ตอนที่ 2333 รูปแปดผีกลืนกินพระ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“ชนรุ่นหลังสามารถยืนอยู่ที่นี้ได้ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นคนของกลุ่มพันธมิตร ได้รับคำสั่งมาจากใต้เท้าปี้อิ่งผู้ดูแลแดนนภาสีเลือดแห่งนี้ เพื่อเชิญผู้อาวุโสหานไปพูดคุยกันสักเล็กน้อย” สาวงามเย็นชาคนนั้นเอ่ยออกมาด้วยความเคารพ

“ปี้อิ่ง? ถึงแม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้ แต่ในเมื่อเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบของกลุ่มพันธมิตรของพวกท่านในแผ่นดินแห่งนี้ คาดว่าคงจะมีชื่อเสียงไม่น้อยในแดนนภาสีเลือด นักพรตปี้ตามหาข้ามีเรื่องอะไรกันหรือ?” แววตาของหานลี่เปล่งประกายออกมาแล้วจึงได้เอ่ยถามกลับไป

จนถึงตอนนี้ เขาจะไม่รู้ข่าวว่าตนมาถึงที่แห่งนี้แล้วได้อย่างไรกัน จะต้องเป็นหมิงจุนที่ส่งข่าวให้กับทางนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายจะมา “ขวางทาง” ตนเองเอาไว้ได้พอดิบพอดีได้อย่างไรกัน

“เรื่องนี้ชนรุ่นหลังไม่ทราบจริงๆ ชนรุ่นหลังเพียงแต่ได้รับคำสั่งให้มาเชิญผู้อาวุโสไปสักรอบหนึ่งเท่านั้น ผู้อาวุโสหานหากว่ามีอะไรที่ต้องการจะเอ่ยถาม เมื่อถึงเวลานั้นถามใต้เท้าปี้อิ่งเองจะดีกว่า” สาวงามผู้เย็นชาเอ่ยตอบกลับออกมาอย่างไม่ต้องครุ่นคิด

“เฮ่อเฮ่อ นักพรตปี้ให้เจ้ามาเชิญข้า เช่นนั้นแล้วไม่ได้กำชับเรื่องอื่นเอาไว้อย่างนั้นหรือ แล้วก็แน่ใจว่าผู้แซ่หานจะต้องตอบตกลงที่จะไปพบกัน” หานลี่เมื่อได้ยินแล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ก่อนที่ชนรุ่นหลังจะมานั้น ใต้เท้าปี้ได้มอบของสิ่งหนึ่งให้แก่ชนรุ่นหลังไว้ ให้ข้ามอบมันให้แก่ผู้อาวุโสด้วยตนเอง” สาวงามเย็นชาผู้นั้นหลังจากที่มีสีหน้าแปลกๆ แล้ว จึงได้เอ่ยออกมาเช่นนี้

“ของสิ่งหนึ่ง? เอาออกมาให้ข้าดูเสียหน่อย” ดวงตาทั้งคู่ของหานลี่หรี่เล็กลง

“ได้ เชิญผู้อาวุโสดูได้” แขนเสื้อของสาวงามเย็นชาคนนั้นสั่นไหวขึ้นโดยที่ไม่ได้ลังเล ชั่วพริบตาเดียวก็นำเอาม้วนคัมภีร์สีแดงเลือดออกมา มือทั้งสองข้างยื่นมันออกไป

หานลี่ยื่นมือข้างเดียวออกไปรับ ม้วนคัมภีร์สีแดงเลือดพริบตาก็ตกลงมาในมือของเขา หลังจากที่ใช้จิตสัมผัสกวาดตาดูด้านบนแล้ว ก็ไม่ลังเลที่จะเปิดมันขึ้นมา

ม้วนคัมภีร์ที่เปิดออกมานั้นมีตราประทับด้วยหมึกสีดำของแปดผีกลืนกินพระพุทธเจ้า

ทั้งแปดนั้นใบหน้าสีฟ้าดูดุร้ายมาพร้อมกับเขี้ยว หรือไม่ก็โชว์ฟันและกรงเล็บ หรือไม่ก็ถือไม้เท้าปีกนก ล้อมรอบภิกษุที่ใบหน้าดูพร่ามัวเอาไว้อยู่ตรงกลาง เหมือนกับว่าจะแยกชิ้นส่วนแล้วกลืนกินลงไป ดูสมจริงเป็นอย่างมาก

