บทที่ 113 ราชาปีศาจ
จำนวนและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่พุ่งออกมาจากเมืองแห่งความมืดมนมีมากเสียจนมองแล้วตาลาย
สิ่งมีชีวิตพวกนี้ยังมีกิ้งก่าหัวสุนัข แมวสามตา กวางหกขา เจ้าพวกนี้นับว่าจินตนาการออกได้ง่ายแล้ว แต่ส่วนมากเป็นพวกที่แทบจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดด้วยซ้ำ
ยังมีวงล้อที่หมุนได้เองและมีดวงตาสามเหลี่ยม ถาดอาหารบินได้พร้อมปากที่พูดไม่หยุด และยังมีรถม้าที่มีสารถีเป็นวิญญาณ แต่วิญญาณตนนั้นมีรูปร่างเหมือนตัวทากบิดเบี้ยวก็ไม่ปาน
ทั้งตัวที่จินตนาการออกและตัวที่คาดไม่ถึงต่างมารวมกันอยู่ที่นี่ เห็นแล้วพากันขนลุกขนพองยามที่พวกมันพุ่งเข้าใส่กองทัพ
“อย่าให้มันเข้าใกล้!”
ซูเฉินตะโกนเสียงสะท้อนดังไปทั่วทั้งสามทัพ
พวกมันล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ล้มเหลวของเผ่าวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่อาจคาดเดาได้ ไม่มีใครรู้ว่าหากเข้าใกล้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นอย่าปล่อยให้มันเข้ามาใกล้เลยจะดีกว่า
ปืนใหญ่จึงหันหน้าเข้ายิงตัวประหลาดที่กำลังพุ่งเข้ามา
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเขวี้ยงดาบของตนออกไป ปลดปล่อยปราณดาบหลายระลอก ใครเห็นเป็นต้องรู้สึกว่าโลหิตในกายรุ่มร้อนขึ้นมา
สงครามนองเลือดเริ่มต้นขึ้น ปลิดชีวิตไปจำนวนมาก
พลังอันสูงส่งของปืนใหญ่ทำลายเจ้าสัตว์ประหลาดไปได้มากมาย ส่วนมากถูกสังหารตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ ส่วนตัวที่เข้ามาใกล้ได้ก็ถูกเล็งเป้าสังหารได้
สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเมื่อตายก็ยังสร้างปัญหา เจ้าตัวยักษ์ตัวหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเนื้อก้อนใหญ่เมื่อตายแล้วก็ระเบิดออก สังหารปักษาและคนเถื่อนนับร้อยที่อยู่ใกล้ กระนั้นแล้วก็ไม่นับว่าเป็นภัยใหญ่หลวง
“ได้เท่านั้นเองรึ!” กูเทียนเยวี่ยคำราม “เหมือนเป็นเพียงอุบายทำให้กลัวเท่านั้น!”
ทว่าซูเฉินและตานปากลับเงียบงัน จับตามองสนามรบอย่างถี่ถ้วน
สิ่งมีชีวิตถูกสังหารเกือบทั้งหมดแล้ว เกิดเป็นธารโลหิตขนาดเล็กไหลนองพื้น
แต่ในสายตาซูเฉิน เรื่องนี้นับว่าน่าสังเกตไม่น้อย
ราวกับว่ามีอะไรอยู่บนพื้นเลย…
…เป็นค่ายกล!
ซูเฉินรู้ในพลัน
พวกเขาสู้กันอยู่เหนือค่ายกลนี่เอง
มันควรจะเป็นเช่นนี้ล่ะ!
มีหรือที่เผ่าวิญญาณจะปล่อยให้เข้าโจมตีได้ง่าย ๆ?
หากในที่ราบเส้นทางวงแหวนมีค่ายกลร้ายกาจอยู่ แล้วที่นี่จะไม่มีได้หรือ?
แต่ค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่?
“พวกนั้นเป็นเครื่องสังเวย” ตานปาพลันเอ่ย
เขาสัมผัสได้
เขาต่างจากซูเฉิน เขาไม่ได้เห็นเลือดสดที่นองพื้น แต่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับได้
เขาพูดด้วยความมั่นใจ “เจ้าพวกนั้นถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย ไม่ใช่ใช้เพื่อจัดการเรา”
กูเทียนเยวี่ยชะงัก “สังเวยให้อะไร?”
