เมื่อกลับมาถึงเรือนที่พัก ฉินอวี้โม่ก็แจ้งกับสหายทั้งสามเรื่องการเดินทางไปยังดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผา
“อย่าเพิ่งดีใจไปล่ะ ข้าสงสัยว่าฮวาหรงคงจะเตรียมอันตรายบางอย่างไว้ในดินแดนต้องห้ามแน่ และเราอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคขวากหนามมากมาย”
ฉินอวี้โม่รินน้ำลงแก้วอย่างช้า ๆ ขณะกล่าวข้อสันนิษฐานของตน
“ฮี่ ๆ ๆ ในเมื่อมีพี่อวี้โม่และพี่โม่ฉืออยู่ก็ไม่มีอันตรายใดที่ต้องกังวลหรอก”
เหมียวเจินเจินกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างซึ่งแสดงถึงความมั่นใจในตัวฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างเต็มเปี่ยม
“เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ามั่นใจในตัวพวกข้ามากเกินไปจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่หยิกแก้มนุ่มนิ่มของเหมียวเจินเจินอย่างเอ็นดูและไม่ปฏิเสธวาจาของนาง หากกังวลเกี่ยวกับภยันตรายที่ต้องเผชิญ นางก็คงไม่คิดพาเหมียวเจินเจินและจางซือถงไปเสี่ยงกับนางด้วยอย่างแน่นอน
“ไปกันเถอะ เราไปที่หอชั้นนอกกันดีกว่า”
เนื่องจากตอนนี้ยังมีเวลาพอสมควร ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจออกไปที่หอชั้นนอก
แน่นอนว่าอวิ๋นซื่อเทียนและทุกคนก็ตามไปด้วยสีหน้าที่รื่นรมย์
เรือนที่พักสำหรับศิษย์นอกอยู่ไม่ไกลจากทางเข้าของหุบเขาหมื่นบุปผามากนักและเป็นเพียงบ้านไม้ที่ดูเรียบง่ายธรรมดาจำนวนหนึ่ง
นิกายหมื่นบุปผาก็ไม่เข้มงวดหรือใช้งานศิษย์นอกมากจนเกินไป นอกเหนือจากภารกิจประจำวันต่าง ๆ ในเวลาอื่นก็ไม่มีใครก้าวก่ายหรือรบกวนการใช้ชีวิตของคนเหล่านั้นมากนัก
หานโม่ฉือและเฉียนจ้วงพักอยู่ในเรือนเดียวกัน และในเวลานี้พวกเขาก็กำลังอ่านตำราบางอย่างอยู่ในลานกว้าง
ศิษย์นอกของนิกายหมื่นบุปผาก็สามัคคีปรองดองกันอย่างยิ่งและไม่หาเรื่องกวนใจหานโม่ฉือเพียงเพราะเขาเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่ ในทางตรงกันข้าม เมื่อเห็นว่าเขามีลักษณะนิสัยที่ดีและความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าพวกตน คนเหล่านั้นจึงไม่ปล่อยให้หานโม่ฉือทำงานหนักจนเกินไปนัก
ฉินอวี้โม่เคยออกมาที่หอชั้นนอกก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง เพราะเหตุนั้น นางจึงเดินไปยังเรือนที่พักของหานโม่ฉือได้อย่างไม่มีปัญหา
ระหว่างทาง พวกนางก็ได้พบกับศิษย์นอกหลายคนและทักทายกับคนเหล่านั้นอย่างกระตือรือร้น
ศิษย์นอกเหล่านี้ทราบดีว่าฉินอวี้โม่คือภรรยาของหานโม่ฉือ ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์ใหม่อย่างฉินอวี้โม่และสหายก็ไม่เพียงแต่งดงามโดดเด่นเท่านั้น ทว่าพวกนางยังดูเป็นมิตรและเข้ากับคนง่ายจนทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนมีน้องสาวจำนวนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
ในเวลานี้ ทันทีที่เฉียนจ้วงเดินออกมาและกำลังจะตรวจดูความเรียบร้อยโดยรอบ เขาก็สังเกตเห็นฉินอวี้โม่ที่มุ่งหน้าใกล้เข้ามา
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้ามาหาโม่ฉือรึ ?”
หลายคนยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“เจ้าค่ะ แต่ข้าก็มาหาศิษย์พี่ด้วยเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม ครานี้นางมิได้มาหาหานโม่ฉือเพียงคนเดียว ทว่านางก็คิดที่จะพาศิษย์นอกอีกสองคนเข้าไปในดินแดนต้องห้ามด้วยกันซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเฉียนจ้วง
“มาหาข้างั้นรึ ? ศิษย์น้องอวี้โม่มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
เฉียนจ้วงประหลาดใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามอย่างจริงจัง “หากมีปัญหาอะไรก็บอกข้ามาได้เลย ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธแน่”
“เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเดินเข้าไปด้านในลานที่พัก
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินเข้ามา หานโม่ฉือก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปสวมกอดนางไว้อย่างอ่อนโยน
“หึ ท่านพี่ทั้งสองรู้จักแสดงความรักกันตลอดเวลาจริง ๆ ไม่สนใจจิตใจของคนโสดโดดเดี่ยวเช่นพวกเราแม้แต่น้อย”
เหมียวเจินเจินกล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนหาที่นั่งลง
“เสี่ยวเจินเจินเอ๋ย หากเจ้าอิจฉาก็รีบหาใครสักคนมาตบแต่งเสียเถอะ ข้าว่าพ่อหนุ่มหลานเผิงก็ใช้ได้ทีเดียว เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและมีพื้นเพภูมิหลังจากตระกูลที่ทรงพลัง เขาดูจะเหมาะสมกับเจ้ามากทีเดียว”
“พี่ซือถงชอบแกล้งข้าเล่นอยู่ตลอด ถ้าเช่นนั้นข้าก็คิดว่าพี่เมิ่งเยี่ยก็เพียบพร้อมและเหมาะสมกับท่านมากเช่นกัน”
เหมียวเจินเจินไม่ยอมอ่อนข้อและกล่าวตอบโต้ในทันที
หลานเผิงและเหมียวเจินเจิน เมิ่งเยี่ยและจางซือถง แม้ยังไม่ตกลงปลงใจกัน ทั้งสองคู่ก็ดูเหมาะสมกันไม่น้อยเลย
พวงแก้มของจางซือถงแดงระเรื่ออย่างที่พบเห็นได้ยากและรีบตรงเข้าไปปิดปากเหมียวเจินเจินด้วยความเขินอายเล็กน้อย “เจินเจิน อย่าพูดเรื่องไร้สาระน่า อย่างเมิ่งเยี่ยจะชอบข้าได้อย่างไรเล่า”
ในช่วงหลัง ๆ มานี้จางซือถงดูร่าเริงขึ้นมามาก ทว่าเนื่องจากเรื่องราวที่ผ่านมา นางจึงไม่แสดงตัวมั่นใจมากจนเกินไป แม้ว่านางจะรู้สึกดีกับเมิ่งเยี่ยไม่น้อย ทว่านางก็รู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับเขาเช่นกัน
“พี่ซือถง ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกเจ้าค่ะ แม้ท่านจะไม่โดดเด่นเท่าพี่อวี้โม่และพี่ซื่อเทียน ท่านก็งดงามมากและมีความงามที่ด้อยกว่าข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านไม่ต้องด้อยค่าตนเองไปหรอก”
เหมียวเจินเจินแตะมือจางซือถงเบา ๆ และกล่าววาจาที่ทำให้ทุกคนอดหัวเราะให้กับความหลงตัวเองของนางไม่ได้
“เอาล่ะ เอาล่ะ เรามาพูดคุยธุระสำคัญกันก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและผายมือเชิญทุกคนนั่งลงก่อนกล่าวถึงภารกิจที่ต้องเดินทางไปยังดินแดนต้องห้าม
“แม่เจ้า ศิษย์น้องอวี้โม่รับภารกิจนั้นมาจริง ๆ รึ ? รู้หรือไม่ว่าไม่เคยมีใครทำภารกิจนั้นได้สำเร็จแม้ผ่านเวลามานานหลายปี”
เฉียนจ้วงมีสีหน้าที่ตกใจอย่างชัดเจนและกล่าวด้วยความสงสัย “ไม่สิ ศิษย์น้องอวี้โม่เป็นเพียงศิษย์ใหม่เท่านั้น อันที่จริงก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบภารกิจเช่นนี้ให้เจ้าทำด้วยซ้ำ เหตุใดท่านผู้อาวุโสจึงมอบหมายภารกิจเช่นนี้ให้กับเจ้ากัน ?”
