวปรากฏตัวขึ้น ก็เกิดคลื่นพลังงานที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อระเบิดออกจากเมืองแห่งความมืดมนทั่วทุกทิศทาง

พลังงานที่ระเบิดออกมาสร้างแรงกดดันให้กับกองทัพสามเผ่าในพลัน

พร้อมกันนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตัวก็ดีดตัวเข้าใส่กองทัพผสม

“เราต้องเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนงั้นหรือ?” ซูเฉินไม่แปลกใจ

การถูกบังคับให้ตั้งรับและถอยไปตลอดเวลามีแต่จะทำให้ถูกสังหาร การป้องกันที่สำเร็จอย่างแท้จริงจะต้องมีโอกาสให้โต้กลับได้ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะถูกบีบคั้นจนตาย เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

การขัดจังหวะศัตรูมีอยู่อย่างเดียวคือการโจมตีโต้กลับไป

สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตัวคงเป็นสมบัติลับที่เผ่าวิญญาณเตรียมไว้ใช้ในสถานการณ์เช่นนี้

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เผ่าที่ชอบทำการวิจัยเช่นเผ่าวิญญาณยังเหลืออุบายไว้ให้ใช้งาน

ซูเฉินเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นพวกมัน “ชิงลั่ว เจ้าไปรับมือกับผีเงามืดนั่น หลี่ฉงซาน ท่านรับมือเจ้าต้นไม้ อีกสองตัวให้เป็นหน้าที่พวกเจ้า” ซูเฉินหัวเราะแล้วเหลือบมองไปยังกูเทียนเยวี่ยกับตานปา

ตานปาว่า “เจ้าตัวใหญ่ถือดาบและโล่นั่นเป็นของเรา หลงเจ๋อเอ่อร์ เจ้าไปจัดการ”

หลงเจ๋อเอ่อร์คำรามอย่างกล้าหาญ พุ่งเข้าใส่นักรบสัมฤทธิ์

กูเทียนเยวี่ยมุ่นคิ้ว เดิมทีเขาอยากจัดการนักรบสัมฤทธิ์ เงามืดนั่นดูประหลาดเกินไป อาจรับมือได้ยาก แต่ตานปาตอบกลับรวดเร็วจนกูเทียนเยวี่ยไร้โอกาสเจรจาว่าตนขอจัดการนักรบสัมฤทธิ์ ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หันไปหาแม่ทัพปักษาด้านข้างแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปหยุดเงามืดนั้นเสีย”

ซูเฉินเห็นแม่ทัพปักษาบินออกไปจึงถอนใจ “เกรงว่าแค่เขาจะไม่พอ”

กูเทียนเยวี่ยคำราม “ชิงฝูเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 9”

“ยังไม่พอ” ซูเฉินว่า

“หืม?” กูเทียนเยวี่ยชะงัก

แม่ทัพปักษานามชิงฝูพุ่งออกไปแล้ว เมื่อวาดมือออกก็เกิดเป็นเส้นใยแสงถักทอเข้าด้วยกัน พุ่งเข้าใส่เงาดำนั่น ทว่ามันกลับรุดหน้าต่อราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทหารปักษาที่มันเลื่อนผ่านร่างกายสลายกลายเป็นผุยผงแล้ว

ชิงฝูตกใจนัก เริ่มโจมตีออกไปไม่หยุด แต่ไม่ว่าการโจมตีจะทรงพลังเพียงไหน ก็ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของเงานั่นได้เลย

เงาเคลื่อนตัวไปอย่างไร้ทิศทางแน่นอน กลืนกินทุกอย่างที่เข้าใกล้

ชิงฝูถูกบีบให้ถอยยามที่กำลังหาทางสู้

ซูเฉินเองก็จับตาดูรายละเอียด

ทันใดนั้นก็มุ่นคิ้ว “ระวัง!”

ฟ้าว!

ริ้วแสงหนึ่งพลันวาบขึ้น ปรากฏว่าเกิดรอยเลือดบาง ๆ ขึ้นที่หน้าผากชิงฝู

นัยน์ตาเขาฉายแววประหลาดใจ ก่อนตัวจะร่วงลงมา ร่างแยกออกเป็นสองส่วน

ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 9 ตายไปเช่นนั้น

เงารางเลือนหันกลับมา มุ่งไปอีกทิศทาง

“เจอตัวแล้ว!” ซูเฉินพลันหรี่ตา เอื้อมคว้าอากาศตรงหน้า เงาดำชะงักงันทันใด ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก

ตานปากับกูเทียนเยวี่ยเห็นแล้วก็อึ้งไป

เพื่อให้สามารถสังเกตการต่อสู้ได้ดียิ่งขึ้น ผู้นำทั้ง 3 ต่างประจำการอยู่ที่แนวหลัง

การที่ซูเฉินสามารถคว้าศัตรูได้จากระยะไกลเห็นได้ชัดว่ามีความเก่งกาจในวิชาพลังสูญสูงมาก

เงาดำยังดิ้นพล่านไปมาในเงื้อมมือซูเฉิน ในที่สุดจุดแสงก็เริ่มปรากฏขึ้นบนร่าง ก่อนมันจะแน่นิ่งไป

ตานปาจึงเข้าใจ “นั่นคือร่างหลักของมันงั้นสินะ เงามืดเป็นเพียงตัวดึงความสนใจเท่านั้น”

“คงจะเป็นวิชาพรางตัวที่เผ่าวิญญาณสร้างขึ้น แต่ล้มเหลว… เป็นความล้มเหลวที่ทรงพลังมาก แต่อย่างไรก็ยังเป็นความล้มเหลว” ซูเฉินเอ่ย

