ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 138 ล้วนคุกเข่าให้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

จูเยีย หนิงสือเว่ยกับเทียนไห่จันอีล้วนตายบนเทือกเขาในคืนนั้น แต่อันที่จริงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไป ไม่มีใครสามารถใช้พวกเขาโยงไปถึงคนในจิงตูได้ อย่างไรก็ตามความต้องการของพวกเขาไม่ใช่ความลับ ทุกคนคิดได้ว่าการที่นิกายหลวงจะเรียกร้องค่าชดเชยจำนวนหนึ่งจากราชสำนักนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุผล

“องค์สังฆราชมีเมตตา แต่ข้าไม่ใช่พวกอารมณ์ดี หากท่านไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของข้า การสืบสวนนี้ก็ยังดำเนินต่อไป”

ราชันแห่งหลิงไห่ก้าวออกมาและจ้องไปที่ดวงตาของจงซานอ๋อง “ท่านอ๋องควรคิดให้ดีว่าท่านแบกรับได้หรือไม่”

จงซานอ๋องมีสีหน้าเยือกเย็นแต่ไม่ได้ตอบอะไร

เขารู้ดีว่าต่อให้การสืบสวนเรื่องการลอบสังหารสังฆราชไม่อาจไปถึงเซียงอ๋อง แต่ตระกูลจูที่ตอนนี้ไร้การปกป้องจากยอดฝีมืออาจจบลงด้วยการถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างตระกูล อย่าว่าแต่ความสัมพันธ์นานพันปีของตระกูลจูกับราชสำนัก แค่คำสัญญาที่ให้กับจูลั่วเมื่อสามปีก่อนก็ทำให้เขากับเซียงอ๋องไม่ยินยอมดูภาพนี้แล้ว

เทียนไห่เฉิงเหวินยังคงนิ่งเงียบ

ความผิดฐานลอบสังหารสังฆราชนั้นหนักเกินไป เมื่อชื่อของเทียนไห่จันอีแปดเปื้อนข้อกล่าวหานี้ก็ยากนักที่จะล้างให้สะอาดได้

ตระกูลเทียนไห่ในตอนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนก่อน หากพระราชวังหลีทุ่มเทกำลังออกมาตระกูลเทียนไห่ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานได้

อันที่จริงการสืบคดีด้วยท่าทีเช่นนี้นั้นไร้เหตุผล คนที่เกี่ยวข้องล้วนตายไปแล้ว นอกจากจดหมายของเฉินฉางเซิงกับพยายานสองคนก็ไม่มีหลักฐานใดอีก การที่นิกายหลวงมายุ่งเกี่ยวกับการแต่งตั้งขุนพลเทพศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานยิ่งเกินไป แต่นิกายหลวงก็ได้ทำไปแล้วและไม่มีท่าทีว่าจะปิดบังเป้าหมาย

ใครให้คนผู้นั้นเป็นสังฆราชกันเล่า เหมือนกับที่ราชันแห่งหลิงไห่ได้บอกไว้ ราชสำนักจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน

อย่างไรก็ตาม นี่เพียงพอแล้วหรือไม่ มันสามารถยุติเรื่องนี้หรือไม่

“เราจะไปยังอารามเต๋าเพื่อรอผล ยิ่งพวกท่านตกลงหาข้อสรุปได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”

ก่อนที่ราชันแห่งหลิงไห่จะจากไป เขากล่าวกับจงซานอ๋อง “โปรดบอกเซียงอ๋องด้วยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”

ดังที่คาด มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

ในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานที่เงียบงันอีกครั้ง เหล่าคนสำคัญล้วนจมอยู่ในความคิดของตนเอง แต่พวกเขาล้วนบังเอิญคิดถึงคำเดียวกัน

“บัดซบ!”

จงซานอ๋องพลันลุกขึ้นและชี้ไปที่หน้าของสองขุนพลเทพในยามที่สบถ “พวกเจ้าเป็นสุกรหรือไง กล้ายื่นมือชิงของจากเขา! ยังกล้าลงมือกับเขาอีก!”

