ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ นั่งพูดคุยกันในลานกว้างพักใหญ่ในขณะที่เฉียนจ้วงออกไปหาใครบางคนมา ไม่นานนักเขาก็กลับมาอีกครั้งพร้อมบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่ดูมีอายุประมาณยี่สิบห้าปี
“นี่คือเถียนเล่ย—น้องชายคนสนิทของข้าซึ่งเข้ามาในนิกายหมื่นบุปผาพร้อมกับข้า เขามีความแข็งแกร่งที่ดีในระดับหนึ่งและเรื่องนิสัยใจคอของเขาก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน หากเผชิญกับอันตรายในดินแดนต้องห้าม เขาจะช่วยทุกคนได้”
เฉียนจ้วงกล่าวแนะนำเถียนเล่ยกับทุก ๆ คน
เถียนเล่ยกยิ้มให้กับฉินอวี้โม่บาง ๆ บุรุษหนุ่มผู้นี้ดูอ่อนโยนและสุภาพอย่างมาก
“เขามีความแข็งแกร่งที่ใช้ได้ทีเดียว”
หานโม่ฉือกล่าวเสริมขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาก็มีโอกาสได้ประมือกับเถียนเล่ย แม้ว่าจะไม่ได้ตัดสินผลแพ้ชนะก็ตาม
และแม้หานโม่ฉือจะไม่แสดงพลังอย่างเต็มที่ เถียนเล่ยก็ตอบโต้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งในบรรดาศิษย์นอกทั้งหมด ผู้ที่สามารถรับมือกับหานโม่ฉือได้เช่นนี้ก็มีเพียงไม่มากนัก
เถียนเล่ยนับเป็นคนหนึ่งและเฉียนจ้วงก็พอจะนับได้อีกคน ส่วนคนอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนอ่อนแอกว่าทั้งสิ้น
“ศิษย์พี่เฉียนจ้วงก็คงจะบอกศิษย์พี่เถียนเล่ยเกี่ยวกับเนื้อหาของภารกิจนี้แล้ว หากไม่มีปัญหาใด เราทุกคนจะได้เตรียมความพร้อมและออกเดินทางกันในอีกสามวัน”
ฉินอวี้โม่แจ้งกำหนดเวลาในการเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามกับพวกเขาและบอกให้พวกเขาเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสมเช่นกัน
ทั้งสองพยักศีรษะตอบรับ พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องเตรียมความพร้อมส่วนตัวเท่านั้น ทว่ายังต้องฝากหน้าที่ของตนเองให้กับศิษย์นอกคนอื่น ๆ เป็นการชั่วคราว ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของหอชั้นนอก ในเมื่อไม่ทราบว่าต้องอยู่ในดินแดนต้องห้ามนานเพียงใด พวกเขาจึงต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อน
หลังจากอยู่กับหานโม่ฉือพักใหญ่ ฉินอวี้โม่และสหายก็เดินทางกลับหอชั้นใน
ในช่วงสองวันต่อมา พวกนางก็ไม่ออกไปที่ใดทว่าใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ได้หลอมอุปกรณ์บางอย่างเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับตนเองในขณะที่อวิ๋นซื่อเทียนใช้เวลาช่วงนี้เพื่อประดิษฐ์ระเบิดพลังมายามากกว่าสิบลูก เหมียวเจินเจินและจางซือถงก็ไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรนักและเพียงหมั่นฝึกฝนอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยหวังว่าจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองให้ได้มากที่สุด
เช้าตรู่ของวันที่สี่นับจากได้รับภารกิจ หานโม่ฉือและศิษย์นอกอีกสองคนก็มาถึงหน้าประตูเรือนที่พักของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียนจ้วงและเถียนเล่ยเข้ามาถึงเรือนที่พักของศิษย์ใน เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
“ศิษย์พี่รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ พี่อวี้โม่และพี่ซื่อเทียนกำลังเตรียมความพร้อมกันอยู่”
ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนยังไม่ออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว เหมียวเจินเจินและจางซือถงจึงออกมาต้อนรับคนทั้งสามก่อน
ทุกคนก็ไม่รีบร้อนและนั่งคุยกันอย่างสบาย ๆ
หลังจากเวลาผ่านไปสองก้านธูป ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็ก้าวออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว…
ทว่าตอนนี้ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงวันแล้ว ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามจึงเริ่มหงุดหงิดใจกันเล็กน้อย
“เหตุใดฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จึงยังไม่มากันอีกล่ะ ? พวกนางเกิดกลัวขึ้นมาและเปลี่ยนใจงั้นรึ ?”
