ตอนที่ 1104 สู้นางไม่ได้

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ไป๋เหยียนเอ๋อร์มองมู่เฉียนซีอย่างอ่อนโยน และแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ

“การประลองการปรุงยาในครั้งนี้ ซีเอ๋อร์สามารถคว้าอันดับได้ดีเช่นนี้ ข้ายินดีกับซีเอ๋อร์ด้วยจริง ๆ ไม่รู้ว่าซีเอ๋อร์มีเคล็ดลับใด?”

นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ คนอย่างธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋จะมาพูดจากับมู่เฉียนซีผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งในการประลองการปรุงยาอายุไม่เกินร้อยปีในครั้งนี้ อีกทั้งยังพูดอย่างใกล้ชิดราวกับว่ารู้จักมักคุ้นกันมาก่อน

“เคล็ดลับ เหตุใดข้าต้องบอกเคล็ดลับให้คนอย่างเจ้าด้วย?” มู่เฉียนซีมองไป๋เหยียนเอ๋อร์ด้วยความเย้ยหยัน

นางไม่ไปหาไป๋เหยียนเอ๋อร์ แต่ไป๋เหยียนเอ๋อร์กลับมาหานางด้วยตัวเองเช่นนี้แล้ว

“ซีเอ๋อร์มีเคล็ดลับดี ๆ เช่นนี้ ไม่คิดอยากแบ่งปันให้ทุกคนรู้บ้างหรืออย่างไร หากทุกคนประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับซีเอ๋อร์ ทุกคนก็จะขอบคุณซีเอ๋อร์นะ”

“ข้าไม่ได้อยากได้คำขอบคุณอันใด” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา

ดวงตาคู่นั้นของไป๋เหยียนเอ๋อร์ดูหม่นหมองลง กล้ำกลืนเป็นที่สุด

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนอดที่จะรู้สึกสงสารนางไม่ได้ มู่เฉียนซีผู้นี้ก็หยิ่งยโสเกินไป นึกไม่ถึงว่าจะกล่าววาจาเช่นนี้กับธิดาศักดิ์สิทธิ์

“ที่ซีเอ๋อร์ไม่ยินยอมเช่นนี้ แสดงว่าซีเอ๋อร์ต้องได้ของล้ำค่าบางอย่างมาแน่ อย่างเช่นหม้อเทพนิรันดร์ ซีเอ๋อร์ถึงได้กลายเป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่งถึงเพียงนี้ การเก็บความลับเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ขะ ข้า…ข้าไม่ควรถามมากไป” ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวอย่างจริงใจ

ทว่า เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนี้ต่างก็ตกใจจนผงะไป มู่เฉียนซีมีของล้ำค่า!

นางได้สร้างความมหัศจรรย์ขึ้นมากมายจริง ๆ พรสรรค์อันน่าทึ่ง หากมีของล้ำค่าในครอบครอง นั่นก็เป็นคำชี้แจงที่มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง

แต่หม้อเทพนิรันดร์ในตำนาน…

มู่เฉียนซีจ้องมองไป๋เหยียนเอ๋อร์ด้วยสายตาที่เย็นชา อยากจะเผาร่างนางเสียจริง ไป๋เหยียนเอ๋อร์คิดว่าแค่คำพูดนี้จะทำอันใดนางได้เหรอ?

แววตาของไป๋เหยียนเอ๋อร์เผยความพึงพอใจออกมา จากนั้นนางก็รีบเอามือปิดปากและกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ ขะ…ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าคงจะไม่ได้สร้างปัญหาให้ซีเอ๋อร์กระมัง?”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ วางใจเถอะ! ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินหอหมอปีศาจเพราะเรื่องเหลวไหลหรอก ส่วนเรื่องที่เพราะเหตุใดฝีมือการปรุงยาของข้าถึงสามารถมาถึงขั้นนี้ได้นั้น รอให้การประลองปรุงยาอายุไม่เกินหมื่นปีได้เริ่มขึ้นก่อน ทุกคนก็จะเข้าใจเอง”

คำพูดนี้ของมู่เฉียนซีทำให้ผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับของล้ำค่าของมู่เฉียนซีเหล่านี้ต่างอดกลั้นเก็บความสงสัยนี้เอาไว้

สาวน้อยผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปที่ไร้ภูมิหลัง หอหมอปีศาจอาจจะไม่กลัวตำหนักตงจี๋ก็ได้ พวกเขาไม่อยากจะยั่วโมโห

