บทที่ 116 ทางเลือกสุดท้าย
ยักษ์ใหญ่กลายสภาพไปเป็นไอหมอกที่ค่อย ๆ กระจายตัวออกไปทั่วบริเวณ ใบหน้าประหลาดปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกนั้น
วิญญาณที่กำลังตระหนกค่อย ๆ สงบลงขณะที่แดนฝันเริ่มเสถียรมากขึ้น… ดูเหมือนว่าพระแม่จะหยุดการโจมตีลงแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไร ทายาทของข้าก็จะต้องมีสิทธิ์ได้รับวิญญาณอำมฤตจากเผ่าวิญญาณ” พระแม่กล่าว
“ให้พวกเขาไปเถอะ” เจ้าแห่งแดนฝันตอบ
มั่วเนี่ยลาซือยังคงเงียบ
เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งการปกป้องจากเจ้าแห่งแดนฝัน ย่อมมีราคาที่จะต้องจ่าย
“ถ้าเช่นนั้น… ก็ให้เป็นไปตามนั้น” เสียงของพระแม่เริ่มแผ่วลง
ความเกี่ยวข้องของนางในเรื่องนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว
“ลาก่อนพระแม่!” กูเทียนเยวี่ยร้องขึ้นพร้อมกับคุกเข่าลงบนพื้น
“แล้วพวกเราล่ะ จะทิ้งพวกเราไว้อย่างนี้หรือ?” ซูเฉินหัวเราะและหันไปมองตานปา
ตานปายักไหล่แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร สายตาของเขาจับจ้องไปยังเจ้าแห่งแดนฝันกับมั่วเนี่ยลาซือ
เจ้าแห่งแดนฝันพูดขึ้นอีกครั้ง “สหายหนุ่มทั้งหลาย พวกเจ้าได้ยินทุกสิ่งที่ต้องการแล้ว เทพเจ้าจะกลับมาอีกครั้ง และยุครุ่งเรืองของพวกเขาก็จะขยายไปทั่วทั้งทวีปต้นกำเนิด ตามเจตจำนงของเทพเจ้าแล้ว โลกนี้จะต้องได้รับการปรับโครงสร้างอีกครั้ง ดังนั้นแล้ว… พวกเจ้ายังจะคิดต่อต้านเทพเจ้าอยู่อีกหรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นเทพเจ้าก็มีตัวตนอยู่จริง ๆ และจะกลับมาสินะ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ท่านก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีถูกไหม?”
เสียงของเจ้าแห่งแดนฝันหม่นลง “ก็เห็นแล้วนี่ว่าข้าทำอะไรได้บ้าง”
เขากำลังพูดถึงการที่ตัวเองสามารถควบคุมกูเทียนเยวี่ยได้อย่างง่ายดาย
ซูเฉินกระแอมไอ “ท่านก็เลยคิดว่าจะทำแบบนั้นกับข้าได้อย่างนั้นหรือ? ข้าเป็นหนึ่งในราชันแห่งฝันของท่าน เป็นผู้ใช้แดนฝันที่เคารพและนับถือท่าน แล้วนี่หรือคือสิ่งที่ท่านทำกับข้า น่าผิดหวังนัก”
เสียงของซูเฉินเยือกเย็นลง “ท่านคุกคามข้ามามากพอแล้ว เจ้าแห่งแดนฝัน เรื่องของอนาคตก็ให้เป็นเรื่องของอนาคต ส่วนในวันนี้ ข้าจะไม่ขอต่อรองกับท่านเกี่ยวกับการตายของเผ่าวิญญาณอีก”
“จองหองนัก!” เจ้าแห่งแดนฝันคำรามขึ้นจากบนท้องฟ้า
คลื่นพลังที่ไร้รูปร่างพาดผ่านร่างของซูเฉินไป
ทว่าซูเฉินกลับนิ่งเฉยและกล่าวเพียงว่า “หากข้าจะจองหอง ข้าก็จะจองหองเช่นนี้ไปจนถึงที่สุด มีใครบ้างที่เห็นด้วยกับข้า?!”
