ตอนที่ 697 รีบจัดงานแต่งงานโดยไว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“พี่ใหญ่ ซ่อมรูโบ๋ๆ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันโยนสองสิ่งนั้นลงบนพื้น ในดวงตาของนางมีแต่ประกายไร้เดียงสา 

 

 

ถึงแม้ว่าสติปัญญาและความรู้สึกนึกคิดจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนตอนวัยเด็ก แต่ว่าความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆมิได้หายไป ทันทีที่นางมองเห็นรูโบ๋ของดาบยักษ์ ก็ตัดสินใจนำสิ่งของทั้งสองออกมาในทันที 

 

 

นั่นเป็นอาวุธประจำกายของแม่ทัพในแดนสวรรค์ แน่นอนว่ามิใช่สิ่งวัตถุในโลกจะไปเปรียบเทียบได้ 

 

 

พอสิ่งของทั้งสองอย่างถูกนำออกมา ภายใต้เสียงดังโครม พื้นห้องก็กลายเป็นรูขนาดใหญ่สองรู 

 

 

ตู๋กูจุนตะลึงไปเล็กน้อย ถึงแม้ว่าตั้งแต่ตู๋กูซิงหลันกลับมา เขาจะรู้สึกว่าน้องเล็กแปลกๆไปอยู่บ้าง แต่ก็มิได้กล่าวอะไรออกไป ตอนนี้อยู่ๆนางก็ฉวยเอาสิ่งของสองสิ่งนี้ออกมา เขาจึงเดินเข้าไปดู 

 

 

พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอสงครามที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดา 

 

 

เขายื่นมือออกไป หยิบเอาค้อนทลายดวงดาวออกมา พอหยิบขึ้นมา ก็แทบจะยกไม่ขึ้น  

 

 

ดาบยักษ์ของเขานับว่าหนักมากแล้ว แต่ว่าค้อนทลายดวงดาวด้ามนี้ ยังหนักกว่าดาบยักษ์ของเขาอีกหนึ่งส่วน? 

 

 

เมื่อครู่ตอนที่น้องเล็กโยนสองสิ่งนี้ออกมา กลับดูง่ายๆสบายๆราวกับหยิบกระดาษสองแผ่น 

 

 

จีเฉวียนเพียงเหลือบตามองดูสิ่งของทั้งสองแวบหนึ่ง 

 

 

ศาสตราคู่ชีพของแปดแม่ทัพสวรรค์ ผ่านการหล่อหลอมและใช้งานมานับพันปี ย่อมยอดเยี่ยม 

 

 

“ต้องใช้ลูกแก้ววิญญาณเพลิงหลอมจนกลายเป็นของเหลว ค่อยเติมลงในรอยทะลุของดาบ เช่นนี้ก็จะซ่อมแซมได้ดีดังเดิม 

 

 

สองสิ่งนั้น สามารถซ่อมแซมดาบยักษ์ได้อย่างเกินพอ 

 

 

จีเฉวียนพูดแล้ว ก็ล้วงเอาลูกแก้ววิญญาณเพลิงออกมา ส่งให้กับตู๋กูจุน 

 

 

ก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขามีไอเย็นเหน็บหนาวที่รุนแรงที่สุด จึงจำเป็นต้องมีลูกแก้วลูกนี้เอาไว้ปกป้องตู๋กูซิงหลันที่เข้ามาใกล้เขา แต่ว่าตอนนี้ร่างกายของตู๋กูซิงหลันผ่านการฝึกฝนและบ่มเพาะในดวงดาวสีดำดวงนั้นมาแล้ว จึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นจะต้องใช้ลูกแก้วเพลิงนี้มาคุ้มครองร่างกายอีกต่อไปแล้ว 

 

 

ตู๋กูจุนเคยพบเจอเหล่านักพรตและสมบัติล้ำค่าต่างๆมาจำนวนไม่น้อย แต่ว่าจีเฉวียนแค่สะบัดมือก็ล้วงเอาลูกแก้ววิเศษที่เขาไม่เคยเห็นออกมาลูกหนึ่ง 

 

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกเขาได้ผ่านประสบการณ์ใดมากันแน่ เกรงว่าคงจะเหนือล้ำกว่าที่เขาจะคาดคิดได้มากนัก 

 

 

ผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง หลี่กงกงก็เข้ามาทูลรายงานว่าห้องเครื่องตระเตรียมอาหารต่างๆเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้มาสอบถามว่าจะสามารถนำขึ้นมาถวายเลยได้หรือไม่ 

 

 

พอตู๋กูซิงหลันได้ยินว่ามีเนื้อกิน ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที 

 

 

ตู๋กูจุนจึงถูกรั้งเอาไว้ให้รับประทานอาหารด้วยกันมื้อหนึ่ง 

 

 

ในพระตำหนักตี้หัวกงขาดบรรยากาศของผู้คนที่คึกคักมานานแล้ว หลี่กงกงรับใช้อยู่ที่ด้านข้าง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกสงสัยว่าตนเองใช่ฝันไปหรือไม่ 

 

 

ระหว่างที่ทานอาหาร จีเฉวียนก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ตู๋กูจุนฟังอย่างคร่าวๆ ประเด็นหลักๆก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นกับตู๋กูซิงหลันเสียส่วนใหญ่ พอได้ยินว่าจิตวิญญาณของน้องเล็กได้รับบาดเจ็บ ความคิดกลับกลายเป็นเหมือนวัยเด็ก หัวใจของตู๋กูจุนก็เจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

แววตาที่มองไปยังนางก็เพิ่มพูนความรักความสงสารอีกหลายส่วน 

 

 

แต่ขณะเดียวกันก็แอบดีใจขึ้นมาเล็กๆ….. 