ในตอนนี้หนึ่งในผู้ติดตามท่านอ๋องมาที่ประตูและกระแอมเบาๆ

ทุกคนเข้าใจและไม่ต้องการที่จะทนรับความโกรธของอ๋องผู้บ้าคลั่งนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบกล่าวลาและจากไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนเทียนไห่เฉิงเหวินจะจากไปจงซานอ๋องคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้แล้วกระซิบ “ตระกูลถังรู้ว่าเจ้าของยาจูซาเฉินฉางเซิง ในวังก็รู้เช่นกัน แต่ข้ากลับไม่รู้ เซียงอ๋องไม่รู้และเจ้าก็ไม่รู้ เจ้าไม่คิดหรือว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ”

เมื่อเขาคิดเรื่องที่ประมุขสิบเจ็ดก็ตายบนเทือกเขาเช่นกัน การที่ตระกูลถังไม่ได้ส่งคนมาในวันนี้ เทียนไห่เฉิงเหวินก็รู้สึกถึงความกังวลที่ผุดขึ้นมาในใจ

“ขอบคุณสำหรับคำเตือน”

หลังจากเทียนไห่เฉิงเหวินจากไป ผู้ติดตามท่านอ๋องก็เดินมาหาจงซานอ๋องและส่งจดหมายให้

ไม่มีอะไรเขียนบนซองจดหมาย แต่มีตราประทับที่ซับซ้อนที่สุด

จงซานอ๋องเปิดจดหมาย เขานิ่งเงียบไปในยามที่เขาอ่านเนื้อความ ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ

“แม้แต่ตระกูลชิวซานก็ยังรู้… จิ้งจอกเฒ่านี่คำนวณเวลาในการส่งจดหมายใช่ไหม”

……

……

การสืบสวนย่อมกลายเป็นการเจรจาในที่สุด การเจรจายังไม่ยุติพวกเหล่าคนสำคัญก็สะบัดแขนเสื้อจากไป แต่เรื่องที่หารือกันได้แพร่ออกไปทั่วเมืองราวกับไฟป่า

ในเวลาอันสั้น ทุกคนในเมืองของศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเทือกเขาคืนนั้น ฝูงชนย่อมอดที่จะรู้สึกว่าข่าวนี้ช่างเหลวไหลในยามที่พูดต่อกันไปไม่ได้

ขุนพลเทพถึงกับวางแผนทำร้ายองค์สังฆราชอย่างนั้นหรือ ยังมีขุมกำลังอื่นร่วมมือด้วย แล้วพวกคนร้ายก็ตายใต้การลงทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ขององค์สังฆราชในที่สุดเช่นนั้นหรือ

ข่าวที่น่าตกใจที่สุดก็คือเจ้าของยาจูซาที่ลึกลับกลับเป็นองค์สังฆราชเอง!

ยาจูซาแท้จริงแล้วกลั่นจากโลหิตในร่างกายศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของสังฆราช!

รถม้าศักดิ์สิทธิ์สามคันได้รับการคุ้มครองออกจากศูนย์บัญชาการกองทัพโดยทหารม้านิกายหลวงนับไม่ถ้วน มุ่งหน้าไปยังอารามทางตะวันตกของเมือง

ฝูงชนบนถนนแหวกทางออกราวกับคลื่น คุกเข่าคำนับกับพื้น

นี่เป็นเพราะสามคนสำคัญของนิกายหลวงนั่งอยู่ภายในรถม้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาต้องการที่จะแสดงความขอบคุณต่อสังฆราชผู้เมตตา

บางคนมีดวงตาแวววาวทำให้บอกได้ในทันทีว่าพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญตน บ้างก็สวมใส่เครื่องแต่งกายเฉพาะของนักสร้างค่ายกล สิ่งที่เหมือนกันก็คือพวกเขาล้วนบาดเจ็บไม่มากก็น้อย

ยามที่รถม้านิกายหลวงผ่านไป พวกเขาก้มกราบอย่างเงียบงัน

บางคนก็มีสีหน้าผสมปนเป แต่ก็ยังหมอบกราบอยู่บนพื้น

คนที่อยู่บนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญตนหมอบกราบให้กับฟ้าดิน กับราชา กับบิดามารดาและอาจารย์เท่านั้น