ตานปากล่าว “เผ่าคนเถื่อนยินดีจะยอมรับจุดยืนของเผ่ามนุษย์ในเรื่องนี้”
ซูเฉินยิ้ม “ไม่ชินหูเอาเสียเลย แล้วเผ่าปักษาล่ะ ยินดีจะเข้าร่วมด้วยไหม”
กูเทียนเยวี่ยก้มหน้า
เมื่อเห็นดังนั้นซูเฉินก็ไม่ได้กดดันกูเทียนเยวี่ยแต่อย่างใดและกล่าวต่อไปอย่างใจเย็น “ดูเหมือนว่าเผ่าปักษาจะตัดสินใจแล้วเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้น… ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นก็แล้วกัน”
พูดจบชายหนุ่มก็หันไปหาเจ้าแห่งแดนฝัน และพูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด “ถ้าเราจะเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย ข้าก็คืนตราราชันแห่งฝันนี้ให้กับท่านได้!”
สิ้นคำร่างของซูเฉินก็เริ่มเปล่งแสงสว่างจ้าขึ้นราวกับดวงอาทิตย์ มวลหมอกมหาศาลเริ่มกระจายตัวก่อนจะเคลื่อนลงไปกองอยู่บนพื้น
เจ้าแห่งแดนฝันคำรามขึ้นด้วยความไม่เชื่อสายตา “เป็นไปได้อย่างไร? เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกนั้นคือตราของข้า!!”
สาเหตุที่เจ้าแห่งแดนฝันสามารถควบคุมกูเทียนเยวี่ยได้นั้นไม่ใช่เพราะว่าเขามีความสามารถในการก้าวข้ามปราการพระเจ้า แต่เป็นเพราะกูเทียนเยวี่ยนั้นถูกประทับตราไว้ ซึ่งนั่นก็คือทั้งสามสถานะที่เจ้าแห่งแดนฝัน มอบให้แก่ผู้ใช้งานแดนฝันนั่นเอง
สถานะเหล่านี้คือสิ่งที่เชื่อมพลังเข้าด้วยกัน
และด้วยตราพวกนั้นแล้ว เขาจึงไม่สามารถเป็นอิสระได้!
และในตอนนี้ซูเฉินก็ตัดสินใจที่จะทำลายตราที่ว่านั้นไปแล้ว ชายหนุ่มเป็นอิสระจากการควบคุมราวกับข้าราชการที่เกษียณอายุการทำงานอย่างไรอย่างนั้น
นอกจากนั้นแล้ว เจ้าแห่งแดนฝันก็ยังต้องทนทุกข์กับผลที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ด้วย อย่างไรแล้ว ไม่ว่าอาณาจักรใดที่ต้องสูญเสียขุนนางไปก็ต้องลำบากด้วยกันทั้งนั้น
แม้ว่าเจ้าแห่งแดนฝันจะไม่ได้เกรงกลัวต่อผลกระทบเหล่านั้น แต่ทรัพยากรต่าง ๆ ของเขาก็จะหมดไปหากทุกคนทำเช่นนั้นตามกัน
แสงจากซูเฉินที่กำลังเผาทำลายตรานั้นดูเหมือนว่าจะเปล่งรังสีออกไปถึงหลายหมื่นลี้และเข้าทำลายเจ้าแห่งแดนฝันโดยตรง จึงทำให้เขาส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเกรี้ยวกราด
“ฮ่า ๆๆๆ!” ซูเฉินหัวเราะดังลั่น “ถ้าข้ารู้ ก็แปลว่าข้ารู้นั่นละ จะถามแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน”
เมื่อพูดจบสายฟ้าก็พุ่งออกไปจากร่างของเขา ตานปารีบทำตามทันที สายฟ้าทั้งสองนั้นผสานเข้าหากันก่อนจะทะยานเข้าสู่หมู่เมฆราวกับลูกปืนใหญ่
นี่ไม่ใช่การสละตำแหน่ง… แต่เป็นการก่อกบฏ!
“ไม่นะ!!!” เจ้าแห่งแดนฝันคำรามด้วยความเดือดดาล
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!!!
แดนฝันเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้แรงสั่นสะเทือนกลับมาจากด้านใน ไม่ใช่ด้านนอกอย่างครั้งก่อน และการพังทลายก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าครั้งก่อนมาก
“ไอ้บัดซบ!” เจ้าแห่งแดนฝันเดือดสุดขีด
เขาต้องการจะแสดงให้เห็นอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ แต่ปราการพระเจ้าก็ทำให้อิทธิฤทธิ์ของเขาบนทวีปต้นกำเนิดถูกจำกัด
ซูเฉินรีบเผาตราให้หมดสิ้นไป ทำให้เจ้าแห่งแดนฝันสูญเสียโอกาสที่จะสามารถควบคุมเขาได้
สีหน้าของมั่วเนี่ยลาซือเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าแห่งแดนฝัน!”
หลังจากส่งเสียงด้วยความไม่พอใจและกัดฟันอย่างอาฆาตแค้น เจ้าแห่งแดนฝันก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่สามารถทำให้เขากลัวได้อีกแล้วละ”
ใช่แล้ว… ทั้งหมดนั้นก็แค่การทำเพื่อให้ซูเฉินกลัวเท่านั้น
เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เทพเจ้าผู้นี้จะทำได้ในตอนนี้
แต่ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผลกับซูเฉิน
“จากนี้ไปเผ่าวิญญาณจะต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น” เจ้าแห่งแดนฝันกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
มั่วเนี่ยลาซือก้มหน้าลง “ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านเจ้าแห่งแดนฝัน” แล้วเจ้าแห่งแดนฝันหันมามองซูเฉิน “เจ้าชนะแล้วพ่อหนุ่ม แต่นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ในอนาคตต่อจากนี้ เทพเจ้าจะกลับมา และเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็จะต้องตอบแทนในการกระทำของเจ้าในวันนี้!”
สิ้นเสียงนั้นร่างของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป
ซูเฉินมองดูหมอกที่กำลังสลายไปและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำรงอยู่ได้ตามปกติของมันโดยที่ท่านไม่ต้องกลับมา แต่ในเมื่อท่านจะกลับมาแล้ว ข้าก็จะกำจัดท่านเสีย ใช่แล้ว! ยุคใหม่กำลังใกล้เข้ามา แต่มันจะเป็นยุคของท่านหรือไม่นั้นก็มาดูกัน”
ตู้ม!!!
หมอกนั้นสลายหายไปในที่สุด
ซูเฉิน ตานปา และกูเทียนเยวี่ยลืมตาขึ้นอีกครั้ง และพบว่าตัวเองกลับมาสู่โลกความจริงแล้ว แขนข้างหนึ่งของกูเทียนเยวี่ยถูกทำลายไป
สีหน้าของกูเทียนเยวี่ยหมองลงอย่างเห็นได้ชัดขณะที่ยังคงจมดิ่งอยู่ในความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ซูเฉินกับตานปามองหน้ากัน
จากนั้นซูเฉินก็กล่าวขึ้น “ถ้าเช่นนั้น เผ่าปักษาจะถอนตัวจากการต่อสู้ครั้งถัดไปด้วยหรือเปล่า?”
