“เจ้ารองกลับมาแล้ว?” ท่านผู้เฒ่าเผยสีหน้าประหลาดใจเป็นคนแรก สักพักก็ค่อยได้สติขึ้นมา ขยับตัว ยื่นคอมองออกไปทางนอกห้องหนังสือ 

 

 

เขาไม่ได้เจอหน้าเจ้ารองมานานเกือบปีแล้ว เด็กคนนี้แม้ว่าจะปากมากไปสักหน่อย แต่เอาเข้าจริงแล้วก็มิได้มีวรยุทธ์อะไร….. 

 

 

เขาที่เป็นท่านตา ไหนเลยจะไม่กังวลใจได้กัน กลัวแต่ว่าเขาจะถูกคนนอกรังแก แถมยังสู้เขาไม่ได้ 

 

 

คนที่ถูกส่งออกไปตามหาเขา กลับไม่มีวี่แวใดๆทั้งสิ้น วูบหนึ่งท่านผู้เฒ่ายังนึกไปว่าเขาไปตายอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วเสียอีก 

 

 

ลำคอของเขายิ่งทีก็ยิ่งยืดยาว ปลายเท้าหันหาภายนอก พอไปถึงปากประตู ก็เห็นเงาขาวๆสายหนึ่งพุ่งเข้ามา 

 

 

คนผู้นั้นบิดร่างวูบหนึ่งก็เข้ามายืนอยู่ข้างใน ทั้งยังกลัวถูกทุบตี จึงจงใจเดินอ้อมท่านผู้เฒ่าไป ยามที่ได้เห็นหน้าท่านผู้เฒ่า แววตาก็ยังตื่นตัวไม่หาย 

 

 

เดิมทีเขาคิดจะนั่งลงที่ข้างกายจีเฉวียนอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นแววตาของบุรุษผู้นั้น ต่อให้คิดจะไม่ใส่ใจก็ทำไม่ได้ 

 

 

คำพูดในห้องพระอักษรของพวกเขา ตนเองได้ยินหมดแล้ว….. 

 

 

พวกมังกรทั้งเก้าพาวิญญาณของต้าซือมิ่งกลับมา และบังคับให้มอบยาถอนพิษออกมา พิษในร่างของเขาจึงได้รับการไถ่ถอนเรียบร้อยมาต้องนานแล้ว ที่กลับมาต้าโจวครั้งนี้ หนึ่งก็เพราะคิดถึงท่านผู้เฒ่าและพี่ใหญ่ สองเพราะคิดจะปรึกษาพวกเขาดูว่า มีหนทางจะช่วยเหลือน้องเล็กได้บ้างหรือไม่ 

 

 

จิตวิญญาณของน้องเล็กขึ้นไปบนสวรรค์ ร่างเนื้อก็ถูกคนพาไป….ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญในตอนนี้ ……เป็นกลุ่มคนที่แม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงมาโดยตลอด เทพในแดนสวรรค์ 

 

 

เขาเพียงคนเดียวไม่อาจขึ้นไปบนสวรรค์ได้ 

 

 

จำเป็นต้องรวมกำลังคนในครอบครัวเป็นหนึ่งเดียว 

 

 

นับตั้งแต่ที่พลังกระหายเลือดในร่างกายของเขาตื่นขึ้นมา เขาก็รู้แล้วว่าตนเองมิใช่มนุษย์ธรรมดา 

 

 

เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็ต้องเป็นเช่นเดียวกัน…. 

 

 

พี่สาวจิ้งจอกในหุบเขาหมื่นปีศาจเป็นพวกปากแข็งใจอ่อน นางยอมช่วยเขาให้จิตวิญญาณที่แตกสลายของชือหลีได้รั้งอยู่ในสวนบุปผาวิญญาณ เขาจึงสามารถเดินทางกลับมาได้อย่างไร้ข้อกังวลใจ 

 

 

เขาขี่มังกรกลับมา มังกรว่านหลี่ที่เป็นหนึ่งในเก้ามังกรอาสารับใช้ด้วยตนเอง 

 

 

เพียงแต่พอมาถึงนอกเมืองหลวงตี้ตู เขาก็ให้มังกรว่านหลี่รั้งอยู่ในป่าเขาภายนอก 

 

 

ดินแดนโบราณแห่งนี้น้อยนักที่จะมีสัตว์วิเศษเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมา ตู๋กูจุนเกรงว่าพอมันถูกผู้คนพบเห็น จะก่อให้เกิดความยุ่งยากกว่าเดิม 

 

 

โอ๋? ช่างบังเอิญจริงๆ พอรีบร้อนกลับมา ก็ได้เจอกับน้องเล็กกลับมาโดยบังเอิญ 

 

 

ผู้ที่กลับมามิใช่เพียงแต่น้องเล็ก แต่ยังมีจีเฉวียนที่พวกเขาเคยคิดว่าตายไปนานแล้วอีกด้วย 

 

 

“ท่านตา นี่เห็นว่าข้าไม่คู่ควรใช้แซ่ของท่านแล้วหรือไง? น้องเล็กจะแต่งงานทั้งทีกลับไม่มีใครมาส่งข่าวแม้แต่น้อย?” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยอยากจะร้องไห้จริงๆ เขาแอบรู้สึกว่าฐานะของตนเองในบ้านหลังนี้ยิ่งทีก็ยิ่งตกต่ำใหญ่แล้ว 

 

 

ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเป็นหรือตาย อยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ แล้วพวกเราจะไปแจ้งข่าวกับเจ้าได้อย่างไร?” 