 

 

จะว่าไป น้องเล็กตอนที่ยังเป็นเด็กน้อย ทั้งนุ่มนิ่มและน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง มิว่าไปที่ใดก็ล้วนต้องอุ้มเอาไว้บนบ่า…. 

 

 

นับตั้งแต่ที่น้องเล็กกลายเป็นฮ่องเต้หญิงเป็นต้นมา เขาก็ไม่มีโอกาสได้อุ้มนางชูสูงๆแล้วจับหอมมานานแล้ว ตอนนี้ชักจะรู้สึกคิดถึงเรือนร่างที่นุ่มนิ่ม มิว่าจะกอดอย่างไรก็ไม่คัดค้านอยู่เหมือนกัน 

 

 

พอน้องเล็กกลายเป็นฮ่องเต้หญิงไปแล้ว แม้ว่าเขาจะยังคิดอยากจะอุ้มจะกอดนางอยู่ แต่ว่าก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว 

 

 

คราวนี้ ดวงตาที่มองไปยังตู๋กูซิงหลันจึงเปล่งประกายจนวิบวับ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะคว้าเนื้อแพะย่างใส่ปาก ริมฝีปากเป็นมันวาวด้วยน้ำมันเนื้อ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นตู๋กูจุนจ้องมองมาที่นางอย่างไม่กระพริบตา 

 

 

นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ขาแพะที่พึ่งจะกัดไปครึ่งหนึ่งในจานของตนเองอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก ค่อยฉีกเนื้อขนาดเส้นผมออกมาสองเส้นส่งให้กับเขา “มากกว่านี้ไม่มีแล้วนะ …..นู๋ไม่พอกินแล้ว….” 

 

 

หือ อุตส่าห์ยอมแบ่งเนื้อที่กัดไปแล้วคำให้กับเขา ก็เพราะเห็นว่าพี่ใหญ่ท่านนี้ดูหล่อเหลาจนน่าถูกชะตาหรอกนะ 

 

 

ตู๋กูจุน “…… อื้ม น้องเล็กช่างน่ารักจริงๆ 

 

 

แม้จีเฉวียนจะหน้าไม่เปลี่ยนสี แต่ว่าในใจของเขาก็รู้สึกว่าตู๋กูซิงหลันน่ารักน่าเอ็นดูที่สุดเช่นกัน 

 

 

ใช่แล้ว ในหกภพภูมิ จะยังมีผู้ใดที่น่ารักกว่านางได้อีกเล่า? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปยัดอาหารจนเต็มปาก สองแก้มพองออกมานอกชามราวกับหนูน้อย ไม่สนใจระวังกริยามารยาทในการกินเลยสักนิด 

 

 

หลี่กงกงชมดูจนปวดใจอยู่บ้าง 

 

 

……………. 

 

 

วันรุ่งขึ้น ท่านผู้เฒ่ารีบร้อนเข้าวังมา พร้อมกับเจ้าอาวาสของวันเทียนเจี้ยนซื่อ  

 

 

เขาถูกท่านผู้เฒ่าตู๋กูจับตัวมาเช่นนี้ 

 

 

จีเฉวียนเองก็ตื่นแต่เช้า ด้วยความเคยชินที่จะต้องลุกไปตรวจดูฎีกาในห้องอักษรแต่เช้า 

 

 

“เจ้าหลานชาย!” ทันทีที่เห็นจีเฉวียน สีหน้าของท่านผู้เฒ่าก็เบิกบานราวกับฤดูใบไม้ผลิ 

 

 

เจ้าอารามวัดเทียนเจี้ยนซื่อตกอกตกใจจนแทบจะสติหลุดอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินข่าวลือว่าฮ่องเต้ทรงเสด็จกลับมาแล้วนั้น เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะเชื่อ พอนี้พอได้เห็นจีเฉวียน ตนเองก็ยังรู้สึกเหมือนได้เห็นผีอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เขารีบคุกเข่าดังตึงลงตรงหน้าจีเฉวียนในทันที 

 

 

เขายังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไป ก็ได้ยินเสียงตู๋กูถิงเอ่ยว่า “หลายชาย ท่านเจ้าอาวาสมาถึงแล้ว วันที่แปดเดือนหน้านับเป็นวันมงคล พวกเรารีบจัดงานแต่งงานให้เรียบร้อยเถอะ!” 