สีหน้าของกูเทียนเยวี่ยในตอนนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดเหลือเกิน แต่เขาก็ยังไม่ปริปากใด ๆ ออกมา
ห่างออกไป เผ่าวิญญาณคนหนึ่งกำลังเหาะเข้ามาพร้อมกับถือกล่องประหลาดอยู่ในมือ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่ากล่องเหล่านั้นบรรจุอะไรเอาไว้ แต่ซูเฉินกับตานปาก็เดาว่าน่าจะเป็นวิญญาณอำมฤต
ในนาทีสำคัญนี้ เผ่าวิญญาณทำได้เพียงสละวิญญาณอำมฤตไปเท่านั้น
ส่วนเผ่าปักษา… ไม่น่าประหลาดใจนักที่พวกเขาเลือกที่จะขายเผ่ามนุษย์ให้กับเผ่าคนเถื่อน
เมื่อกูเทียนเยวี่ยได้รับวิญญาณอำมฤตมาแล้ว เขาก็ถอนใจอย่างเงียบ ๆ ด้วยความโล่งอก “ข้าต้องขออภัยด้วย เราจะถอยทัพเดี๋ยวนี้ล่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่วางท่ากับผู้ที่เหนือกว่า
“อ้าว พอกินอิ่มก็จะหนีไปแล้วหรือ ชาวปักษานี่เป็นอย่างนี้กันหมดเลยนะ” ซูเฉินพูดนิ่ง ๆ
กูเทียนเยวี่ยหน้าแดงแต่เขาก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
เผ่าปักษานั้นโอหังเหลือเกิน แต่เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก
เมื่อสะพานถูกตัดขาดหมดแล้ว เขาก็ไม่สามารถโทษใครได้อีกแล้วนอกจากตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงทำเพียงแค่หันไปส่งสัญญาณด้วยมือ ก่อนที่ชาวปักษาจะเริ่มถอยทัพกลับไป
ตานปามองดูเผ่าปักษาถอยทัพก่อนจะส่งสายตาฉงนใจให้กับซูเฉิน “ท่านคงไม่ได้กำลังคิดจะหยุดเขาหรอกใช่ไหม”
ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น “แตงโมที่ถูกเก็บมาจากพื้นโดยที่มันยังไม่พร้อมจะกินได้นั้นไม่หวานหรอก ในเมื่อพวกนั้นไม่มีใจที่จะต่อสู้แล้ว เราจะไปบังคับพวกเขาทำไมกัน หากเราทำพลาดและเหตุการณ์รุนแรงขึ้นจนทำให้พวกเขาต้องร่วมมือกันกับเผ่าวิญญาณเพื่อต่อต้านเรา… นั่นคงเป็นปัญหาใหญ่กว่ามาก”
“แต่ท่านไม่รู้สึกขัดใจเลยหรือที่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนั้น” ตานปาถาม “โดยเฉพาะในตอนนี้ที่พวกนั้นได้วิญญาณอำมฤตไปแล้ว เมืองล่องนภาก็จะเคลื่อนที่ได้อีกครั้ง ท่านไม่กลัวหรือว่าเผ่าปักษาจะใช้โอกาสนี้เพื่อยึดอำนาจกลับคืนมา”
ซูเฉินสวนกลับ “แล้วท่านเองล่ะ ท่านกลัวหรือเปล่า”
ตานปากับซูเฉินมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะขึ้น ทั้งสองคนไม่ได้กล่าวอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด
เมืองล่องนภากลับมาเคลื่อนที่ได้อีกครั้งแล้วทำไมกันหรือ?
เผ่ามนุษย์กับเผ่าคนเถื่อนต่างก็กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ซึ่งก็ยิ่งทำให้พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองได้มากขึ้น
นิกายไร้ขอบเขตเพียงกลุ่มเดียวก็สามารถสังหารและฝ่าไปยังเมืองของเผ่าวิญญาณได้แล้ว ซึ่งในอดีตนั้น เรื่องแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
และความแข็งแกร่งของเผ่าคนเถื่อนก็พัฒนาไปด้วยเช่นกัน
ทั้งซูเฉินกับตานปาต่างก็คาดหวังกับอนาคตไว้มาก
พวกเขาเชื่อ พึ่งพา และเลือกในอนาคต… วิชาฝึกใหม่ ๆ ทักษะการรบใหม่ ๆ อาวุธชนิดใหม่ และแม้กระทั่งวิธีการคิดแบบใหม่ก็ด้วย
ทว่าเผ่าปักษากลับยืนกรานที่จะยึดติดอยู่กับอดีต พวกเขาคิดถึงแต่เรื่องการ ‘คืนชีพ’ ให้กับเมืองล่องนภาเท่านั้น
แล้วจะต้องกลัวอะไรกับเผ่าพันธุ์ที่ฝากความหวังไว้กับอดีตกันเล่า?!