“เจ้าจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตประหลาด 4 ตัวนี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลวงั้นหรือ?” กูเทียนเยวี่ยชะงัก

ยักษ์เพลิงดำกำลังถูกกู่ชิงลั่วจัดการ เจ้าต้นไม้เป็นหลี่ฉงซานรับมือ และนักรบสัมฤทธิ์เป็นหลงเจ๋อเอ่อร์กำลังออกกระบวนท่า แต่ละตัวมีพลังสูงส่งไม่น้อย แต่ซูเฉินกลับเรียกพวกมันว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลว

“ถูกต้อง” ซูเฉินเอ่ยเสียงมั่นใจ “ยักษ์เพลิงดำเป็นผลจากงานวิจัยเรื่องธาตุไฟ เพื่อที่จะได้เพิ่มภูมิต้านทานต่อไฟได้ ส่วนต้นไม้เป็นการวิจัยสร้างทหารชั้นใหม่ขึ้นมาใช้งาน ให้สามารถสร้างทหารเดนตายออกมาใช้ได้ไม่จำกัด เผ่าวิญญาณต้องเผชิญกับความยากลำบากที่มีประชากรน้อยอยู่ตลอดมา และนักรบสัมฤทธิ์ก็เป็นความหวังของเผ่าวิญญาณที่คิดจะเพิ่มกำลังในการต่อสู้ จะได้ไม่เป็นเพียงเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเดียวที่ไม่สามารถต่อสู้ระยะประชิดได้”

หากเผ่าวิญญาณวิจัยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้สำเร็จ สถานการณ์น่าจะออกมาแตกต่างกันมาก

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือสิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลวไม่ผิดแน่ ต้องมีข้อผิดพลาดที่ไม่มีใครรู้อยู่

เช่น……

ในตอนที่นักรบสัมฤทธิ์ต่อสู้ ร่างกายของมันก็ร้อนระอุขึ้นในพลัน

ตานปาสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติรีบร้องบอกทันที “หลงเจ๋อเอ่อร์ ถอย!”

หลงเจ๋อเอ่อร์ทำตามคำตานปาทันที รีบถอยออกมา

จังหวะนั้น นักรบสัมฤทธิ์ก็ระเบิดออกราวกับเป็นดาวระเบิดขนาดย่อม ลำแสงขนาดใหญ่สาดส่องผ่านท้องฟ้า เติมเต็มพื้นที่ด้วยแสงสีทองอร่าม

เมื่อแสงจางลง นักรบสัมฤทธิ์ก็หายไป เหลือไว้เพียงเหล่าทหารที่ล้อมมันไว้เท่านั้น

หลงเจ๋อเอ่อร์นอนราบอยู่กับพื้นพร้อมกองเลือด ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือตาย

เจ้านี่ไม่สามารถต่อสู้ได้นาน เพราะมันจะระเบิดนั่นเอง

โชคดีที่สิ่งมีชีวิตที่กู่ชิงลั่วและหลี่ฉงซานกำลังสู้อยู่ไม่ได้ระเบิดอย่างเจ้าตัวนี้ ทว่าเจ้ายักษ์เพลิงมืดจู่ ๆ ก็แยกร่างแล้วหล่นลงมาเป็นห่าฝน มันไม่ได้ระเบิด แต่มีความสามารถในการกัดกร่อนทำลายที่น่ากลัวไม่แพ้แรงระเบิด เคราะห์ดีที่กู่ชิงลั่วเตรียมตัวมาดี หักล้างการโจมตีส่วนมากได้

ฝั่งหลี่ฉงซานง่ายดายกว่ามาก เจ้าต้นไม้หดร่างลงเรื่อย ๆ เมื่อผลิตทหารออกมาไม่หยุด สุดท้ายก็มีขนาดเท่ากับต้นกล้าต้นหนึ่ง

หลี่ฉงซานเก็บมันไว้ แม้จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลว แต่ก็ควรค่านำไปทำวิจัยต่อ สิ่งมีชีวิตอีก 2 ตัวระเบิดตนเองไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ซากไว้ให้เห็น

เงาดำที่ซูเฉินคว้าไว้ได้ก็ตายเช่นกัน

ใช่แล้ว หลังจากดีดดิ้นอยู่ในมือซูเฉินระยะหนึ่ง มันก็แน่นิ่งไป ซูเฉินสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของมันสลายไปแล้ว ส่วนมันตายได้อย่างไรนั้นเขาก็ยังไม่อาจรู้

สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตัวทำร้ายพวกทหารไปไม่ใช่น้อย เป็นเรื่องน่าปวดหัวทีเดียว

“ไม่รู้ว่าพวกมันมีสิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลวเท่าไหร่กันแน่” กูเทียนเยวี่ยเอ่ย

“คงไม่ใช่น้อย” ซูเฉินตอบเสียงสงบ

กูเทียนเยวี่ยเหลือบมอง “อย่าแช่งสิ”

ซูเฉินเอ่ย “ถึงจะไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นความจริง หมื่นปีที่ผ่านมาเผ่าวิญญาณทำการวิจัยมากหลาย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกมันจะมีแค่สี่ตัวนี้ ท่านรอดูเถอะ”

ซูเฉินพูดจบ สิ่งมีชีวิตรอบใหม่ก็รุดหน้าออกมาจากเมืองแห่งความมืดมน

ครั้งนี้มากันเป็นจำนวนมาก มีขนาดและรูปร่างหลากหลายทีเดียว