บทที่ 117 เทพอสูรประหลาด
เทพอสูรทั้งสองมีรูปร่างเหมือนกันทุกประการ
ช่วงตัวนั้นมีลักษณะกลมเหมือนลูกบอล มีตาสองข้าง จมูก และปีกเพียงข้างเดียวเท่านั้น ที่ประหลาดก็คือปีกของเทพอสูรตนหนึ่งชี้ไปทางด้านซ้าย และปีกของเทพอสูรอีกตนนั้นชี้ไปทางด้านขวาของมันเอง นอกจากนั้นแล้ว หนึ่งในนั้นมีขาอยู่ที่ด้านหน้าสองข้าง และรูโบ๋ที่ด้านซ้ายของลำตัว ส่วนอีกตนหนึ่งมีขาสองข้างที่ด้านหลังและรูโบ๋ที่ด้านขวา ราวกับว่าทั้งสองร่างนั้นเป็นแฝดตัวติดที่ถูกแยกออกจากกัน…
เทพอสูรทั้งสองแตกต่างไปจากเทพอสูรทั่วไปเพราะร่างของพวกมันไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก อันที่จริงแล้วเรียกได้ว่าขนาดตัวของมันเทียบเท่ากับร่างกายมนุษย์โดยเฉลี่ยเลยด้วยซ้ำ
ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือพวกมันไม่ได้ใช้เท้าในการเดิน แต่กลับใช้ทั้งร่างกายเพื่อเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ รูโบ๋ ที่ลำตัวนั้นมีอากาศไหลผ่านเข้าไป เพื่อส่งให้ร่างกลม ๆ เคลื่อนไปข้างหน้าได้ราวกับลูกโป่ง นั่นแปลว่าเส้นทางในการเคลื่อนที่ของมันไม่แน่นอนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถเคลื่อนที่ไปทางด้านข้างได้อย่างปูเท่านั้น
ทว่าปูนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้สองทิศทาง แต่เทพอสูรตรงหน้านี้สามารถเคลื่อนไปได้ในทิศทางเดียว พวกมันจะขยับไปตามทิศทางของอากาศที่ไหลเข้าไปในรูเพียงหนึ่งเดียวบนร่างกาย
แปลว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้จะไม่สามารถกลับหลังหันได้โดยที่ไม่เคลื่อนไปข้างหน้า
หากพวกมันต้องการเคลื่อนถอยหลัง ก็จะต้องเริ่มจากการขยับไปด้านหน้าก่อน จากนั้นจึงใช้อากาศที่ไหลเข้าไปเพื่อกลับตัว
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตพบเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดมาแล้วมากมายหลายรูปแบบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าที่ประหลาดได้ถึงเพียงนี้ แถมพวกมันยังมีกันถึงสองตัวอีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะรังสีพลังอันแข็งแกร่งและแรงกดดันที่ถูกส่งออกมาจากร่างทั้งสองนั่นแล้ว คงไม่มีใครคิดแน่ว่าสิ่งมีชีวิตตัวกลมทั้งสองนี้จะเป็นเทพอสูร
“นั่นมันอะไรกันน่ะ” ตานปาประหลาดใจ
“ข้าก็ไม่รู้ เทพอสูรประหลาดมีอยู่มากมายเกินกว่าที่จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด” ซูเฉินตอบ
สีหน้าของทุกคนดูจริงจังขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพอสูรสองตนที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน
“เราจะจัดการกับพวกมันอย่างไรล่ะ” ตานปาค่อนข้างเป็นกังวล
“เราจะถอยทัพกันก่อน และจากนั้นพวกเราแต่ละฝ่ายก็จะจัดการกับพวกมันทีละตัว” ซูเฉินบอกแผนการที่คิด
“นั่นไม่ใช่วิธีที่จะได้ผลนักหรอกนะ”
“แต่มันก็นำมาใช้ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ในตอนนี้มากที่สุดแล้ว”
