มหามุขนายกวิหารศักดิ์สิทธิ์สามท่านกับทหารม้าคุ้มกันสองพันนายนั้นน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่อย่างมาก
แน่นอนว่าที่แห่งนี้คือชายแดนทิศเหนือและศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานก็มีทหารม้าเกราะดำหลายพันนาย หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็มีกำลังทหารพอที่จะสู้ได้
ปัญหาก็คือหนิงสือเว่ยกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้ใจที่สุดล้วนตายไปแล้วในคืนนั้นกลางเทือกเขา ตำแหน่งขุนพลเทพของศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานยังว่างอยู่ ทหารม้าเกราะดำหลายพันนายและพลทหารธรรมดาต่างก็กระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าจะฟังคำสั่งใครดี
ที่สำคัญที่สุด ต่อให้มีคนกล้าบัญชาการกองทัพ แต่ใครจะกล้าแบกรับความรับผิดชอบนี้
ขุนพลเทพเฉิงเทากับขุนพลเทพเจี้ยนซีมาจากคนละขุมกำลังกัน ด่านยงเสวี่ยกับด่านหลานกวนก็ไม่เห็นอีกฝ่ายสบายตานัก แต่ตอนนี้เมื่อนิกายหลวงนำกำลังมากดดันพวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องขัดแย้งเก่าก่อน มองตากันหาความช่วยเหลือเกื้อกูล
อย่างไรก็ตามจงซานอ๋องกับเทียนไห่เฉิงเหวินไม่ได้ใช้เวลานี้สบตากัน เพราะสิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลได้กลายเป็นความจริงแล้ว
สามปีก่อนโจวโจวทงถูกประหารด้วยการฟันนับพันแผลบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ อดีตสังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว เฉินฉางเซิงขึ้นรับตำแหน่งสืบทอด จากนั้นก็หายไปในหิมะ
จิงตูกลับสู่ความเงียบสงบอย่างรวดเร็ว สถานการณ์คืบหน้าไปอย่างมั่นคง หลายคนเดาว่านี่เป็นการตกลงกันระหว่างนิกายหลวงกับราชสำนัก ระหว่างเฉินฉางเซิงกับซางสิงโจว ศิษย์กับอาจารย์ ตราบใดที่เฉินฉางเซิงไม่อยู่ในจิงตูก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สังฆราชไม่อยู่ในพระราชวังหลีแต่กำลังบำเพ็ญตนและทำความเข้าใจโลก นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ในประวัติศาสตร์
ทุกคนรู้ดีว่าในความเป็นจริงแล้วสังฆราชถูกเนรเทศ
แต่ไม่มีใครที่จะประเมินสังฆราชหนุ่มต่ำไป ด้วยเหตุนี้อย่าว่าแต่จะดูถูกเลย
ในสายตาของผู้คน เขายินดีที่จะจากไปเพื่อเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม เห็นแก่สรรพชีวิต เห็นกับการต่อสู้กับเผ่ามาร
สามปีต่อมา เฉินฉางเซิงไม่ได้กลับคืนสู่จิงตูจริงๆ
นอกจากตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นบนสนามรบกลางหิมะของแดนเหนือ ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาอยู่ที่ใด
สามปีมานี้ นิกายหลวงก็เก็บตัวอย่างมาก
พระราชวังหลีนิ่งเงียบอย่างที่สุด เสาหินที่โด่งดังดูเก่าแก่กว่าเดิม ไม้เลื้อยสีเขียวบนกำแพงได้สลายกลายเป็นฝุ่น
ตำหนักหญ้าจันทราเงียบงันในแสงสนธยา ในขณะที่วิหารกุ้ยชิงอันหอมหวนส่งกลิ่นราวกับน้ำผึ้งแต่ไม่มีผึ้งตัวใดได้ลิ้มรส ลานตะไคร่ยังคงมืดมัว ระเบียงน้ำใสแผ่ความงามราวกับเครื่องลายครามหลังจากถูกสายฝนชะล้าง ต้นเฟิงนอกสำนักการศึกษากลางถูกย้ายไปที่เรือนฤดูสารท อารามวิถีสวรรค์ดูเดียวดายอย่างยิ่งในหิมะ
