บทที่ 909 เจ้าคนอ่อนหัด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 909 เจ้าคนอ่อนหัด

“เป็นพวกเขา…”

ทันใดนั้น หนี่ซานเหยียนเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงอุทานออกมา “พวกเขาคือคนสนิทของหลินเป่ยเฉิน เจ้าอ้วนมีนามว่าเซียวปิง ส่วนเด็กสาวอีกสองนางนั้นก็คือคนรับใช้ประจำตัวหลินเป่ยเฉิน…”

ชินอวี้หมินก็ถึงกับเบิกตาโตแล้วเช่นกัน

แต่หลังจากสลัดหลุดออกจากความตกตะลึง บุรุษหนุ่มก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ปรบมือด้วยความขบขัน “วิเศษที่สุด ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งบอกไปเองว่าต้องการตัวพวกนางทั้งสอง คิดไม่ถึงเลยว่าอาหารเลิศรสกลับส่งมาถึงหน้าประตู ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าคงมีนามว่าเฉียนเหมยกับเฉียนเจินกระมัง?”

“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”

เด็กสาวคนที่พับแขนเสื้อรอไว้แล้วก่อนหน้านี้ถามออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

เฉียนเหมยคิดไม่ถึงเลยว่าภาพลักษณ์แม่ทัพหญิงของตนเองจะโด่งดังไปทั่วนครหลวงแล้ว

ชินอวี้หมินหัวเราะตอบกลับมาว่า “ย่อมรู้จัก”

ดวงตาของเขาเป็นประกายชั่วร้ายขณะกล่าวต่อ “เดิมทีข้าอยากส่งคนไปลักพาตัวพวกเจ้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้ากลับส่งตัวเองมาถึงที่ ฮ่าๆๆ ประเสริฐที่สุด ฮ่าๆๆ…”

“เจ้าจะจับตัวข้ามาเพื่ออะไร?”

เฉียนเหมยถลึงตาสอบถาม

ชินอวี้หมินยังคงเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะต่อไปว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หลินเป่ยเฉินคงฝึกพวกเจ้ามาดีแล้วกระมัง? ฮ่าๆๆ อีกไม่นานเขาก็หามีชีวิตไม่ พวกเจ้าเปลี่ยนมารับใช้ข้าแทนไม่ดีกว่าหรือ?”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

เฉียนเจินซึ่งเมื่อสักครู่นี้ยังพยายามเหนี่ยวรั้งเฉียนเหมยไม่ให้มีเรื่อง บัดนี้ นางถึงกับปล่อยมือออกแล้ว

ไม่เพียงแต่ปล่อยมือเท่านั้น

เฉียนเจินยังเป็นฝ่ายเปิดฉากต่อสู้อีกด้วย

“เจ้ากล้าพูดจาล่วงเกินนายท่านของข้าหรือ? ตายซะเถอะ”

เฉียนเจินขยับกายรวดเร็ว กำปั้นมฤตยูพุ่งกระแทกออกไป

ด้วยความว่องไวปานสายฟ้าฟาด

กำปั้นของนางพุ่งตรงไปที่ชินอวี้หมิน

“ฮ่าๆๆ…”

ชินอวี้หมินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

สีหน้าและแววตาของเขายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย

ในฐานะหนึ่งในขุนนางคนสำคัญของกองลาดตระเวน ซึ่งถือเป็นหน่วยงานภายใต้การควบคุมของกระทรวงอาญา ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชินอวี้หมินจึงไม่เคยต้องเกรงกลัวผู้ใดมาก่อน

แม้แต่ตระกูลเว่ยก็ยังต้องทำดีต่อเขาด้วยความเกรงใจ

แต่ทันทีที่เห็นพวกของเซียวปิงมาปรากฏตัวที่หน้าห้องน้ำชาได้อย่างเงียบเชียบ ชินอวี้หมินก็รู้แล้วว่าเรื่องราวครั้งนี้คงคลี่คลายไม่ง่าย

เซียวปิงเป็นมือขวาของหลินเป่ยเฉิน กองลาดตระเวนมีข้อมูลของเด็กหนุ่มคนนี้ละเอียดครบถ้วน