 

 

เขาจับจ้องดูตู๋กูเจวี๋ย ไม่ได้พบกันมาหนึ่งปี ร่างกายที่เดิมผอมบาง ตอนนี้กลับมีกล้ามเนื้อขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

“ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่แลัวแข็งแรงดีออกปานนี้ ยังไม่รู้จักส่งข่าวกลับมาให้ทางบ้านอีก เราผู้เฒ่าเกือบจะจัดงานไว้อาลัยให้กับหลานเต่าอย่างเจ้าแล้ว!” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยถึงกับกรอกตามองบนขึ้นไป “ท่านตา ท่านอยากด่าคนก็ส่วนด่า ทำไมจะต้องลากเอาลูกหลานตนเองเข้าไปด้วย? ไม่คุ้มค่าเลยน้า!” 

 

 

ปากคู่นั้น ยังคงระคายหูอยู่เหมือนเดิม 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยหัวเราะทำท่าฮิฮะด้วยท่าทางน่าทะเล้นต่อไป  

 

 

ท่านผู้เฒ่าไหนเลยจะโกรธเขาจริงๆ ในใจแช่มชื่นยิ่งนัก ในดวงตาของเขามีแต่ประกายน้ำตาชื้นๆ 

 

 

แต่ว่าต่อหน้ายังคงทำท่าทำทางถลึงตาจนหนวดเคราเป่ากระจาย “กลับมาแล้วก็จงทำงานทำการให้ดี งานแต่งงานของน้องสาวเจ้า จะต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน มิว่าบ้านไหนตระกูลใดก็เทียบไม่ได้!” 

 

 

“ขอรับๆๆ” ตู๋กูเจวี๋ยรีบเอาใจเขา ขณะเดียวกันแววตาก็หันไปหยุดอยู่บนร่างของจีเฉวียน 

 

 

จีเฉวียนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ คือจีเฉวียนคนเดิมจริงๆนะหรือ? 

 

 

จีเฉวียนกวาดตามองมาที่เขาแวบหนึ่ง ก็เอ่ยปากเรียกอย่างคล่องแคล่วว่า “พี่(ภรรยา)รอง ที่ผ่านมาสบายดีรึ” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ย “! ! !” 

 

 

รู้หรือไม่ว่าการถูกบุรุษที่สูงส่งเย็นชาอย่างที่สุดเรียกตนเองว่าเป็นพี่รอง มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงไร? 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ย รู้สึกเหมือนกับว่าการที่ตัวเขายังไม่ตายนั้น กลายเป็นทำผิดต่อจีเฉวียนไปเสียแล้ว 

 

 

ท่าทางของคนผู้นี้ ราวกับว่าแทบจะอยากเข้ามาฟันเขาเพิ่มสักดาบหนึ่ง 

 

 

หลังจากนั้น ก็เห็นจีเฉวียนปิดหนังสือตรงหน้าลงไป จากนั้นก็หันมามองดูตู๋กูเจวี๋ยแวบหนึ่ง “เจ้ามีฝีปากดี เรื่องงานแต่งงานของข้าผู้เป็นอ๋องกับซิงซิง เจ้าก็มาเป็นแม่งานจัดการก็แล้วกัน” 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตู๋กูเจวี๋ยจึงต้องตั้งอกตั้งใจกว่าเดิม 

 

 

นี่ต้องนับว่าเขามีสายตาดีไม่เลวเลย ใครๆต่างก็รู้ดีว่า ในดินแดนโบราณแห่งนี้ เขามีฝีปากเป็นเลิศมิใช่หรือ? 

 

 

เพียงแต่พอคิดถึงเรื่องขณะที่กลับมา ระหว่างทางก็พบเจอเรื่องบางประการเข้า ทำให้ตู๋กูเจวี๋ยต้องรู้สึกกังวลขึ้นมา 

 

 

กระทั่งเมื่อท่านผู้เฒ่าลากเจ้าอาวาสวัดเทียนเจี้ยนซื่อออกไปปรึกษาหารือเรื่องงานอภิเษกสมรส ตู๋กูเจวี๋ยถึงได้นั่งลงที่ข้างกายจีเฉวียน 

 

 

“ตอนที่กลับมาจากแดนจิ่วโจว ข้าได้เจอกลุ่มคนที่แปลกประหลาดกลุ่มหนึ่ง” 

 

 

เขาไม่ได้เอ่ยวาจาอ้อมค้อมกับจีเฉวียน 

 

 

“หืม?” 