นักพรตไป๋สือ มหามุขนายกตำหนักวัฒนธรรม เหมาชิวอวี่ มหามุขนายกตำหนักอิงหัว นักพรตซือหยวนมหามุขนายกตำหนักขบวนรถอริพ่าย อันหลินมหามุขนายกตำหนักโองการศักดิ์สิทธิ์และราชันแห่งหลิงไห่มหามุขนายกตำหนักเมฆเหินลม ต่างก็ดูแลรักษาสมบัติของนิกายหลวงและตำหนักทั้งห้าเอาไว้ ไม่สนใจเรื่องทางโลกและแทบไม่เคยปรากฏกายในที่สาธารณะ มีเพียงตำหนักหญ้าจันทราที่ไร้เจ้านาย
สำนักเทียนเต้ากับสำนักไม้เลื้อยอีกห้าแห่งทำตามกฎของสถานศึกษาอย่างเข้มงวด อารามเต๋าตามเมืองต่างๆ ยังคงเก็บตัวเงียบ
การประลองยุทธ์ระหว่างสำนักจางหายไปจนหมด แม้แต่งานชุมนุมไม้เลื้อยกับการสอบใหญ่ก็ยังเว้นไปนานถึงสามปี
การบุกลงใต้ของกองทัพมารเป็นคำอธิบายที่ราชสำนักมอบต่อสาธารณชน สถานการณ์ตึงเครียดบนสนามรบส่งผลให้เกิดการชะงักค้างชั่วคราว แต่ทุกคนต่างก็รู้เหตุผลที่แท้จริง
หอหลิงเยียนถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ถล่มเป็นกองเศษซาก นิกายหลวงไม่เห็นด้วยที่จะเปิดพระราชวังหลี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จัดการสอบใหญ่ไปจะมีความหมายอะไร
มีแต่คืนอาบเลือดตอนปลายฤดูใบไม้ร่วงกลางเทือกเขาหิมะและในวันกลางฤดูหนาวนี้เองที่โลกได้ยินข่าวเกี่ยวกับสังฆราช ในตอนนี้สามผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงนำทหารม้านิกายหลวงสองพันนายออกจากจิงตูอย่างฉับพลัน มาถึงศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานทางตอนเหนือที่ห่างไกลโดยไม่มีใครรู้
พวกเขาต้องการจะทำอะไร
นี่เป็นเรื่องที่จงซานอ๋องกับเทียนไห่เฉิงเหวินเป็นกังวลมากที่สุด
ผ่านไปสามปีในที่สุดพระราชวังหลีก็เลิกเงียบ นิกายหลวงเตรียมที่จะส่งเสียงในต้าลู่อีกครั้งหนึ่ง มันหมายความเช่นใด
“ในที่สุดองค์สังฆราชก็คิดถึงบ้านแล้วหรือ”
จงซานอ๋องยืนขึ้นน้ำเสียงแฝงความเยาะเย้ย “หากนี่หมายถึงสงครามภายในของรางวงศ์ต้าโจวก็นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เขาไม่ลังเลที่จะแกล้งเป็นบ้าและกินอาจมดังนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จึงไว้ชีวิตเขา เขาถึงกับโหดร้ายกับตัวเองแบบนี้ดังนั้นเขายังต้องกลัวอะไรอีก
แต่คู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้ก็เป็นคนที่ไม่ยอมใครเช่นกัน
ราชันแห่งหลิงไห่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในนิกายหลวงตอนนี้ หนึ่งในมหามุขนายกตำหนักศักดิ์สิทธิ์น้อยคนนักที่มีพื้นหลังทางทหาร หากไม่ใช่เพราะสังฆราชเรียกเขากลับจิงตู เขาคงกลายเป็นขุนพลเทพของต้าโจวไปแล้ว อาวุโสของเขาเหนือกว่าขุนพลเทพเฉิงเทากับเจี้ยนซีเสียอีก
อันที่จริงหากเฉินฉางเซิงไม่ปรากฏตัว คนมากมายก็คิดว่าไม่เขาก็นักพรตซือหยวนที่มีโอกาสได้เป็นสังฆราชมากที่สุด
คนแบบนี้มีอะไรให้ต้องกลัว เช่นนั้นเขาจึงเปลี่ยนจากรอเงียบๆ ในลานตะไคร้ที่มืดมัวชื้นแฉะมานานสามปีซึ่งไม่เพียงแต่ไม่อาจทำให้ความก้าวร้าวของเขาลดลงแต่กลับทำให้มันแทบระเบิดออกมา
“ท่านอ๋องคงสับสนแล้ว!”