หานลี่คว้าม้วนคัมภีร์ทั้งสองข้างจ้องมองดูภาพของวิญญาณที่ชั่วร้าย สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ว่าภายในใจนั้นรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าปี้อิ่งคนนั้นให้เขาดูรูปภาพเช่นนี้ ตกลงแล้วเขาหมายความว่าเช่นไรกัน

และในตอนนี้เอง เสียงดัง “ปัง” ดังขึ้นมา ม้วนคัมภีร์จู่ๆ ก็มีลำแสงสีเลือดลอยพุ่งตรงมายังหานลี่

หานลี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ ขณะนั้นเขาก็ใช้จิตสัมผัสกวาดมองลำแสงสีเลือดนั้น และหลังจากที่ครุ่นคิดออกมา ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงออกไป ปล่อยให้มันลอยวนรอบๆ กายเพียงพริบตาเดียวเขาก็ถูกมันดึงเข้าไปในภาพนั้น

เซวี่ยพั่ว จูกั่วเอ๋อร์และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็พากันตกตะลึง

และหลังจากที่สีหน้าของบรรพชนฮวาสือเปลี่ยนไป ไหล่ของเขาสั่นไหว จู่ๆ ปราณดำหลายสายก็พุ่งออกมาจากด้านหลัง แล้วแปลงกายเป็นงูเหลือมสีดำสนิทสูงนับสิบจั้ง แล้วจ้องมองสาวสวยผู้เย็นชาคนนั้นด้วยความดุร้าย

และทันทีที่อีกฝ่ายมีความเคลื่อนไหว ก็ดูเหมือนพร้อมที่จะจู่โจมเพื่อขับไล่งูเหลือมขนาดยักษ์นั้นในทันที

“นักพรตทุกท่านอย่าได้ตื่นตระหนกกันจนเกินไป ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับผู้อาวุโสหาน เพียงแค่ใต้เท้าปี้อิ่งต้องการพบกันอย่างลับๆ จึงได้ใช้พลังวิเศษเรียกเขาเข้าไปในรูปภาพ อีกไม่นานก็จะออกมาแล้ว” สาวงามเย็นชาผู้นั้นโบกมือออกไปให้กับบรรพชนฮวาสือ และเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น

“เป็นเช่นนี้จริงหรือ? หากว่าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับท่านอาจารย์หานด้านในแล้ว ก็อย่ามากล่าวโทษว่าข้าโหดเหี้ยมเกินไปก็แล้วกัน” บรรพชนฮวาสือเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งออกมา

“หากว่าผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว ผู้อาวุโสหานยังไม่ออกมา นักพรตทุกท่านสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ” สาวงามเย็นชาผู้นั้นเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม

“พี่ฮวา อีกฝ่ายเหมือนกับว่าไม่ได้พูดคำเท็จ พวกเรารอดูสักพักก่อนเถอะ ด้วยพลังยุทธ์ของผู้อาวุโสหานแล้ว ต่อให้จะพบเข้ากับเรื่องอะไรก็คงจะไม่เกิดอันตรายขึ้น” หลังจากที่ดวงตาของเซวี่ยพั่วเปล่งประกายออกมา ก็เอ่ยออกมาช้าๆ

บรรพชนฮวาสือเองก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผล จึงได้พยักหน้าเห็นด้วยแล้วแปลงกายร่างงูเหลือมยักษ์กลับมาเป็นดั่งเดิม สีหน้าท่าทางดูเคร่งขรึมแล้วยืนอยู่ด้านข้างโดยที่ไม่ได้ส่งเสียงออกมา

ส่วนจูกั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง กลับรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง มองไปยังรูปของผีร้ายที่ลอยอยู่กลางอากาศ

และในขณะนี้เองภาพแปลกประหลาดนี้ที่ถูกปกคลุมด้วยลำแสงสีเลือดมานานแล้ว และเมื่อทุกคนใช้จิตสัมผัส สัมผัสเข้ากับมัน ก็ถูกผลักออกมาในทันที ไม่มีทางที่เข้าไปได้แม้แต่น้อย