“สิ่งมีชีวิตต่างแดน” ซูเฉินเอ่ย
“ต่างแดน?” กูเทียนเยวี่ยอึ้ง “หรือว่า…”
ภายในเมืองแห่งความมืดมน เผ่าวิญญาณกลุ่มหนึ่งยืนล้อมเป็นวงกลม ยกไม้เท้าขึ้นสูง ร่ายคาถาขึ้นพร้อมเพรียงกัน
เมื่อการร่ายมนต์ดำเนินต่อ ประตูขนาดใหญ่ก็ค่อย ๆ ส่งเสียงลั่น เปิดออกมาท่ามกลางสนามรบ
ประตูขนาดมหึมาสูงตระหง่านยืนอยู่กลางสนามรบ กลิ่นอายสง่างามและสูงส่งที่เปล่งออกมาส่งผลให้ใจคนสะท้าน
“ประตูแห่งความมืด!” กูเทียนเยวี่ยร้องขึ้น
ทุกคนรู้จักเจ้าประตูนี้ดี
มันคือประตูแห่งความมืด
ทว่าประตูแห่งความมืดบานนี้ขนาดใหญ่กว่าประตูแห่งความมืดที่พวกเขาเคยเห็นอยู่มาก
แน่นอนว่า ปีศาจแห่งความมืดที่จะออกมาจากประตูนั่นก็คงแข็งแกร่งกว่าแน่นอน
เมื่อประตูแห่งความมืดเปิดออก ก็มีหมอกสีดำลอยออกมา ปกคลุมพื้นที่ไว้ด้วยความมืดมิด
“วะฮะฮ่า ๆ!” เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังก้อง ปีศาจขนาดใหญ่ลอยลงมาจากท้องฟ้า มันใช้มือขนาดยักษ์ยกเมฆดำขึ้นสูง จากนั้นคว้าปักษาที่อยู่ไม่ไกลโยนเข้าปากแล้วกลืนลงคอ ความกระหายเลือดของมันอดทำให้ทุกคนตัวสั่นไม่ได้
“ศรกร่อนกระดูก!” สิ้นคำสั่ง ลูกธนูก็พุ่งเข้าใส่ปีศาจแห่งความมืด
“สิ่งมีชีวิตอ่อนแอเอ๋ย” ปีศาจแห่งความมืดสูง 5 จั้งวาดแขน ปัดลูกธนูทั้งหลายทิ้งอย่างไม่ไยดี ก่อนจะปล่อยคลื่นความมืดออกมาอีกระลอก กลืนกินปักษาตรงหน้าเข้าไป
“ระวังด้วย มันคือปีศาจแห่งความมืด!” ปักษาคนหนึ่งร้องขึ้น
“โจมตีมันด้วยไฟ!” ซูเฉินวาดท่า เกิดเปลวเพลิงลุกขึ้นจากฝ่ามือ ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาความมืดนั้น
“ความมืดจนกลืนกินทุกสิ่ง!” ปีศาจแห่งความมืดร้องลั่นก่อนจะถูกเพลิงกลืนร่าง
ตูม!
ปีศาจแห่งความมืดสลายหายไป เหลือเพียงเถ้าธุลี
แม้วิชาเพลิงของซูเฉินจะไม่ทรงพลังเท่าวิชาพลังสูญ แต่อย่างไรเขาก็มีความเข้าใจกฎแห่งพลัง ปีศาจแห่งความมืดไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้แน่
แต่ก็ยังมีเมฆดำหลุดลอยออกมาจากประตูบานนั้นอีก ยังคงเกิดเสียงหัวเราะน่าขนลุกลอยออกมา
ปีศาจแห่งความมืดตัวแล้วตัวเล่าโผล่ออกมาจากประตูขนาดใหญ่ หัวเราะลั่นเสียงชั่วร้ายแล้วเดินเข้าสู่สนามรบ
“ตายเสียเถอะเจ้าพวกสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ เจ้าจะถูกอำนาจแห่งความมืดแห่งเราเหยียบย่ำ และใช้เลือดเป็นของบูชาแก่เรา!”