เสียงกระด้างของราชันแห่งหลิงไห่ดังก้องไปทั่วศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
บางคนในฝูงชนและในศูนย์บัญชาการที่มีการบำเพ็ญตนอ่อนด้อยรู้สึกเหมือนกับฟ้าผ่าใส่หู รู้สึกมึนงงอย่างช่วยไม่ได้
เขาจ้องไปที่ดวงตาของจงซานอ๋องและกล่าวอย่างหนักแน่น “มีการลอบสังหารสังฆราชแล้วนิกายหลวงจะไม่ตอบโต้ได้หรือ”
จงซานอ๋องตอบกลับด้วยสายตาคมกริบ “ลอบเคลื่อนทหารม้านิกายหลวงขึ้นชายแดนเหนือคือการตอบโต้ของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง” ราชันแห่งหลิงไห่เงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “เพราะข้าต้องมาเพื่อสืบสวน”
การลอบสังหารสังฆราชย่อมเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะสืบสวนเรื่องนี้อย่างไร
มีข้อเรียกร้องสี่ข้องที่เขาได้ทำไว้ก่อนเข้ามาในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
ตระกูลเทียนไห่ต้องมอบคนออกมา!
ไม่มีใครในตระกูลจูหรือพรรคไร้รักจะคิดหนีไปได้!
เจ้าหน้าที่ทหารทั้งหมดในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานต้องถูกจับกุมและนำกลับไปจิงตูเพื่อให้พระราชวังหลีสอบปากคำ!
ราชสำนักต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน!
หากความต้องการของราชันแห่งหลิงไห่เป็นไปตามนั้นจริงๆ ต้าโจวต้องตกอยู่ในกลียุคอย่างเลี่ยงไม่ได้
จงซานอ๋องยังคงไม่หวั่นไหว ถามกลับอย่างไม่ยินดียินร้าย “แล้วถ้าหากข้ายอมรับข้อเรียกร้องทั้งสี่เล่า”
เรื่องที่เกิดขึ้นในเทือกเขาหิมะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แม้ว่าเขาจะวางแผนชิงยาจูซา เขาก็ไม่มีเวลาลงมือ
“นั่นเป็นสิ่งที่ราชสำนักควรทำอยู่แล้ว!” ราชันแห่งหลิงไห่ไม่มีเจตนาจะอ่อนข้อ พูดอย่างเด็ดขาด “แต่ก่อนที่พระราชวังหลีจะสืบเรื่องนี้สำเร็จเสร็จสิ้น ไม่มีใครที่จะคิดควบคุมศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานได้ เพราะมันอาจกระทบกับการสืบสวนของข้า”
เทียนไห่เฉิงเหวินถอนหายใจแล้วถาม “เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นเป็นคนที่องค์สังฆราชเลือกใช่ไหม”
เขาย่อมพูดถึงเฉินโฉว
จงซานอ๋องสีหน้าน่าเกลียดขึ้นตอนที่โพล่งออกมา “น่าขันนัก!”
ใบหน้าราชันแห่งหลิงไห่ยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม เย็นชาเฉยเมยเช่นเดียวกับน้ำเสียง
“องค์สังฆราชสร้างยาจูซาเพื่อเห็นแก่สรรพชีวิต แต่น่าประหลาดที่คนในราชสำนักกลับอวดดีคิดชิงของวิเศษนี้ถึงกับทำร้ายองค์สังฆราช ท่านคิดหรือว่าท่านไม่จำเป็นต้องเสียสิ่งใดกับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ท่านเห็นด้วยกับเงื่อนไขทั้งสี่ข้อแล้วมีประโยชน์อะไร เซียงอ๋องจะเห็นด้วยหรือเปล่า”