ฮวาเฉินกล่าวอย่างเย็นชาและสีหน้าดูไม่สบอารมณ์นัก
การปล่อยให้ผู้อาวุโสอย่างพวกนางรอนานเช่นนี้ถือว่าฉินอวี้โม่และสหายใจกล้าไม่เบาทีเดียว
“ผู้อาวุโสรองกังวลเกินไปแล้ว ในเมื่ออวี้โม่รับปากว่าจะทำภารกิจนี้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเปลี่ยนใจกลางคัน ตอนนั้นนางเพียงกล่าวว่าจะออกเดินทางในอีกสามวันและไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นเวลาใด”
ฮวาปี้กล่าวขึ้นเบา ๆ เพื่อปกป้องฉินอวี้โม่
“นั่นสิ หลังจากรอมานานข้าก็เริ่มอดทนรอไม่ไหวเช่นกัน ในเมื่อผู้อาวุโสรองหงุดหงิดเช่นนี้ เหตุใดเราไม่ส่งคนไปหาอวี้โม่และบอกพวกนางว่าไม่ต้องไปแล้ว ถึงอย่างไรผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามผู้ทรงเกียรติก็เฝ้ารอพวกนางไม่ไหวอีกต่อไป”
ฮวาลั่วกล่าววาจาเหน็บแนม นางทราบดีว่าฝั่งขวามีแผนการสมคบคิดบางอย่างและไม่มีทางที่จะอนุญาตให้ฉินอวี้โม่เปลี่ยนใจ
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้อาวุโสใหญ่ตลกจริงเชียว ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น แน่นอนว่าข้าเชื่อมั่นในวาจาของอวี้โม่”
ฮวาเฉินพยายามฝืนยิ้มทว่าแววตาแสดงความโกรธแค้นอย่างชัดเจน เพื่อแผนการของฮวาหรง ในตอนนี้นางทำได้เพียงอดทนระงับความไม่พอใจเอาไว้ หากฉินอวี้โม่เปลี่ยนใจไม่ไปขึ้นมาจริง ๆ ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่คุ้มค่ากับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
“เราออกไปดูกันเถอะ”
ผู้อาวุโสสามฮวาอวี่ลุกขึ้นและเตรียมที่จะออกไปหาฉินอวี้โม่ด้วยตัวเอง
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นพอดิบพอดีและคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาจากข้างนอก
“ศิษย์นอกทั้งสามคนนี้คือศิษย์ที่เจ้าจะพาไปด้วยรึ ?”
ฮวาเฉินมองหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ อย่างพินิจพิจารณา และเมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติ นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
นอกเหนือจากศิษย์นอกเหล่านี้ก็ยังมีศิษย์ในอีกหลายคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าหานโม่ฉือคือสามีของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
“ในเมื่อเรามากันพร้อมหน้าแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหลายก็พาเราไปที่ดินแดนต้องห้ามได้เลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวโดยไม่คิดจะแนะนำตัวผู้ใด
ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามก็ไม่สนใจเรื่องนั้นและเดินออกไปจากประตูก่อน
ฮวาลั่วและฮวาปี้ทักทายหานโม่ฉืออย่างเป็นมิตร พวกนางทราบถึงตัวตนของหานโม่ฉือดีและทราบความจริงทั้งหมด ในเมื่อมีหานโม่ฉืออยู่กับฉินอวี้โม่ พวกนางก็จะวางใจได้
จากนั้นทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลังหุบเขาหมื่นบุปผาซึ่งแน่นอนว่าดึงดูดสายตาผู้คนมากมายในระหว่างทาง
สายตาของศิษย์ส่วนใหญ่จับจ้องไปที่หานโม่ฉืออย่างสงสัยใคร่รู้
“บุรุษผู้นั้นคือใครกัน ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน ?”
เหลียนซวงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหานโม่ฉือที่เดินข้างกายฉินอวี้โม่
นางเคยเห็นศิษย์นอกเป็นส่วนใหญ่ แม้คนเหล่านั้นจะดูดีพอสมควร ทว่าก็ไม่เคยมีผู้ใดที่โดดเด่นรูปงามเช่นหานโม่ฉือผู้นี้มาก่อน
รูปลักษณ์ของเขาราวกับเป็นแสงที่เจิดจรัสซึ่งไม่อาจละสายตาไปได้เลย
“เขาเป็นศิษย์นอกของนิกายและดูเหมือนว่าจะเข้ามาในนิกายหมื่นบุปผาพร้อมกับกลุ่มของฉินอวี้โม่”
ศิษย์คนหนึ่งสืบทราบข้อมูลมาเล็กน้อย ทว่าไม่ทราบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่
“เรามีศิษย์นอกที่รูปงามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน…”
ประกายความปรารถนาฉายวาบในแววตาของเหลียนซวง มีเพียงบุรุษเช่นนี้เท่านั้นที่จะคู่ควรและมีคุณสมบัติมากพอที่จะยืนเคียงข้างนางได้ ต่อให้เป็นเพียงศิษย์นอก ทว่าเขาก็ทำให้นางรู้สึกหมายปองและใจสั่นอย่างมิอาจควบคุม
“ไปสืบเรื่องเขามาให้ข้า”
เหลียนซวงไม่รอช้าและกล่าวกับศิษย์สตรีหลายคนใกล้ตัวเพื่อให้พวกนางไปสืบเรื่องของหานโม่ฉือที่หอชั้นนอก
สตรีเหล่านั้นก็พยักศีรษะรับคำสั่งและแยกตัวไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกนางไม่ทราบเลยก็คือเฉียนจ้วงได้จัดเตรียมเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วและจะไม่มีศิษย์นอกคนใดเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ต่อให้ไปถึงหอชั้นนอก พวกนางก็ไม่มีทางได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ
บรรดาผู้อาวุโสและคณะของฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้ามาถึงภูเขาด้านหลังนิกายหมื่นบุปผาและหยุดลงที่เชิงเขาทอดยาว
“ดินแดนต้องห้ามไม่ได้อยู่บนภูเขาลูกนี้หรอก…”
ฮวาลั่วอธิบายกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทว่าเชิงเขาแห่งนี้เป็นเพียงทางเข้าของดินแดนต้องห้ามเท่านั้นและดินแดนดังกล่าวไม่ได้อยู่บนภูเขาตรงหน้าทุกคน
“พวกเจ้าพร้อมรึไม่ ?”
ฮวาเฉินเอ่ยถามตามมารยาทและแทบไม่สามารถระงับสีหน้าท่าทางตื่นเต้นได้เลย
ฉินอวี้โม่และทุกคนก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงแสดงให้เห็นว่าพวกนางพร้อมแล้ว
“เอาล่ะ เราจะเปิดประตูค่ายกลเคลื่อนย้ายและพวกเจ้าจงรีบก้าวเข้าไป เมื่อพบสมบัติของนิกายหมื่นบุปผา พวกเจ้าก็จะสามารถใช้พลังของมันเพื่อกลับออกมาได้”
หลังจากกล่าวและพยักศีรษะ นางก็เดินเข้าไปประจำตำแหน่งและเริ่มปลดปล่อยพลังมายาออกไป
“อวี้โม่ เก็บลูกแก้วนี่ไว้ หากเจ้าเผชิญภยันตรายใดก็ทำลายมันได้เลย เมื่อถึงตอนนั้น ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้ายจะเข้าไปช่วยเจ้าได้”
ฮวาลั่วยื่นลูกแก้ววิญญาณที่ส่องแสงเป็นประกายให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวก่อนเดินเข้าไปยืนประจำตำแหน่งของตน
ผู้อาวุโสอีกสองคนก็เข้าประจำตำแหน่งเช่นกันและพลังมายาแผ่ออกไปรวมตัวกันที่ผนังของภูเขาตรงหน้า หลังจากนั้นไม่นานนัก ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ปรากฏตรงหน้าทุกคน