ปีศาจแห่งความมืดขนาดใหญ่คำรามพลันพุ่งเข้าใส่
“ไอ้พวกเผ่าวิญญาณบัดซบ” พวกทหารก่นด่า
ไม่มีใครคิดว่าเผ่าวิญญาณจะตั้งค่ายกลเรียกปีศาจขนาดใหญ่ไว้บนพื้น ใช้เลือดจำนวนมหาศาลเป็นเครื่องสังเวย ดูเหมือนว่าประตูจะเปิดออกอีกนาน หมายความว่าก็จะมีปีศาจแห่งความมืดออกมาได้อีกจำนวนมากนั่นเอง
“เรื่องนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้” ซูเฉินไม่ตกใจเท่าไรนัก
การกำจัดเผ่าวิญญาณไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ซูเฉินจึงไม่แปลกใจอะไรเท่าไรไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้อุบายใดก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ ชะตาของเผ่าวิญญาณจึงได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
ปีศาจแห่งความมืดยังคงหลั่งไหลออกมาจากประตูบานนั้นไม่หยุด สร้างความโกลาหลให้สนามรบ ปลดปล่อยหมอกมืดเข้าปกคลุม
และในตอนนั้นก็มีปีศาจขนาดมหึมาตัวหนึ่งโผล่ออกมา ตัวมันมีขนาดเกือบเท่าประตูแห่งความมืด ร่างใหญ่คับขอบประตู พยายามดันตนออกมา ปีศาจแห่งความมืดตัวอื่น ๆ ก็วิ่งเข้ามาช่วย เจ้าปีศาจยักษ์คำรามราวกับไม่พอใจที่ประตูนี่เล็กเกินไป ไม่สามารถปล่อยให้ร่างอันใหญ่โตโอฬารของมันผ่านออกมาได้
“มันคือราชันปีศาจ! ราชันปีศาจมืด!” กูเทียนเยวี่ยหน้าซีด
เจ้าตัวน่าสะพรึงกลัวนี้ได้ก้าวข้ามด่านมหาราชันไปแล้ว ทำให้มันอยู่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ
หากมันสามารถออกมาได้ คงเกิดผลร้ายใหญ่หลวงตามมาแน่
เผ่าวิญญาณนับว่าบ้าคลั่งนักที่อัญเชิญราชันปีศาจมืดออกมา
ราชันปีศาจมืดค่อย ๆ แหวกประตูออกมาอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง
“ซูเฉิน คิดหาทางสักอย่างสิ!” กูเทียนเยวี่ยร้องออกมา
“เราจะทำอะไรได้อีก? มีหนทางเดียวคือต้องทำลายประตูบานนั้น!” ซูเฉินตะโกนตอบ “ข้าจะเป็นคนทำลายมันเอง กูเทียนเยวี่ย ตานปา สั่งคนของพวกเจ้าให้คอยปกป้องข้าให้ได้มากที่สุดจากปีศาจพวกนั้น”
“รับทราบ!” กูเทียนเยวี่ยกับตานปาตอบ
ซูเฉินดีดร่างขึ้น “ชิงลั่ว ช่วยข้าจัดการมันที”
“ได้เลย!” กู่ชิงลั่วหัวเราะก่อนจะดีดตัวไปทางประตูแห่งความมืดพร้อมกันกับชายหนุ่ม
ปีศาจแห่งความมืดทั้งหลายคำรามลั่น ส่งเสียงร้องแหลมแล้วพุ่งเข้าหาซูเฉิน
ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วเหลือบมองกัน ชายหนุ่มพยักหน้า จากนั้นจึงเริ่มโจมตีไปพร้อมกัน
เขาใช้แขนซ้าย นางใช้มือขวา สองฝ่ายวาดเป็นครึ่งวงกลม ภาพมังกรสุริยะปรากฏขึ้นรอบกายคนทั้งสอง
มังกรของซูเฉินตัวเล็กกว่า และดูหนาแน่นกว่ามาก กลิ่นอายของมันมีขีดจำกัด แต่ก็ดูคล่องแคล่วกว่า เมื่อเทียบกับของกู่ชิงลั่วที่ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามออกมาได้สูงกว่า