 

 

จีเฉวียนนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง 

 

 

“บนร่างของพวกเขามีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยคิดย้อนไปอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังคงรู้สึกว่าร่างกายอึดอัดคับข้องอยู่เลย “แบบว่าพอเข้าไปใกล้ ก็จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายยามที่ชีวิตดับสูญ” 

 

 

จีเฉวียนได้ฟังแล้ว ดวงตาหงส์คู่นั้นก็เย็นยะเยือกขึ้นมาอีกหลายส่วน 

 

 

“พี่สาวจิ้งจอกกับซูเยาต่างก็บอกว่า ตอนนั้นเจ้าเป็นคนพาร่างเนื้อของหลันหลันไป ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ดูท่าก็คงจะมิใช่จีเฉวียนในกาลก่อนแล้วกระมั้ง…” ตู๋กูจุนมองดูเขา ในใจก็เพิ่มความนับถือต่อบุรุษตรงหน้าผู้นี้อยู่บ้าง 

 

 

“เจ้าเคยเห็นคนเหล่านั้นมาก่อนหรือไม่?” 

 

 

ที่จริงแล้ว ตอนที่เขาไปเจอคนเหล่านั้น หากดูจากภายนอกพวกเขาก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลย เพียงแต่ว่าบรรยากาศของคนพวกนั้นออกจะประหลาดมากเกินไปแล้ว 

 

 

เทียบกับบรรยากาศของแคว้นเหยียนยามที่ถูกพวกผีดิบครองเมืองแล้วยังทำให้รู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งกว่าเสียอีก 

 

 

แม้แต่มังกรว่านหลี่ที่กลับมาพร้อมกับเขาก็ยังไม่รู้จัก 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยอาศัยสัญชาตญาณ ก็รู้สึกว่าคนเหล่านั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ 

 

 

จีเฉวียนมิได้ตอบเขา เพียงแต่ในใจกลางฝ่ามือปรากฏหมอกสีดำขึ้นมาขุมหนึ่ง หมอกสีดำกลุ่มนั้นพุ่งเข้าไปยังเบื้องหน้าของตู๋กูเจวี๋ย และรายล้อมร่างกายของเขาเอาไว้ 

 

 

“มีกลิ่นอายเช่นนี้หรือไม่?” 

 

 

เขาสอบถามดู 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะหลายๆครั้ง 

 

 

“ไม่เหมือนกัน….ของเจ้าเป็นความเหน็บหนาว ส่วนพวกเขาเหล่านั้น….ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าหากมีสิ่งมีชีวิตใดเข้าไปใกล้ก็จะต้องดับสูญไปจนหมดสิ้น” 

 

 

ถึงแม้ว่าบนร่างของคนเหล่านั้นจะมีหมอกควันสีดำอยู่หนาแน่นเหมือนกันก็ตาม….. 

 

 

ว่าแล้ว หมอกสีดำที่รายล้อมตู๋กูจุนก็จางหายไป 

 

 

จีเฉวียนหลุบตาลง จึงทำให้มองไม่เห็นประกายแสงในดวงตาของเขา สมองก็หมุนไปคิดถึงบางสิ่งอย่างเคร่งเครียด 

 

 

กลุ่มคนที่ตู๋กูจุนได้พบเจอ…น่ากลัวว่าจะเป็น…พวกมาร 

 

 

มารกับเผ่าภูติ มาจากรากฐานเดียวกัน แต่ว่ากลับแตกต่างกัน 

 

 

ดังนั้นกลิ่นอายที่ตู๋กูจุนได้รับจึงแตกต่างกันอยู่ 

 

 

เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านั้น ที่จริงก็ได้สาบสูญไปหลายหมื่นปีมาแล้ว ….แล้วทำไมอยู่ๆถึงได้ปรากฏขึ้นมา? 

 

 

ตอนนี้เขายังไม่เคยได้เจอพวกมัน จึงยังไม่อาจแน่ใจ 

 

 

รอจนเขาเงยหน้าขึ้นมา ตู๋กูเจวี๋ยก็รู้สึกว่าคนตรงหน้าผู้นี้ หายตัวกลายเป็นหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งไปในชั่วพริบตาแล้ว 

 

 

………………. 

 

 

ก้นทะเลลึก หุบเหวไร้ก้น 

 

 

เยี่ยจ้านกอดลูกแก้วลูกหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน เบื่อเสียจนปวดตัวเมื่อยชาไปหมดแล้ว 

 

 

หลังจากที่เขาบ่นพึมพำกับตนเองมาเป็นรอบที่หนึ่งพันนั้น ในที่สุดก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันผิดไปเล็กน้อย 

 

 

“เจ้ามาแล้ว!” เขาลุกขึ้นยืน แต่กลายเป็นว่าหันหลังให้กับผู้มา ยื่นมือออกไปกลางอากาศ “พี่น้องของข้า ข้าคิดถึงเจ้าแทบตายแล้ว” 

 

 

…………………