“หากท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ต้องขอตัวก่อน หากข้าพักผ่อนไม่เพียงพอ ข้าก็อาจจะอารมณ์ไม่ดีเอาได้ แล้วถ้าหากว่าข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าก็อาจจะทำอะไรบางอย่างกับท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้ และเกรงว่าท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์จะต้องนอนพักผ่อนเป็นเวลาสิบวันหรือครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย” ดวงตาของมู่เฉียนซีเย็นยะเยือก

ไป๋เหยียนเอ๋อร์รีบร่นตัวถอยหลังไปหลายก้าว “เจ้า…”

เมื่อนึกถึงวันนั้นที่นางกลายเป็นหัวหมู สีหน้าของนางก็ซีดเผือดลงทันใด มู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นั้นกับมู่เฉียนซีน่ากลัวไม่ต่างกันเลย

หากนางไม่รู้ว่าพี่ชายของมู่เฉียนซีชื่อมู่ชิงเฉิน นางก็คงคิดว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยนั้นเป็นพี่ชายของมู่เฉียนซีไปแล้ว

อาถิงกล่าว “ไปเถอะ! อย่ามัวแต่เสียเวลากับหญิงสาวผู้น่ารังเกียจอยู่เลย”

อาถิงจูงมู่เฉียนซีเดินจากไป ไม่แม้แต่จะเหลือบมองไป๋เหยียนเอ๋อร์เลยสักนิด

อาถิงพูดเสียงดังมาก ทุกคนที่อยู่ในสนามประลองล้วนแต่ได้ยินทั้งสิ้น

ว่ายังไงนะ! หมอปีศาจพูดว่าท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นหญิงผู้น่ารังเกียจอย่างนั้นเหรอ!

ผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้อย่างเขา ก็คงจะไม่กล่าววาจาอย่างไร้เหตุผลไร้ที่มาหรอกกระมัง!

จู่ ๆ พวกเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคำพูดของธิดาศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่นั้น มันอาจจะฟังดูดี น้ำเสียงอาจจะอ่อนโยน แต่กลับดูเหมือนว่าจะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดก็มิปาน

เมื่อได้เห็นแววตาที่แสดงความสงสัยเหล่านี้จับจ้องมา ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวมากขึ้น

ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “เหยียนเอ๋อร์ ตอนนี้อย่าได้ไปล่วงเกินมู่เฉียนซีก่อน เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธจนแทบจะกระอักเลือด “ท่านพ่อ! นี่แม้แต่ตัวท่านพ่อเองก็คิดว่าลูกสู้มู่เฉียนซีไม่ได้อย่างนั้นเหรอเจ้าคะ มู่เฉียนซีก็แค่โชคดีก็เท่านั้น มีท่านพ่อที่ดี มีสถานะที่ดี มีของล้ำค่ามากมาย ตั้งแต่เล็กจนโตลูกก็ต้องอยู่…”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น จนกระทั่งพูดจาฟังไม่รู้เรื่องแล้ว

ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ลูกสาวของพ่อ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจเทียบได้ทั้งนั้น มีท่านหมิงจีคอยช่วยเหลือ อีกไม่นานลูกก็เหนือกว่ามู่เฉียนซีผู้นั้นแล้ว”

“ลูกรู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อดีกับลูกที่สุด” ไป๋เหยียนเอ๋อร์แสดงท่าทางมีความสุขออกมา

เนื่องจากจู่ ๆ ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็กระโดดออกมาก่อน เฟิงอวิ๋นซิวจึงไม่ได้กล่าวแสดงความยินดีกับมู่เฉียนซีในตอนแรก เขาจึงนำคนตามนางไปที่หอหมอปีศาจ

เฟิงอวิ๋นซิวเดินเข้าไปในหอหมอปีศาจอย่างคุ้นเคย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ได้เห็นกับใบหน้าอันงดงามและประณีตราวกับภูตของคนผู้หนึ่ง

ทว่า ใบหน้าอันงามนี้กลับเผยความรังเกียจออกมา “เจ้ามาทำอะไร ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะมา!”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “วันนี้เฉียนซีได้เป็นถึงอัจฉริยะนักปรุงยาอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก ข้ามาก็เพื่อจะแสดงความยินดีกับนาง!”