ไหนจะยังมีแผนสำรองมากมายที่ซูเฉินเตรียมไว้สำหรับเผ่าปักษาอีกด้วย
สาเหตุที่เขาอนุญาตให้กูเทียนเยวี่ยเอาวิญญาณอำมฤตกลับไปก็เพราะกองหนุนของเขาเริ่มเชี่ยวชาญมากขึ้นแล้ว
ตานปาเองก็มีแผนการที่เตรียมไว้สำหรับจัดการกับเผ่าปักษาเช่นกัน
แค่มองตากันทั้งสองฝ่ายก็เห็นด้วยในความจริงข้อนี้ เพราะแต่ละเผ่าพันธุ์ต่างก็ไม่มีสาเหตุใด ๆ ที่จะต้องเกรงกลัวเผ่าปักษา และรู้ว่าฝ่ายอื่น ๆ นั้นต่างก็มีมาตรการในการจัดการกับชาวปักษาอยู่แล้ว นั่นก็หมายความว่ายิ่งไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีก
ชายหนุ่มทั้งสองจึงหัวเราะออกมา
ตานปากล่าว “ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามนุษย์จะกลายเป็นมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของข้า”
ซูเฉินหัวเราะ “ท่านไม่ใช่เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ข้ามีหรอก”
ตานปาถอนใจ “เผ่าคนเถื่อน…” จากนั้นเขาก็หัวเราะ “แต่นี่คือตัวตน และเผ่าพันธุ์ของข้า ไม่ว่าจะหยาบคาย ป่าเถื่อน และสอนได้ยากเย็นเพียงไร ข้าก็จะรักพวกเขาเสมอ วิชาการฝึกของท่านทำให้พวกนั้นพัฒนาพื้นฐานไปได้มาก หากพวกเรายังพัฒนามันต่อไป ส่งต่อไปรุ่นต่อรุ่น อนาคตของเผ่าคนเถื่อนก็จะพัฒนาขึ้นไปด้วย”
ซูเฉินกล่าวอย่างใจเย็น “พอข้าได้ยินที่ท่านพูดเช่นนั้นก็เริ่มจะรู้สึกแล้วสิว่า การมีอีกเผ่าพันธุ์บนทวีปแห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียหน่อย”
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นสีหน้าของตานปาก็หมองลง “แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่เผ่าวิญญาณควรจะดำรงอยู่อีกต่อไป”
“ถูกของท่าน”
ผู้นำทั้งสองต่อบทสนทนากันไปมา และการต่อสู้ก็กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าเผ่าปักษาจะถอยทัพและลดกำลังของกองทัพร่วมไปอย่างมากแล้ว แต่พวกเขาก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากแดนฝัน ก็ดูเหมือนว่าเผ่าวิญญาณจะสูญเสียไพ่ตายใบสุดท้ายไปแล้ว อาคารมากมายถล่มลงอย่างต่อเนื่องทำให้สถานการณ์ของฝ่ายเผ่าวิญญาณเริ่มเข้าสู่วิกฤตทีละน้อย
แต่กระนั้นทั้งซูเฉินและตานปาก็ยังไม่ลดละ
ทั้งคู่เชื่อว่าเผ่าวิญญาณที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานนับหลายหมื่นปีนั้นจะต้องมีเคล็ดวิชาในการสังหารซ่อนไว้และยังไม่ได้นำออกมาใช้อีกแน่
และสิ่งนั้นก็จะเป็นไม้ตายสังหารของพวกเขา
เมื่อเสียงคำรามที่ยิ่งใหญ่ดังขึ้นไกลออกไป ซูเฉินกับตานปาก็พลันผ่อนคลายจากความตึงเครียดลงได้บ้าง
เทพอสูรนั่นเอง!
เทพอสูรที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามปรากฏกายขึ้นในที่สุด
ซูเฉินกับตานปาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
การปรากฏกายของเทพอสูรบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าเผ่าวิญญาณกำลังใช้ทางเลือกสุดท้ายของตัวเองแล้ว
ทว่าในไม่ช้า ทั้งซูเฉินและตานปาก็พบว่าการคำนวณของพวกตนนั้นพลาดไป
เพราะเทพอสูรที่ปรากฏนั้นมีถึงสองตนด้วยกัน!!!