ตอนที่ 780 ติดต่อ
สาธารณรัฐซาฮาเป็นประเทศปกครองตนเองที่มีรัฐบาลกลางที่ใหญ่ที่สุด และมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร
พื้นดินอันกว้างใหญ่อุดมไปด้วยสายแร่นานาชนิด ทำให้สาธารณรัฐซาฮาพัฒนาเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในแถบไซบีเรียอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี
เมืองยาคุตสค์เป็นเมืองศูนย์กลางของรัฐ อยู่ในภาคกลาง มีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดม ดังนั้นจึงทำให้เมืองยาคุตสค์กลายเป็นเมืองเศรษฐกิจไปด้วย
เมื่อยามพลบค่ำ แสงสีจากร้านรวงบาร์เหล้าสถานที่ท่องเที่ยวทำให้เมืองยาคุตสค์ครึกครื้นราวกับนิวยอร์ค
ทั้งประชาชนซาฮาหรือหรือคนจากประเทศอื่นในโซเวียต ต่างมีความชื่นชอบในสิ่งเดียวกันนั่นก็คือสุราฤทธิ์แรง เมื่อดวงไฟถูกจุดขึ้น บรรยากาศทั้งถนนสายหลักจะมองเห็นบรรดานักดื่มที่กำลังเมาหัวราน้ำ
“พี่น้องทั้งหลาย ขอโทษจริงๆ ตอนนี้อากาศไม่ได้หนาวมาก คุณนอนตรงนี้ก็คงไม่หนาวตายหรอก!”
ในตรอกเงียบๆแห่งหนึ่ง เยี่ยเทียนกำลังถอดเสื้อผ้าของชายที่นอนอยู่บนพื้นออกอย่างคล่องแคล่ว จนชายที่นอนกรนอยู่เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว
ภาพแบบนี้เป็นเรื่องปกติในเมืองแห่งสุรานี้ ทุกวันสถานีตำรวจได้รับการแจ้งความด้วยเรื่องแบบนี้หลายครั้ง
เพราะผู้ที่แจ้งความมักแจ้งความว่าของที่สูญหายไปนั้นก็คือเสื้อผ้าของพวกเขานั่นเอง แต่ไม่ค่อยมีนาฬิกาข้อมือ เพราะนาฬิกาของพวกเขาส่วนใหญ่มักถูกภรรยาที่บ้านถอดเก็บไว้แล้ว
“ให้ตายสิ กลิ่นอะไรเนี่ย?”
เยี่ยเทียนสวมเสื้อผ้าของชายคนนั้นแล้วกำลังจะเดินออกจากตรอก จมูกได้กลิ่นบางอย่างจนต้องขมวดคิ้ว กลิ่นหอมอ่อนๆที่ติดตัวเขายังไม่อาจกลบกลิ่นเต่าเหม็นของเจ้าของเสื้อคนเก่าได้เลย
“ช่างเถอะ ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน!”
เขาอดกลั้นที่จะไม่เดินเข้าร้านขายเสื้อผ้าก่อน เยี่ยเทียนเดินไปถึงตู้โทรศัพท์แล้วควานหาเหรียญออกมาจากกระเป๋าได้ก็หยอดเข้าไปในตู้
“กรี๊ง กรี๊ง …..”
ห่างไปหลายพันกิโลเมตร เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้ชายชราที่เพิ่งจะหลับลงอย่างยากเย็นให้ตื่นขึ้น
“ฉัน ซ่งเฮ่าเทียน!”
หลายปีมาแล้วที่โทรศัพท์สายเข้าทั้งหลายจะมีเลขาเป็นผู้รับ มีเพียงโทรศัพท์ลับส่วนตัวเครื่องนี้เท่านั้นที่เขาจะเป็นผู้รับเอง และโทรศัพท์ส่วนตัวนี้ดังขึ้นแทบนับครั้งได้
“ท่านผู้เฒ่า นี่ผมเอง….”
เยี่ยเทียนเอ่ยอย่างเก้อเขิน เขารู้ว่าปักกิ่งกับที่นี่เวลาห่างกันหลายชั่วโมง แต่นอกจากจะโทรหาซ่งเฮ่าเทียนแล้ว เขาก็คิดไม่ออกว่าจะบอกใครก่อนดี
“คุณเป็นใคร?”