เขาเองก็มิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาและรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลในทันที แม้เป็นเพียงศิษย์นอก เขาและคนอื่น ๆ ก็ทราบเรื่องราวของนิกายหมื่นบุปผามากพอสมควร ‘ภารกิจ’ นั้นเรียกได้ว่าเป็นภารกิจที่โหดหินที่สุดที่เคยมีในหอผู้อาวุโส แม้เริ่มต้นมอบหมายภารกิจมานานกว่าสิบปีก็ยังไม่เคยมีผู้ใดทำได้สำเร็จ
ศิษย์หลักฝีมือดีหลายคนในนิกายก็เคยรับภารกิจนั้นมาแล้ว ไม่เพียงแต่พวกนางจะล้มเหลวเท่านั้นทว่ายังต้องเผชิญวิกฤตอันตรายมากมาย
และที่สำคัญที่สุดคือภารกิจโหดหินดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมอบหมายให้กับฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นเพียงศิษย์ใหม่ได้
“ศิษย์พี่เฉลียวฉลาดจริง ๆ”
ศิษย์นอกเต็มไปด้วยผู้คนที่ชาญฉลาดและการที่เฉียนจ้วงสามารถคาดเดาบางอย่างได้ก็มิใช่เรื่องแปลก
หลังจากได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เฉียนจ้วงก็มีสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“เหอะ ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นเช่นนี้มาเสมอ พวกนางทำเช่นนี้ก็เพราะมีเจตนาร้ายต่อศิษย์น้องอวี้โม่ชัด ๆ แล้วเหตุใดเจ้าจึงตกปากรับคำพวกนางไปเล่า ?”
เนื่องจากไม่ทราบถึงไพ่ตายที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ ความกังวลจึงแสดงออกทางสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน
“นั่นคือสาเหตุที่ข้ามาหาศิษย์พี่เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าให้คำมั่นว่าจะรับภารกิจนี้โดยมีเงื่อนไขว่าจะพาศิษย์นอกไปด้วยสักสองสามคน ภารกิจนี้เต็มไปด้วยภยันตรายมากมายนักและการมีสมาชิกมากเกินไปก็คงช่วยได้ไม่มาก เพราะฉะนั้นข้าจึงวางแผนที่จะพาโม่ฉือ ศิษย์พี่และยังมองหาใครอีกสักคน ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะยินดีร่วมทำภารกิจนี้กับเรารึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเพื่อถามความเห็นของเฉียนจ้วง
“ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ข้ากลัวได้หรอก โอกาสเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าเฝ้ารอมาตลอด ข้าจะไปกับศิษย์น้องอวี้โม่อย่างแน่นอน !”
เฉียนจ้วงไม่เกรงกลัวสิ่งใดและกล่าวด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นอย่างชัดเจน สำหรับการเดินทางเข้าไปในดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผา ศิษย์นอกอย่างเขาไม่เคยคิดเคยฝันด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสเข้าไปในสักวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เป็นศิษย์น้องของพวกเขาและพวกเขาจะต้องปกป้องนางอย่างสุดความสามารถ
“เอาล่ะ เราจะเดินทางกันในอีกสามวัน เมื่อทำภารกิจสำเร็จ เราจะได้แต้มคนละหนึ่งพันแต้มเป็นรางวัล ข้าทราบมาว่าศิษย์นอกก็สามารถเข้าไปในหอสมบัติเพื่อแลกสิ่งของที่ต้องการได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงรางวัลของภารกิจอีกครั้ง นางทราบดีว่าการที่ศิษย์นอกอย่างพวกเขาจะไขว่คว้าหาคะแนนมาได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่าพวกตนมากนัก
นอกเหนือจากสิบแต้มที่ได้รับในทุก ๆ เดือนซึ่งเป็นรางวัลสำหรับผลงานที่ดีแล้ว พวกเขาก็ไม่มีรางวัลพิเศษมากนักและไม่มีคุณสมบัติที่จะรับภารกิจที่สำคัญอย่างเช่นภารกิจจากหอผู้อาวุโส
“หนึ่งพันแต้มรึ ?! นี่มันมากทีเดียว !”
เฉียนจ้วงถอนหายใจทันที แม้อยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปี เขาก็สะสมแต้มได้ไม่ถึงหกร้อยแต้มด้วยซ้ำ ด้วยรางวัลหนึ่งพันแต้มที่จะได้รับจากภารกิจนี้ เขาก็จะสามารถเข้าไปในหอสมบัติเพื่อแลกอาวุธที่หมายตามานานเสียที
“ข้ายังต้องการศิษย์นอกอีกคน นอกเหนือจากศิษย์พี่เฉียนจ้วง ข้าก็ไม่รู้จักใครมากนัก ไม่ทราบว่าศิษย์พี่พอจะมีศิษย์นอกคนใดที่มีความแข็งแกร่งและบุคลิกที่ดีจะแนะนำพวกเราบ้างรึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่มอบหมายให้เฉียนจ้วงเลือกสมาชิกคนสุดท้าย ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดนต้องห้ามก็จะรั่วไหลออกไปสู่โลกภายนอกไม่ได้ นางเชื่อว่าเขาจะหาคนที่สนิทสนมกับเขาซึ่งไว้วางใจได้อย่างแน่นอน