แม้ว่าการแยกกันรับมือกับเทพอสูรจะไม่ใช่ความคิดที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่สำหรับซูเฉินแล้ว วิธีนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว ถึงทั้งสองจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครที่ต้องการจะสละชีวิตทหารของตัวเองเพื่ออีกฝ่ายอย่างแน่นอน อันที่จริงแล้วทุกฝ่ายต่างอยากให้ ‘พันธมิตร’ ของตัวเองตายไปเสียมากกว่า
ในสถานการณ์เช่นนี้ที่จะต้องมีการสูญเสียอย่างแน่นอน และไม่ว่าฝ่ายใดก็ไม่สามารถเชื่อใจอีกฝ่ายได้นั้นช่างเป็นปัญหาใหญ่เหลือเกิน
ดังนั้นด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ แล้ว การแยกทัพกันจัดการกับเทพอสูรจึงเป็นแผนการที่เหมาะเจาะที่สุดแล้ว
ตานปารู้ดีว่าวิธีของซูเฉินมีเหตุผล แต่เขาก็ยังหวั่นใจอยู่ดี “ปัญหาก็คือ คนของท่านสามารถรับมือกับเทพอสูรนั่นได้ แต่คนของข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้น่ะสิ”
นิกายไร้ขอบเขตมีศิษย์ชั้นเลิศมาในการเดินทางครั้งนี้ด้วย ผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารจำนวนสามหมื่นคนนั้นมากเกินพอสำหรับการรับมือกับเทพอสูรหนึ่งคน แต่กองกำลังของเผ่าคนเถื่อนนั้นอ่อนแอกว่ามาก
ซูเฉินหัวเราะ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านไม่มีไพ่ตายอะไรซ่อนอยู่เลย เอามันออกมาใช้สิ ข้าสัญญาเลยว่าคราวนี้ข้าจะไม่ทำอะไรท่าน”
สัญญาอย่างนั้นหรือ? คำสัญญาจะไปมีค่าอะไรกัน
แต่หลังจากครุ่นคิดดูอีกครั้ง ตานปาก็ตกลงตามนั้น
เขาพยักหน้าให้กับลูกสมุนคนหนึ่ง ชายที่ดูธรรมดาคนนั้นพลันกลายร่างไป ร่างนั้นสูงชะลูดและไหล่กว้างขึ้นพร้อมกับรังสีของแม่ทัพเผ่าคนเถื่อนที่เปล่งออกมา
อ้ายฝูหลี่เก๋อซือ
อ้ายฝูหลี่เก๋อซือเป็นเทพแห่งสงครามผู้ประณามอานู๋ปี่ด้วยความเกรี้ยวกราดที่บนเวทีประลองเมื่อหลายปีก่อน
อ้ายฝูหลี่เก๋อซือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในทัพกบฏของตานปาที่ต่อต้านอานู๋ปี่ และการต่อสู้เพื่ออำนาจหลังจากนั้น การลอบกัดในโค้งสุดท้ายของเขาทำให้ชนเผ่าเพลิงล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์
จากนั้นเป็นต้นมา ‘วัชพืช’ ครึ่งพรายครึ่งคนเถื่อนผู้นี้ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้กับทั้งชนเผ่าเพลิงตลอดมา อ้ายฝูหลี่เก๋อซือจึงหายตัวไปไม่นานหลังจากเหตุการณ์ในคราวนั้น บางคนก็ว่าตานปาได้ตัดสะพานให้ขาดสะบั้นลงแล้วหลังจากข้ามมาได้ และสังหารอ้ายฝูหลี่เก๋อซือเป็นที่เรียบร้อย หลายคนก็สรุปเอาว่าอ้ายฝูหลี่เก๋อซือได้เนรเทศตัวเองออกไปเพราะความรู้สึกผิดต่อชาวเผ่าเพลิง
แต่ตอนนี้เขากลับมาปรากฏกายอีกครั้งแล้ว
ทันทีที่เทพแห่งสงครามผู้นี้เผยตัวขึ้น เขาก็หยิบเอาสิ่งของอย่างหนึ่งออกมาและเป่าใส่มัน แม้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง… แต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ เปล่งออกมาจากของสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย
ซูเฉินมีความคิดมากมายต่อเรื่องนี้ แต่ตานปาได้อธิบายกับเขาว่า “ข้ามีกองทหารอีกกองหนึ่งอยู่ไม่ไกล แต่ก็จะต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าที่พวกนั้นจะเดินทางมาถึง กองทหารของข้าไม่สามารถมาได้ทันทีหรอก”