กระนั้น เมื่อทั้งสองประสานมือเข้าด้วยกัน มังกรทั้งสองตัวก็รวมร่าง ค่อย ๆ เกิดเป็นมังกรสุริยะตัวใหม่ที่ล้อมกายคนทั้งคู่ขึ้นมา
พริบตาที่มังกรสุริยะปรากฏ ก็พลันเกิดคลื่นเพลิงสะบัดซัดออกไปทั่วทุกสารทิศ
ปีศาจแห่งความมืดที่กำลังรุดเข้ามากลายเป็นผุยผงทันใด
กระนั้นมันก็ยังไม่ใช่วิชาโจมตี เป็นเพียงพลังงานที่เอ่อล้นออกมาจากการสร้างมังกรตัวใหม่เท่านั้น
แก่นพลังที่แท้จริงของมังกรซูเฉินคือธาตุไฟที่ก่อเกิดมาจากความเข้าใจในกฎแห่งพลังไฟ ส่วนมังกรของกู่ชิงลั่วนั้นมีแก่นพลังมาจากมังกรอย่างแท้จริง ก่อกำเนิดมาจากสายเลือดมังกรสุริยะในกายนาง
การรวมมังกรทั้งสองเข้าด้วยกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
มังกรสุริยะตัวใหม่เคลื่อนสายตาไปมองประตูแห่งความมืด สายตาปรากฏแววโกรธขึ้งถมึงทึง
จากนั้นมันก็อ้าปาก
“กรรรรร!!!”
เพลิงนรกลุกโชนพุ่งออกมาจากปากของมัน พุ่งไปยังประตูแห่งความมืด
คลื่นเพลิงซัดท่วมร่างราชันปีศาจมืด มันร้องเสียงโหยหวนเจ็บปวด มือที่แหวกประตูออกมาได้แล้วสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งทำให้ไฟโหมลุกมากกว่าเดิม พร้อมกันนั้นมันก็คำรามขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ปีศาจแห่งความมืดรอบตัวเข้ามาช่วยดึงมันออกมาจากประตู ปีศาจแห่งความมืดที่อยู่หลังบานประตูก็ร่วมช่วยด้วย
“โฮกกกกก!!!”
มังกรสุริยะเห็นแล้วยิ่งเกรี้ยวกราด
ลูกไฟอันเจิดจ้าเริ่มก่อตัวขึ้น มันพร้อมที่จะแสดงพลังเต็มที่แล้ว
ลูกไฟนี้มีขนาดเทียบเท่าขุนเขา ดูแล้วคล้ายกับตะวันเทียม ความร้อนสูงเกินจะนึกคิด ราวกับจะสามารถหลอมละลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางทาง พริบตาต่อมา มันก็พุ่งเข้าใส่ประตูแห่งความมืดอย่างรุนแรง
กูเทียนเยวี่ยตกใจมองตามตาแทบหลุดจากเบ้า เขารู้ว่าไฟลูกนี้มีอานุภาพมากพอจะกวาดล้างเมืองใหญ่แห่งหนึ่งได้ทีเดียว กระทั่งด่านมหาราชันยังรับมือได้ยาก
ความแข็งแกร่งร่วมของทั้งสองถึงระดับที่น่ากลัวเช่นนี้แล้วงั้นหรือนี่?
พวกเขาต้องหาวิญญาณอำมฤตให้เจอแล้ว!
กูเทียนเยวี่ยกำหมัดแน่น
มีแต่เมืองล่องนภาที่จะสามารถต้านรับการโจมตีเช่นนี้ได้
ตูม!!!
ลูกเพลิงร้อนระอุปะทะประตูแห่งความมืดและตัวราชันปีศาจมืด เกิดสะเก็ดเพลิงสีขาวกระจายไปทั่ว
“อ๊ากกกก!!!”
ครั้งนี้ กระทั่งราชันปีศาจมืดยังไม่อาจทนความเจ็บปวดไหว ร้องเสียงโหยหวนออกมา ปีศาจที่พยายามดึงมันออกจากประตูก็ร่างหลอมละลายหายไปในทันที
ประตูแห่งความมืดก็ส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะหลังถูกโจมตีเช่นกัน
“อย่าคิดว่าจะทำสำเร็จ!!!” ราชันปีศาจมืดคำราม
แขนที่ผ่านออกมาจากประตูได้แล้วพลันถูกสะบั้นออก กลายเป็นมังกรมืดพุ่งเข้าใส่คนทั้งคู่