และสองสาวรับใช้นั้นก็มีฝีมือไม่ต่ำต้อย

ด้วยเหตุนี้ ชินอวี้หมินจึงพยายามพูดคุย

เขาเจตนายั่วโมโหเฉียนเจิน

เนื่องจากว่าเด็กสาวผู้นี้มีประสบการณ์ต่อสู้อ่อนด้อยที่สุด

ระหว่างที่ชินอวี้หมินระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ร่างกายของเขาก็มีเปลวไฟลุกโชนสว่างไสวกลายเป็นชุดเกราะคุ้มกันร่างกาย มิหนำซ้ำ กระบี่เพลิงเล่มหนึ่งยังปรากฏขึ้นในมือเขาอีกด้วย…

“เจ้าต่างหากที่ต้องตาย”

เขาแทงกระบี่ออกไป

คมกระบี่สาดประกายในอากาศ

ในสายตาของชินอวี้หมิน กำปั้นมนุษย์มีหรือที่จะมาสู้คมกระบี่ได้

ต่อให้มีร้อยกำปั้นก็ยังสู้กระบี่เล่มเดียวไม่ได้

และพลังลมปราณที่อัดแน่นอยู่ในตัวกระบี่ก็คือจุดจบของเฉียนเจิน

บัดนี้ ชินอวี้หมินแสดงฝีมือออกมาโดยไม่เก็บแรงแม้แต่น้อย

แต่อย่างไรก็ตาม…

ผลั่ก!

ยังไม่ทันที่คมกระบี่จะพุ่งทะลวงถึงหน้าอกของเฉียนเจิน บุรุษหนุ่มจากกองลาดตระเวนก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกหนักหน่วงบริเวณหน้าอกและช่วงท้องของตนเอง

ชินอวี้หมินตัวงอเป็นกุ้ง ม่านพลังเปลวไฟที่ห่อหุ้มร่างกายสลายหายวับไปในพริบตา

ดวงตาของเขาเบิกโพลง เลือดสีแดงสดทะลักออกปากและจมูก

เด็กสาวผู้อ่อนหวานเบื้องหน้าค่อยๆ ลดกำปั้นของนางลง

นางเพียงโจมตีด้วยหมัดของตนเอง

กำปั้นที่อ่อนโยนนุ่มนวลของเฉียนเจินทำลายความมั่นใจและความหยิ่งผยองตลอดระยะเวลาหลายปีของชินอวี้หมินมลายหายไปหมดสิ้น

ในเวลาเดียวกันนี้ ร่างของเฉียนเจินที่สมควรถูกกระบี่ทิ่มแทงกลับสลายหายไปคล้ายเป็นเพียงหมอกควันสายหนึ่ง

นางไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นเพราะว่าสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมากเกินไป

“เจ้ากล้าเรียกตนเองว่าผู้แข็งแกร่งได้อย่างไร?”

เฉียนเจินส่ายหน้าราวกับเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา “ให้ตายสิ เจ้านี่มันอ่อนหัดชะมัด”

“นางสารเลว เจ้า…”

ชินอวี้หมินคำรามออกมาด้วยความเจ็บใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาอีก แรงกระแทกจากหมัดแรกยังไม่ทันจางหายไป หมัดที่สองของเด็กสาวก็ตามซ้ำเข้ามาติดๆ

อวัยวะภายในแตกกระจาย

แม้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย แต่ถ้าอวัยวะภายในแตกสลาย ก็ยังตายได้อยู่ดี

ชินอวี้หมินมีสีหน้าตื่นตระหนก

กำลังจะตาย

นี่เขากำลังจะตายใช่หรือไม่?

สมองของเขาว่างเปล่า ชินอวี้หมินไม่อยากเชื่อ บุคคลที่มีตำแหน่งสูงส่งในนครหลวงอย่างเขาจะตายได้อย่างไร?

ซ้ำยังเป็นการตายโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า?

“บัดซบ เจ้ากล้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร?”