กระทั่งมีเลือดพุ่งออกมาจากภาพแปลกประหลาดนี้

ส่วนคนต่างเผ่าสองสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้เข้า เหมือนว่าจะรู้สึกหนาวเหน็บเข้าไปจนถึงในใจ และหลังจากที่พูดคุยกันต่ออีกสองสามประโยค ก็ทยอยกันแยกย้ายออกไปจากที่นี้ ราวกับว่าหวาดกลัวจะเกี่ยวข้องไปด้วย

กลับเป็นชายหน้ากลมที่ชื่อว่าฟังจิ้นยืนมองหรี่ตายิ้มอยู่ด้านข้างอยู่ตลอด

ในขณะเดียวกัน ในพื้นที่ลึกลับของภาพผีร้ายนั้น หานลี่ขมวดคิ้วแล้วมองไปยังพระชราชุดคลุมสีเทาที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่

พระรูปนี้ดูจากการแต่งกายแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นรูปเดียวกันกับที่ถูกผีร้ายในรูปภาพล้อมรอบเอาไว้

เพียงว่าจนถึงตอนนี้พระรูปนี้ไม่แม้แต่จะขยับเลย ราวกับว่าเป็นไม้แกะสลัก

พระอยู่นี่ แล้วผีร้ายพวกนั้นอยู่ที่ไหนกัน?

หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิด สายตาก็สอดส่องไปทั่วทั้งสี่ทิศ

เห็นเพียงทั้งสี่ทิศที่ห่างไปไม่ถึงสิบจั้ง เป็นหมอกสีเลือดหนาแน่น

ปราณเลือดพุ่งพล่าน เหมือนมีร่องรอยของวิญญาณร้ายหลุดรอดออกมา เมื่อใช้จิตสัมผัสแล้ว ราวกับว่าสัมผัสเข้าบางอย่างที่หนาวเย็นอย่างแปลกประหลาด

ใบหน้าของหานลี่ปรากฏความประหลาดใจออกมา

และในตอนนี้เองที่หมอกสีเลือดเกิดเสียงคำรามดังออกมา ตามมาด้วยหมอกนั้นแยกตัวออกจากกัน ผีร้ายแปดตัวสูงนับสิบจั้งออกมาจากด้านในนั้น

ผีร้ายเหล่านี้ล้วนแต่เปลือยเปล่าครึ่งกาย ด้านล่างเป็นผิวของอสูรร้ายที่เต็มไปด้วยลวดลายผีแปลกประหลาด บนหัวมีเขาแปลกๆ และทันทีที่เดินออกมาจากกลุ่มหมอกนั้น ก็ล้อมรอบหานลี่เอาไว้ในทันที

“นักพรตปี้อิ่ง นี้มันอะไรกัน?” หานลี่ใบหน้าดูมืดมนลง จู่ๆ ก็หันไปทางด้านหน้าของพระรูปนั้นแล้วเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา

“โอ้ว นักพรตหานรู้ได้อย่างไรว่าผู้แซ่ปี้อยู่ที่นี่?” ร่างกายของพระรูปนั้นสั่นไหว จริงๆ แล้วเขาลืมตาขึ้นมาแล้ว ดวงตาดูขุ่นมัว ราวกับว่ายังนอนหลับไม่ตื่นขึ้นมา

“นักพรตท่านล้อเล่นกันแล้ว ผู้แซ่หานถึงแม้ว่าจะอยู่ในขั้นมหายานมาได้เพียงไม่นาน แต่ว่าเคล็ดวิชาแยกแยะประเภทนี้ ทำไมถึงจะไม่เคยพบมาก่อน เดิมข้าคิดว่า นักพรตจะแสดงอาวุธวิเศษอะไร หรือจะหารือเรื่องลับอะไร ถึงได้ร่ายคาถาดึงข้าเข้ามา ตอนนี้เมื่อเห็นภูตผีเหล่านี้แล้ว กลับดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น”