ซ่งเฮ่าเทียนยังสะลึมสะลือ ตอนที่เขาถามแล้วก็เบิ่งตาโพลงขึ้นมา “เยี่ยเทียนหรือ? เจ้าเด็กบ้า แกยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?! ”
ไม่ใช่ว่าชายชราอยากให้หลานชายคนเดียวของเขาตายหรอก แต่เรื่องที่เยี่ยเทียนก่อไว้มันหนักหนาสาหัสมาก ทั้งยังก่อเรื่องโดยไม่ช่วยเก็บกวาดเลย
ฝ่ายรัสเซียได้หมายหัวเยี่ยเทียนไว้เป็นผู้ต้องสงสัย แม้ต่อมาการปรากฏตัวของติงหงจะชักนำความสนใจของกองทัพออกไป แต่พวกผู้ใหญ่ฝั่งเยี่ยเทียนที่อยู่ในจีน กลับไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝั่งซ่งเฮ่าเทียนต้องรับมือกับหัวหน้าระดับสูงของประเทศที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก อีกด้านยังต้องรับมือกับบุตรสาวของตัวเองที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย หลายเดือนมานี้เป็นอะไรที่หนักหน่วงสำหรับชายชราอย่างยิ่ง
“ทำไมล่ะ อยากให้ผมตายขนาดนั้นเลยหรือ?”
เยี่ยเทียนตอบอย่างหงุดหงิด “อย่าพูดอะไรที่มันไม่มีประโยชน์เลย ตอนนี้ผมอยู่ในเมืองยาคุตสค์ ช่วยจัดการให้คนมารับผมที?”
เยี่ยเทียนตอนนี้สามารถกลับเข้าประเทศได้ผ่านทางมองโกเลียนอก แต่เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไร หากเรื่องที่เขาก่อบานปลายใหญ่โต เยี่ยเทียนจะแอบหลบไปอยู่ที่อื่นก่อนสักพัก
“ไอ้เด็กบ้า แกรู้ไหมว่าแกหายไปนานแค่ไหน?”
ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ ซ่งเฮ่าเทียนถึงกับเส้นเลือดเขียวปูดขึ้นที่ขมับ หลานชายตัวดีพูดจากวนประสาท ราวกับว่าถ้าเขาส่งคนไปหาถึงเมืองยาคุตสค์แล้วหาเขาไม่เจอ ชายชราจะติดหนี้เขาไปตลอดชีวิต
“ไม่รู้ ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้วันที่เท่าไหร่แล้วล่ะ?”
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเขาเข้าไปอยู่ในเหมืองทองนานแค่ไหน เมื่อครู่ที่เดินเข้ามาในเมืองนั้นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ขาดวิ่นไปหมด แน่นอนว่าเขาไม่มีทางไปในที่ๆคนเยอะๆเพื่อหาดูปฏิทินได้
“แก….แกไม่รู้วันรู้เดือนเลยจริงๆเหรอ?”
ซ่งเฮ่าเทียนอึ้งไปที่กับคำตอบของหลานชาย ความโกรธที่พวยพุ่งถูกอุดกลับเข้าไปใหม่ เขาคิดว่าเขากับเยี่ยเทียนเวลาถกเถียงกัน เขาไม่เคยยอมแพ้เลยสักครั้งเดียว
คิดแล้วซ่งเฮ่าเทียนตอบว่า “ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ฉันคุยโทรศัพท์กับแกน่ะ ผ่านไปสามเดือนแล้ว ตอนนี้เดือนกรกฎาคมเข้าไปแล้ว!”
“สามเดือน? ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ได้นานมาก!”
เยี่ยเทียนโล่งอก เขากลัวว่าเขาเก็บตัวฝึกวิชาครั้งนี้ใช้เวลาถึงสามปี ถ้าเป็นเช่นนั้นทางบ้านคงร้อนใจตายแล้ว คนทั่วไปถ้าหายสาบสูญไปสองปีก็สามารถแจ้งเสียชีวิตได้
“ไซบีเรียนี่มันนรกจริงๆ เข้าเดือนกรกฎาคมแล้วยังหนาวขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนบ่นในสาย ในจีนตอนนี้เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด ส่วนที่นี่อุณหภูมิสูงสุดยังไม่เกินสิบกว่าองศาเลย กลางคืนเวลาออกไปข้างนอกยังต้องสวมเสื้อแจ็คเก็ตอีกชั้น
“เจ้าเด็กบ้า บ่นอะไรเยอะแยะ? ฉันถามหน่อย นอกจากฉันแล้ว แกยังโทรไปหาใครอีกบ้าง?” ซ่งเฮ่าเทียนถูกหลานชายยั่วโมโหเข้าขั้นแล้ว จนป่านนี้หลานชายตัวแสบยังมีแก่ใจคิดเรื่องพวกนี้อีก?