ชินอวี้หมินได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นรอบกาย

สายตาของเขาพร่ามัว ชินอวี้หมินหันไปมองทางด้านหลังโดยไม่รู้ตัว จึงได้เห็นหนี่ซานเหยียนกระโดดเข้ามาด้วยความดุร้าย แต่แล้วทันใดนั้น หนี่ซานเหยียนก็ถูกเด็กสาวผู้อ่อนหวานกระแทกหมัดใส่หน้าอก ลำตัวครึ่งท่อนบนระเบิดกระจาย…

เป็นการระเบิดกระจายที่แท้จริง

หนี่ซานเหยียนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสี่ แต่ร่างกายกลับแตกกระจายง่ายดายราวกับเป็นแตงโมลูกหนึ่ง ลำตัวท่อนบนเปลี่ยนสภาพกลายเป็นม่านหมอกเลือดสาดกระจายไปรอบทิศทาง

หลังจากนั้น ชินอวี้หมินก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของหวงซืออวี่

ชินอวี้หมินเห็นด้วยตาของตนเองว่าเด็กหนุ่มผู้ยืนรับประทานน่องไก่ต้มอยู่เมื่อครู่ บัดนี้กลับยิงลำแสงสีเงินยวงออกมาจากมือพุ่งเข้าใส่ต้นขาข้างหนึ่งของหวงซืออวี่ ส่งผลให้ขาข้างนั้นของชายวัยกลางคนกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปแล้วเช่นกัน

นี่คือวิชาฝ่ามือลำแสงพิฆาต

เป็นหนึ่งในวิชายุทธ์ขึ้นชื่อของหลินเป่ยเฉิน!

นั่นคือข้อมูลที่ปรากฏขึ้นมาในสมองของชินอวี้หมิน หลังจากนั้น ดวงตาของเขาก็พบเห็นเพียงความมืดมิด สติสัมปชัญญะดับวูบ และร่างกายก็ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง

ตุบ!

“อ๊าก… อ๊า พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาฆ่าคนถึงที่นี่?”

หวงซืออวี่ขาขาดไปหนึ่งข้าง ใบหน้าอวบอ้วนบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ใช้ขาข้างเดียวที่เหลืออยู่กระโดดโหยงเหยงถอยหนีไปทางด้านหลัง

ด้วยความโกรธแค้นและหวาดกลัว

ด้วยความตกตะลึงในระดับพลังของผู้บุกรุก

หวงซืออวี่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะกล้ามาก่อเหตุฆาตกรรมผู้คนในจวนที่พักของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กลางนครหลวง

เด็กกลุ่มนี้…

คิดจะก่อการกบฏหรืออย่างไร?

พวกเขา…

กล้าดีอย่างไร?!

ที่นี่คือนครหลวงเชียวนะ

“บัดซบ ข้าคือข้าราชการแห่งแผ่นดิน ข้าคือ…”

ในเวลาเดียวกันนี้ เสียงคำรามขององครักษ์เว่ยเฉิงหลงดังขึ้นมา

แต่เสียงที่ตอบกลับเขาไปดังเพียง ‘ปิ้ว’

ลำแสงสีเงินพุ่งออกมาจากมือเซียวปิงอีกครั้ง แล้วศีรษะขององครักษ์ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสองก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด แม้แต่กะโหลกศีรษะก็ไม่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้า…

“ข้าราชการแห่งแผ่นดิน?”

เซียวปิงยกมือขึ้นมาเป่าปลายกระบอกปืนอินทรีหิมะที่มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นมองเห็น ก่อนพูดต่อ “ฝีมือเพียงเท่านี้ก็เรียกตัวเองว่าเป็นข้าราชการแห่งแผ่นดิน เจ้าไม่ละอายใจบ้างหรืออย่างไร น่องไก่ของข้ายังมีประโยชน์มากกว่าเจ้าเสียอีก”

ปิ้วปิ้วปิ้วปิ้ว!

และเสียงของการยิงลำแสงออกจากฝ่ามือก็ดังขึ้นต่อเนื่อง

ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสาม ไม่สามารถรอดชีวิตจากการโจมตีของเซียวปิงได้เลย

หวงซืออวี่เองก็ศีรษะกระจายตายคาที่ไปแล้วเช่นกัน

เช่นเดียวกับองครักษ์ชื่อดังอีกหลายคน

บัดนี้ เซียวปิงรับสัญญาณไวไฟมาจากหลินเป่ยเฉิน เขาจึงมีพลังเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นเซียน ในจวนตระกูลหวงขณะนี้ ไม่มีผู้ใดจะต้านทานเด็กหนุ่มร่างอ้วนได้อีกแล้ว

เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็ได้รับการเพิ่มพลังขึ้นมาจนอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ สมาชิกตระกูลเว่ยที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดก็คือเว่ยหมิงเฟิง เขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับแปด แต่ก็ยังถูกเฉียนเหมยโจมตีจนต้องกระอักเลือดเซถอยหลังไปหลายรอบ…

นี่คือการสังหารหมู่ชัดๆ

“พวกเจ้าคุ้มกันข้า”

เว่ยหมิงเฟิงออกคำสั่งด้วยสีหน้าหวาดกลัว

แม้ว่าเขาจะมีความฉลาดเลิศล้ำด้านการวางกลยุทธ์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากเกินไป เว่ยหมิงเฟิงก็ยังต้องมีสีหน้าซีดเซียว แข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ดูอย่างหวงซืออวี่นั่นปะไร เขาตายโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

หลินเป่ยเฉินไปเอาความกล้าหาญมาจากไหนในการบุกสังหารข้าราชการถึงจวนที่พักเช่นนี้?

ทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย

เกาเฟินเจี๋ยและไป๋เถากัดฟันก่อนชักกระบี่ ถลันเข้ามาคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่เว่ยหมิงเฟิง

เว่ยหมิงเฟิงกระอักเลือดไปด้วยพลางหลบหนีไปด้วย

เขาโยนวัตถุสีดำบางอย่างจากมือทิ้งลงไปบนพื้นอย่างแรง พริบตานั้น ในอากาศมีหมอกควันสีดำตลบคลุ้ง และกลิ่นเหม็นของมันก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วจวนตระกูลหวง…

“ควันพิษ พวกเจ้าระวัง”

เซียวปิงร้องเตือนเสียงดัง

ในปากของเฉียนเหมยกับเฉียนเจินอมยาแก้พิษจากอานมู่ซีอยู่ก่อนแล้ว ควันพิษพวกนี้จึงทำอะไรพวกนางไม่ได้

เพียงไม่กี่ลมหายใจ

สมาชิกตระกูลเว่ยในจวนตระกูลหวงก็ถูกสังหารหมดสิ้น

ควันพิษสีดำเบาบางลงแล้ว

เซียวปิงกระโดดขึ้นไปสังเกตการณ์อยู่บนหลังคา

ในมือของเขามีปืนไรเฟิล 98k พร้อมกับกล้องขยาย

เล็งเป้าหมาย

ที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้

“ฮ่าๆๆ… ในที่สุดข้าก็สามารถหนีออกมาได้สำเร็จ ข้านี่มันฉลาดจริงๆ…”

ดวงตาของเว่ยหมิงเฟิงเป็นประกายวาววับเมื่อตะโกนออกมา

แต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็คล้ายกับรับรู้ได้ถึงอันตราย

ยังไม่ทันได้ตอบสนอง

เปรี้ยง!

เสียงกัมปนาทดังขึ้น

ร่างกายกระตุกเฮือก

เรี่ยวแรงหายลับราวกับเป็นระดับน้ำทะเลที่ลดลงไม่มีหยุด

เว่ยหมิงเฟิงรู้สึกเพียงแต่ว่าโลกที่ตนเองเห็นในขณะนี้กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว

จากนั้นความมืดมิดก็กลืนกินสติสัมปชัญญะ

ห่างออกไป เซียวปิงเก็บอาวุธเทพเจ้าของตนเองกลับเข้าที่

และนำน่องไก่ย่างออกมารับประทานอย่างมีความสุข

“พวกเรากลับกันเถอะ”

เขากระโดดลงมาจากหลังคาและบอกต่อเด็กสาวรับใช้ทั้งสองคน

พวกเขาเดินทางกลับ

ในไม่กี่อึดใจให้หลัง ทั้งสามคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามียอดฝีมือจำนวนมากกำลังรีบมุ่งหน้าตรงมาที่จวนตระกูลหวง

และก็มีร่างปริศนาหลายร่างที่แอบมาสังเกตการณ์อยู่บ้างแล้ว ดังนั้นพวกของเซียวปิงจึงต้องรีบหลบหนีโดยเร็ว