พวกเขาย่อมไม่ได้หมอบกราบต่อสามผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงภายในรถม้า แต่เป็นสังฆราช

พวกเขาล้วนเคยบาดเจ็บสาหัสในสนามรบ หากพวกเขาไม่โชคดีได้รับยาจูซา พวกเขาคงกลายเป็นกระดูกขาวฝังอยู่ใต้ดินเหลืองไปแล้ว

มีแต่วันนี้เท่านั้นที่พวกเขาได้รู้ว่าสังฆราชเป็นผู้ที่ช่วยเขาเอาไว้ และสังฆราชยังถึงกับใช้โลหิตศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง เมื่อเขาคิดถึงความเมตตาของสังฆราชจะไม่ให้พวกเขาตื้นตันจนน้ำตารินได้อย่างไร และเมื่อคิดว่าเลือดของสังฆราชได้ไหลอยู่ในร่างของตน พวกเขาจะไม่เทิดทูนได้อย่างไร

แม้แต่เหล่ายอดฝีมือที่สังกัดขุมกำลังอื่นก็ยังไม่อาจใช้เรื่องฝักฝ่ายเป็นข้ออ้างจากไป พวกเขาก็ก้มกราบกับพื้นเช่นกัน

……

……

ลมเหมันต์เหน็บหนาวพัดม่านหน้าต่างขึ้นแต่ก็ไม่อาจเข้าไปได้

เหมือนกับรถม้าศักดิ์สิทธิ์จากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ รถม้าศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังหลีก็ติดตั้งค่ายกลป้องกันลมเอาไว้ ทำให้ภายในอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ

อันหลินมองผ่านหน้าต่างไปที่ฝูงชนที่อยู่บนถนน เมื่อนางเห็นเหล่าผู้บำเพ็ญตนและนักสร้างค่ายกล นางก็แข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พึมพำกับตัวเอง “องค์สังฆราชดูต่างไปจากในอดีต”

มันเป็นแค่การแสดงออกถึงอารมณ์และยังเป็นการถอนหายใจที่แฝงไว้ด้วยความหมายลึกล้ำ

ในฐานะหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวง มหามุขนายกโองการศักดิ์สิทธิ์ การแสดงอารมณ์ของนางหมายถึงสิ่งใด

อันหวานั่งอยู่ข้างกายนางจึงได้ยินคำพูดนี้อย่างชัดเจน นางเข้าใจความหมายของอันหลินอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงอดีตที่ว่าผ่านไปแค่สามปีเท่านั้น

สามปีก่อนเฉินฉางเซิงเป็นแค่นักพรตหนุ่มที่สุขุมแต่มุ่งมั่น ในตอนนี้ท่าทีของเขาต่อการแย่งชิงตำแหน่งขุนพลเทพกองทัพซงซานกับสายตาชื่นชมนับไม่ถ้วนที่เกิดจากยาจูซาดูเหมือนจะบ่งบอกว่าทั้งมุมมองต่อโลกและวิธีการของเขานั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก

“ท่านป้า ท่านเข้าใจองค์สังฆราชผิดไปแล้ว เรื่องการเผยความจริงเกี่ยวกับยาจูซาเป็นความคิดของข้าเอง”

อันหวามองไปที่มหามุขนายกอันหลินและกล่าวอย่างจริงใจ “การกระทำอันสูงส่งนี้ย่อมต้องให้คนได้รับรู้ ไม่อย่างนั้นจะชี้นำผู้คนไปในทางที่ดีได้อย่างไร”

อันหลินมองไปที่หลานของนางและยิ้ม ลูบผมนางอย่างแผ่วเบา นางคิดในใจ เจ้าในตอนนี้เทิดทูนองค์สังฆราชอย่างยิ่ง แต่เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนที่นักพรตหนุ่มเข้าจิงตูมาครั้งแรก ถ้อยคำอย่าง ‘เป็นที่เทิดทูน’ นั้นไม่มีอยู่ในใจของเขาด้วยซ้ำ