หานลี่เอ่ยออกมาเบาๆ

“นักพรตหานอย่าได้เข้าใจผิดไป ที่ข้าเรียกท่านเข้ามานั้น แน่นอนว่ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการบอกท่าน แต่ว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ชายชราจะต้องตรวจสอบท่านเสียก่อนว่ามีคุณสมบัติพอที่จะล่วงรู้เรื่องนี้หรือไม่ ราชาผีจากแม่น้ำเหลืองทั้งแปดที่แปลงกายออกมานั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ว่าสายลมทมิฬจากแม่น้ำเหลืองนั้นเป็นของแท้แน่นอน ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาทั่วไปเพียงแค่ถูกปนเปื้อนเข้าไปนิดเดียว ก็จะทำให้กายเนื้อถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสายน้ำพลังหยิน และถึงแม้ว่าจะเป็นนักพรตที่อยู่ในขั้นของมหายานทั่วไปแล้วพบเข้ากับของสิ่งนี้ ก็ทำได้เพียงแค่ถอยหลีกหนีเท่านั้น ไม่กล้าที่จะฝ่าเข้าไป ท่านทำได้เพียงแค่ไปมาได้อย่างอิสระภายใต้สายลมทมิฬในแม่น้ำเหลืองแห่งนี้เท่านั้น และไม่อาจใช้สมบัติวิเศษใดภายในสิบห้านาทีนี้ และถ้าหากผ่านการตรวจสอบจากข้าแล้ว หลังจากนี้ ชายชราจะต้องชดใช้ให้อย่างแน่นอน แล้วบอกทุกอย่างตามความจริง แต่หากว่าทำไม่ได้แล้วละก็ ชายชราก็ทำได้เพียงแค่ส่งท่านออกไปจากรูปภาพนี้ แล้วทำเหมือนว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมา” พระรูปนั้นเอ่ยออกมาโดยที่ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ออกมา

และเกือบจะในขณะเดียวกัน ผีร้ายทั้งแปดตัวก็ส่งเสียงคำรามออกมา ปากอ้าออกกว้าง สายลมทมิฬสีดำมืดสนิทพุ่งออกมา จากนั้นก็กลายเป็นกำแพงลมขนาดใหญ่ปิดกั้นพื้นที่ว่างเปล่าด้านข้าง จากนั้นก็ม้วนตัวพุ่งตรงไปยังหานลี่

“สายลมทมิฬจากแม้น้ำเหลือง ในสิบห้านาทีนี้ไม่อาจใช้สมบัติวิเศษใดได้! น่าสนใจเข้าแล้วสิ! แต่ว่านี่จะไม่เป็นการประเมินข้าต่ำไปอย่างนั้นหรือ” หานลี่มองไปยังสายลมทมิฬที่ม้วนตัวเข้ามา แววตาปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจ และในทันใดนั้นเขาก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องเอ่ยออกมาอีกแล้ว

“ปัง” ดังออกมา

ไม่เห็นว่าหานลี่จะร่ายคาถาใดออกมา และในขณะที่สายลมทมิฬกำลังม้วนตัวมาถึงหน้าของเขานั้น รอบกายของเขาก็ปรากฏเป็นลำแสงสีทองออกมาในทันที

สายลมทมิฬที่หากออกไปนับสิบจั้งก็ค่อยๆ หยุดตัวลง แล้วถูกลำแสงสีทองอันทรงพลังนี้ทำให้มันแข็งค้างอยู่ตรงจุดเดิม ไม่อาจเข้ามาใกล้ได้อีกแม้แต่น้อย

“พลังยุทธ์ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย แต่ว่าท่านอย่าได้วางใจจนเกินไป สายลมทมิฬจากแม่น้ำเหลืองนี้เมื่อเจอกับความแข็งแกร่งก็จะแข็งแกร่ง เมื่อเจอกับความอ่อนแอก็จะอ่อนแอ และไม่ใช่มีพลังเพียงแค่เท่านี้” พระรูปนั้นเมื่อเห็นสถานการณ์นี้เข้า ก็หดตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยออกมาอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ใด

“อย่างนั้นหรือ สายลมทมิฬจากแม่น้ำเหลืองหากว่าแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ผู้แซ่หานเองก็ยินดีที่จะได้พบกับมันอีก” หานลี่จ้องมองไปยังสายลมทมิฬที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