“นี่เป็นเพียงความสำเร็จขั้นเล็ก ๆ ของนางเท่านั้น มีสิ่งใดต้องยินดีด้วย เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!” อาถิงไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น

“หมอปีศาจเข้มงวดกับเฉียนซีเกินไปหรือเปล่า”

อายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี สามารถคว้าอันดับหนึ่งในการประลองการปรุงยาอายุไม่เกินร้อยปีได้ อีกทั้งยังหลอมยาลูกกลอนขั้นสวรรค์และได้เป็นอัจฉริยะนักปรุงยาอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก

หากนี่เป็นเพียงแค่ความสำเร็จขั้นเล็ก ๆ นักปรุงยาคนอื่น ๆ ก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้วล่ะ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”

ในตอนนี้เอง เสียงของมู่เฉียนซีก็ดังขึ้น

“ให้อวิ๋นซิวเข้ามา”

อาถิงกล่าว “ข้าไม่ยอมให้เจ้าสู้ข้า และเขาจะสู้ข้าได้เหรอ!”

“นับวันเจ้าก็ยิ่งไร้เดียงสามากเกินไปแล้ว” มู่เฉียนซีแสยะปากกล่าว

“นี่เจ้าว่าอะไรนะ นี่นึกไม่ถึงเลยนะว่าเจ้าจะพูดว่าข้าไร้เดียงสา ในตอนที่ข้ามีอิทธิพลเกรียงไกร เจ้ายังไม่เกิดออกมาลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ! ยังมีหน้ามาพูดว่าข้าไร้เดียงสา”

“จะไร้เดียงสาหรือไม่ ไม่ใช่ตัดสินกันที่ใครเกิดก่อนใครเกิดหลัง แต่…” มู่เฉียนซีชี้นิ้วมาที่สมองตัวเอง

“นี่เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ากำลังว่าข้าว่าสมองข้ามีปัญหาน่ะ หญิงอัปลักษณ์ เจ้านี่มันช่างกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว”

“เจ้าก็รู้ดีหนิว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ากำเริบเสิบสาน”

“เจ้า…”

อาถิงกับมู่เฉียนซีเพิกเฉยต่อคนนอกอย่างเฟิงอวิ๋นซิวไปเสียแล้ว ทั้งสองโกรธเกรี้ยวขึ้น และเหตุการณ์ก็ยิ่งจะบานปลายมากขึ้น

เฟิงอวิ๋นซิวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นท่าทางเช่นนี้ของทั้งสองก็รู้สึกประหลาดใจว่าทั้งสองอยู่ร่วมกันได้เช่นไร สองคนนี้เปรียบเสมือนน้ำกับไฟ เจอหน้ากันก็ทะเลาะกัน แต่กลับดูเข้าใจกันและกันมาก

ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกัน แต่เขากลับอิจฉาในความสัมพันธ์ของทั้งสอง นี่เป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมที่เขาไม่สามารถมีได้

ไม่นานนัก มู่เฉียนซีกับอาถิงก็ได้หยุดศึกลง

นางมองเฟิงอวิ๋นซิวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และกล่าวว่า “ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าเห็นเรื่องน่าขันเช่นนี้!”

อาถิงทำเสียงฮึดฮัดออกจากทางจมูก ก่อนจะกล่าวว่า “เสแสร้งแกล้งทำ!”

“เจ้าไม่พูดสักคำก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”

“ข้าเปิดเผยนิสัยของเจ้าแล้วจะทำไม?”

“มีแขกอยู่ ข้าไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า!”

ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ต้อนรับเฟิงอวิ๋นซิวแล้ว นางยิ้มพลางกล่าว “คำยินดีของเจ้าข้ารับไว้แล้ว! วันมะรืนจะเป็นการเริ่มประลองการปรุงยาอายุไม่เกินหมื่นปี เจ้าอย่าพลาดไปดูล่ะ รับรองสนุกกว่านี้แน่นอน!”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าเองก็อยากจะรู้มากเช่นกันว่าฝีมือการปรุงยาของหมอปีศาจจะลึกลับซับซ้อนมากเพียงใด ข้าไม่พลาดแน่” ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ร่างของชายหนุ่มชุดเขียวอ่อนผู้รูปงามผู้นั้น ด้วยนิสัยของชายหนุ่มผู้นี้ดูไม่เหมือนนักปรุงยาแม้แต่น้อย