“ยังเลย ท่านผู้เฒ่าคิดว่าผมโง่เหรอ นอกจากโทรศัพท์เครื่องนี้ โทรเครื่องอื่นก็ถูกดักฟังน่ะสิ?”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องโทรหาซ่งเฮ่าเทียนก่อนใคร ทางการรัสเซียออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทุกคนต้องรายงานการบันทึกกล้องวงจรปิดของตนเองและครอบครัว
ซ่งเฮ่าเทียนเป็นญาติผู้ใหญ่ของเยี่ยเทียน และยังมีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ แผนกอื่นต่อให้กล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าดักฟังโทรศัพท์ของอดีตผู้นำประเทศหรอก
“เอาเถอะ เดี๋ยวแกโทรไปที่เบอร์นี้ แล้วฝ่ายนั้นเขาจะจัดการให้แกเอง แกทำตามที่บอกก็พอ”
ซ่งเฮ่าเทียนเปิดสมุดโทรศัพท์แล้วบอกเบอร์โทรหมายเลขหนึ่งให้เยี่ยเทียน พูดต่อว่า “ก่อนจะออกมาจากไซบีเรีย ห้ามติดต่อไปที่บ้านเด็ดขาด!”
ใครๆก็คิดออก หลังจากประเทศรัสเซียได้พบกับการคุกคามครั้งนี้ ชีวิตเบื้องหลังของเยี่ยเทียนถูกสืบค้นในทันที คนที่ฉลาดหน่อยต่างมองออกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัสเซียถึงจะไม่ใช่ฝีมือเยี่ยเทียน แต่มากน้อยอย่างไรก็ต้องเกี่ยวกับเขาแน่
ดังนั้นเมื่อสองเดือนก่อน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมคนนั้นมาเหยียบประตูบ้านของซ่งเฮ่าเทียนบ่อยจนคานประตูแทบพัง เพื่อต้องการโน้มน้าวให้เขาบอกหลานชายให้เข้าร่วมรับใช้ชาติ
แต่ซ่งเฮ่าเทียนรู้ดีอยู่แล้วว่าเยี่ยเทียนนิสัยเป็นอย่างไร ถ้าให้เขาสวมชุดทหารไม่ต้องรอถึงวัน เขาอาจจะไปตีกับทหารในกรมสักคนก่อนที่จะถูกโยนออกมาจากค่าย อีกอย่างซ่งเฮ่าเทียนเองก็ตัดสินใจแทนหลานชายไม่ได้ จึงได้แต่ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่จนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงยอมกลับไปเอง
ซ่งเฮ่าเทียนรู้ว่าคนอย่างหลานชายจะเป็นที่จับตามองจากทั้งประเทศเป็นอย่างมาก ถ้าเขายังไม่ถอยออกมา ไม่แน่ว่าอาจจะคิดแผนการหลอกล่อให้เยี่ยเทียนเข้าร่วมในกองทัพจนได้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าครอบครัวของบุตรสาวบุตรเขยของเขาถูก ฝ่ายที่เกี่ยวข้องของทางการจับตามองอยู่ ซ่งเฮ่าเทียนเกษีณอายุออกไปแล้วถ้าจะไปชี้นิ้วสั่งการคงจะดูไม่ดี จึงได้แต่ยอมปล่อยไป
“เข้าใจแล้ว เอาเถอะ ผมมีเงินติดตัวไม่มาก ตั๋วเครื่องบิน ที่บินตรงระหว่างประเทศก็แพงเหลือเกิน ผมไม่คุยกับท่านละ!”