 

 

ท่านผู้เฒ่าตื่นเต้นจนคันไม้คันมือ ในแววตามีแต่รอยยิ้ม 

 

 

เขาอยากจะอุ้มเหลนจนรอไม่ไหวอีกแล้ว 

 

 

ว่าแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็ยังหิ้วท่านเจ้าอาวาสขึ้นมา “เจ้าบอกกับหลานชายให้รู้เรื่อง วันที่แปดเดือนหน้านั้นดีอย่างไร” 

 

 

ท่านเจ้าอาวาสตัวสั่นเทา พูดจาก็ติดอ่างไปแล้ว “ดะ ดะ เดือนหน้า….วันที่แปดกระทำเรื่องใดล้วนสะดวก ราบรื่น ดะ ดะดีทุกประการ เหมาะจัดงานมงคลสมรสที่สุด” 

 

 

ท่านผู้เฒ่า “เห็นรึไม่ ข้าผู้เฒ่าไม่ได้หลอกลวงเจ้านะ!” 

 

 

ที่เขาลงทุนจับตัวท่านเจ้าอาวาสมาถึงนี่ ก็เพราะเกรงว่าจีเฉวียนจะคิดว่าเขาพูดจาเหลวไหล 

 

 

จีเฉวียน “ตกลง ล้วนแล้วแต่ท่านตาจัดการ” 

 

 

ยามนี้หัวใจของท่านผู้เฒ่าเหมือนมีบุปผาผลิบาน ดูสิ เจ้าหลานชายคนใหม่ช่างได้ดั่งใจ! 

 

 

มิว่าอะไรก็ไม่คัดค้าน ทำตามความปรารถนาของผู้เฒ่าอย่างเขาทุกอย่าง 

 

 

หากเปรียบเทียบกับเจ้าหลายชายสองคนในบ้านที่ยังไม่ได้แต่งงาน เจ้าหลานชายคนใหม่นี้ยิ่งเห็นก็ยิ่งสบายตาสบายใจ 

 

 

แววตาที่ท่านผู้เฒ่ามองดูจีเฉวียน ยิ่งคล้ายแม่สามีมองดูลูกสะใภ้เข้าไปทุกที 

 

 

ว่าแล้ว เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบกล่าวว่า “อ้อ ตอนนี้หลันหลันของพวกเราเป็นฮ่องเต้หญิง เจ้าต้องแต่งให้กับนาง เป็นพระสวามี” 

 

 

จีเฉวียน “อืม” 

 

 

“ภายหน้าเมื่อมีลูก ก็ต้องใช้แซ่ตู๋กู….” ว่าตามจริง พอพูดถึงตรงนี้ ท่านผู้เฒ่าก็รู้สึกว่าตนเองออกจะเกินไปอยู่บ้าง 

 

 

สำหรับผู้ที่สูงส่งอย่างจีเฉวียนแล้ว ยอมแต่งเข้ามา ก็ต้องถือว่าเขาถอยให้หมื่นก้าวแล้วกระมั้ง? 

 

 

ดังนั้นส่วนลึกในใจของเขาจึงเกิดความไม่แน่ใจอยู่บ้าง  

 

 

แต่ก็สังเกตเห็นว่าจีเฉวียนมิได้ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย เขาเอ่ยอย่างเป็นปกติว่า 

 

 

“ขอเพียงนางพอใจ จะแซ่อะไร เรียกว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น” 

 

 

พอผู้อื่นพูดออกมาเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าก็ชักจะรู้สึกเกรงอกเกรงใจขึ้นมา 

 

 

เขาจึงยอมถอยให้อีกก้าวหนึ่ง “ลูกหลานนั้น หากว่ามีหลายคน….จะมีสักหนึ่งหรือสองคนมาใช้แซ่ของเจ้าก็ได้อยู่” 

 

 

จะอย่างไรย่อมไม่อาจปล่อยให้ตระกูลจีปราศจากผู้สืบทอดไปได้…. 

 

 

จีเฉวียน “ทั้งหมดล้วนตามแต่ใจของซิงซิง” 

 

 

วันที่แปดเดือนหน้า นับดูแล้วก็ประมาณครึ่งเดือนสินะ….ภายในสิบกว่าวันนี้เขาจะต้องทำให้จิตวิญญาณของนางฟื้นฟูเหมือนดังเดิมให้จงได้ เขาต้องการให้นาง แต่งงานกับเขาอย่างมีความสุข สดใส และมีสติสมบูรณ์ 

 

 

อ้อ ไม่ใช่สิ ……ต้องมารับเขาแต่งเข้าประตูไป…… 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ จีเฉวียนก็ก้มศีรษะลง แววตาใต้แพขนตาหนานั่นมีแสงอันอบอุ่นอ่อนโยน พอคิดถึงเจ้าตัวน้อยที่น่ารัก ในใจก็รู้สึกหวานชื่นไปหมด 

 

 

ขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงของหลี่กงกงเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ท่านอ๋อง คะ คุณชาย….คุณชายรองกลับมาแล้ว” 

 

 

……………