และในขณะที่เขาเพิ่งจะเอ่ยออกมาจบลงนั้น สายลมทมิฬจู่ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาในทันที พลังขนาดมหึมาที่ไม่น่าเชื่อพุ่งออกมาจากสายลมนั้น

ลำแสงสีทองที่เปล่งออกมาจากกายของหานลี่เมื่อสัมผัสเข้ากับพลังขนาดมหึมานี้เข้า เกิดเป็นเสียงดัง “กรุบกรอบ” แปลกๆ ดังออกมา แล้วจึงถูกบีบกลับถอยไปด้านหลัง

ถึงแม้ว่าจะถอยห่างออกไปเพียงแค่ครึ่งฉือ ก็ถูกลำแสงสีทองขัดขวางเอาไว้อีกครั้ง ดวงตาของหานลี่วาววับขึ้นมา

“สายลมทมิฬจากแม่น้ำเหลืองนี้ดูช่างน่าสนใจจริงๆ ข้าขอเก็บบางส่วนเอาไว้มาทำการศึกษา นักพรตท่านคงจะไม่ถือสาอันใด” หานลี่จู่ๆ ก็เอ่ยออกมาเช่นนี้

“โอ้ว หากว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ สายลมทมิฬพวกนี้เชิญเก็บกลับไปได้ ของสิ่งนี้ ในมือของชายชรามีอยู่แล้ว” พระรูปนั้นเมื่อได้ยินเข้าก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับมาเสียงต่ำ

“เมื่อนักพรตเอ่ยออกมาเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็ไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วยื่นมือออกข้างหนึ่งออกไป

“ปัง” ดังออกมา ลำแสงสีทองเปล่งประกายออกมาด้านหลังของหานลี่ ชั้นอากาศนั้นหลอมรวมเป็นร่างธรรมสามหัวหกแขนขึ้นมา

ร่างธรรมนี้สูงนับสิบจั้ง อักษรรูนสีทองนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ทั่วทั้งกาย จากนั้นก็เปล่งประกายออกมาจนทำให้ผู้คนมิอาจมองดูได้อย่างประหลาด และเมื่อเขาปรากฏกายออกมา แขนทั้งหกนั้นก็ยกขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยร่ายคาถาออกมา

“ปัง” ดังขึ้นมา ลูกบอลลำแสงสีทองหกลูกก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไปอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็รวมเข้ากลายเป็นลูกเดียวอยู่ด้านหน้าของหานลี่ แล้วกลายเป็นกระแสน้ำวนสีทองขนาดใหญ่

“เก็บ”

หานลี่ใช้หนึ่งนิ้วชี้ลงไปในกระแสน้ำวน ปากก็เอ่ยออกมาด้วยความเคร่งขรึม

ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็เกิดเสียงดังคำรามออกมา อักษรรูนสีทองนับไม่ลอยออกมา และขณะเดียวกันแรงดึงดูดมหาศาลก็ม้วนตัวออกมา

ฉากน่าประหลาดใจผู้คนได้ปรากฏขึ้นแล้ว

สายลมทมิฬที่ดูเหมือนจะดุร้าย เมื่อสัมผัสเข้ากับแรงดึงดูดของกระแสน้ำวนเข้า ราวกับพบเข้ากับความโชคร้ายโดนดูดเข้าไปในเสาลม

เสาลมสีดำหลายต้นค่อยๆ ม้วนตัวเข้าไปในกระแสน้ำวนสีทอง ราวกับว่าเป็นแม่น้ำหวันชวนที่ไหลไปไม่ย้อนกลับ

กำแพงลมสีดำขนาดใหญ่ เพียงพริบตาเดียวก็ถูกดูดเข้าไปเจ็ดถึงแปดส่วน เหลืออยู่ไม่มากนัก

กระทั่งแม้แต่เจ้าผีร้ายแปดตัวนั้นก็ยังพ่นสายลมทมิฬออกมาอย่างสิ้นหวัง แล้วจึงถูกแรงดึงดูดนี้ดูดเข้าไป ไม่อาจยืนอยู่อย่างมั่นคงและเข้าใกล้กระแสน้ำวนได้ และดูเหมือนราวกับว่าไม่อาจจะเป็นอิสระได้