เยี่ยเทียนมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม เข้าใจความหมายที่ผู้เป็นตาต้องการจะสื่อจึงวางสาย ซ่งเฮ่าเทียนทำให้เขาอัดอั้นจนอาการบาดเจ็บเกือบกำเริบ ไม่ให้เขาติดต่อคนในบ้านก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้คุยกับเขานานกว่านี้
เสียง “ตู้ด ตู้ด”ดังมาตามสาย ซ่งเฮ่าเทียนวางโทรศัพท์อย่างไม่สบอารมณ์ แต่การโทรสายนี้ทำให้เขาที่นอนหลับยากอยู่แล้วนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
“ฉันคือเยี่ยเทียน!”
เยี่ยเทียนไม่รู้เลยว่าทำให้คุณตานอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงอย่างไม่สบายใจ ตอนนี้เขากดหมายเลขที่ได้มา แล้วบอกชื่อของตัวเอง ตัวเขารู้สึกมีปมในใจกับตระกูลซ่งมาตลอด แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่าท่านผู้เฒ่าคงไม่ส่งตัวเขาไปลงนรกแน่
“คุณอยู่ที่ไหน?” เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน ปลายสายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนรู้สึกว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคย
เยี่ยเทียนมองออกไปนอกกระจกตู้โทรศัพท์ มองเห็นชื่อป้ายถนนเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ตอบกลับว่า “ที่นี่คือถนน XXX ผมอยู่ในตู้โทรศัพท์ข้างทาง”
“อย่าไปไหน ผมจะไปถึงเดี๋ยวนี้!” สายตัดไป ครั้งนี้เป็นฝ่ายตรงข้ามที่วางสายก่อน
“นั่นใครกันนะ? เสียงฟังดูคุ้นๆ?”
เยี่ยเทียนเกาผมที่ยาวประบ่า เดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ แล้วหลบเข้าไปอยู่ในมุมถนนข้างทาง เงาดำของเขาค่อยๆจางลงเรื่อย ราวกับกำลังกลืนหายไปกับความมืดในยามราตรี
หลังจากนั้นสิบกว่านาที รถยนต์สีดำคันหนึ่งมาจอดอยู่ตรงหน้าตู้โทรศัพท์ที่เยี่ยเทียนใช้ กระจกหน้าต่างรถเลื่อนลงมากแล้ว เยี่ยเทียนเดินออกมาจากเงามืด
“เหล่าฝู ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่เล่า?”
เยี่ยเทียนนึกอยู่นานว่าเสียงที่ได้ยินจากปลายสายเป็นใคร เมื่อได้พบเจ้าตัวแล้วก็ตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าบอดี้การ์ดส่วนตัวของท่านผู้เฒ่าจะมาปรากฎตัวอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนี่
คนๆนี้เคยมีอดีตที่น่าประทับใจกับเยี่ยเทียนมาก่อน เขาคือพันเอกฝูเจิ้งหมิง เยี่ยเทียนมองเข้าไปในรถ เหมือนว่าฝูเจิ้งหมิงจะได้เลื่อนยศทหารไปอีกขั้นแล้ว
“ขึ้นรถก่อนค่อยว่ากัน!”
ฝูเจิ้งหมิงสอดส่องรอบตัวด้วยความเคยชิน รอจนเยี่ยเทียนขึ้นรถแล้ว เขาเหยียบคันเร่งออกรถ สายตามีแววสับสนว้าวุ่นใจมองดูเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ตอนนี้ผมเป็นทูตทหารต่างประเทศอยู่ในเมืองยาคุตสค์เป็นเวลาหนึ่งปี!”
ฝูเจิ้งหมิงติดตามท่านอดีตผู้นำมาหลายปี ตั้งแต่ได้เลื่อนยศเป็นพันเอก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ได้หลุดพ้นจากทหารรักษาความปลอดภัย
แต่สำหรับตัวเขาก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่อะไร
สาธารณรัฐซาฮานั้นแม้จะเป็นประเทศเล็กๆที่ไม่มีความสำคัญทางการทูตเท่าไหร่ แต่การที่ได้มาอยู่ที่นี่หนึ่งปีแล้วค่อยกลับเข้าจีนนั้นทำให้ดาวสี่ดวงที่ประดับบนบ่าของเขาถูกเปลี่ยนเป็นลายสัญลักษณ์ยศนายพลแทนอย่างรวดเร็ว