“เข้าใจแล้ว เฉ่าเซวียน พาผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารห้าพันคนไปและช่วยพวกนั้นยื้อเวลาเอาไว้อีกสักหน่อย” ซูเฉินกล่าว
“รับทราบ!” หลินเฉ่าเซวียนมุ่งหน้าออกไปพร้อมกับผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารที่เรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบจำนวนห้าพันคน ทั้งหมดเหาะตรงไปเพื่อเสริมกำลังให้กับทัพของตานปาโดยไม่รอช้า
เทพอสูรทั้งสองได้เข้าประชิดแล้ว ณ เวลานี้
เส้นทางการเคลื่อนที่ของพวกมันค่อนข้างจะส่งเดชและดูคดเคี้ยวไปมาทั่วทุกทิศทาง ใช่แล้ว… เทพอสูรหน้าตาประหลาดนี้ไม่สามารถบินเป็นเส้นตรงได้และดูเหมือนว่าจะกระเด้งไปมาอย่างไร้ทิศทางด้วยซ้ำ แต่แม้จะมองดูแล้วเป็นเช่นนั้น พวกมันก็ยังเดินทางมาถึงยังสมรภูมิรบได้ อีกทั้งทิศทางของมันก็ยังมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายอีกด้วย
จากที่ซูเฉินกับตานปาได้เห็นมาจนถึงตอนนี้ ทั้งคู่รู้แล้วว่าเทพอสูรทั้งสองไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษใด ๆ นอกจากดูหนักแน่นมั่นคงเป็นพิเศษเท่านั้น
ร่างกายของพวกมันคงทนอย่างน่าเหลือเชื่อ
สิ่งใดก็ตามที่โชคร้ายมาอยู่ในเส้นทางการเคลื่อนที่ของมันก็จะถูกบดขยี้จนแหลกสลายไปในพริบตา
อาคารทั้งหลายของอาณาจักรหมองหม่นก็เช่นกัน เทพอสูรทั้งสองกลิ้งทับสิ่งก่อสร้างไปแทบจะทั่วทั้งเมือง หากชาวเผ่าวิญญาณออกคำสั่ง… พวกมันก็คงไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ เมื่อร่างนั้นสัมผัสกับอาคาร มันก็ถล่มลงแทบจะในทันที ในขณะที่อาคารที่มีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งพอจะต้านทานกับการโจมตีมากมายได้นั้นก็จะยื้อเวลาออกไปได้อีกหน่อย
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย อย่างไรแล้วพวกมันก็เป็นเทพอสูรโดยแท้ คางคกพันพิษก็ยังสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเมืองล่องนภามาแล้วด้วยการใช้ร่างของมันปะทะกับทั้งเมือง
เทพอสูรทั้งสองยังมีความสามารถอีกหนึ่งอย่างนอกเหนือไปจากร่างกายที่คงทน ซึ่งก็คืออากาศที่ถูกพ่นออกมาจากร่างของมันนั่นเอง
แม้ว่าอากาศนั้นจะดูเหมือนมีหน้าที่หลักเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยในการเคลื่อนที่เท่านั้น แต่เมื่อมวลอากาศนี้เดินทางไปถึงในระยะทางหนึ่งแล้ว มันก็จะกลายสภาพเป็นพายุหมุนที่รุนแรง และทำลายทุกสิ่งในบริเวณโดยรอบไปในพริบตา
เทพอสูรที่เบื้องหน้าในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นพายุหมุนขนาดย่อมที่พัดทำลายไม่เว้นทุกอย่างที่ขวางหน้า
อาคารมากมายค่อย ๆ ถล่มลงไปด้วยพลังที่ไร้เทียมทานของอสูรร้าย!
ยังไม่ทันที่เทพอสูรจะได้สร้างความเสียหายใด ๆ ให้กับทัพร่วมทั้งสองที่รุกรานเข้ามา อาณาจักรหมองหม่นก็แตกสลายเสียก่อนแล้ว
แต่เผ่าวิญญาณก็ดูเหมือนว่าจะคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วไม่ได้ต้านทานหรือตอบโต้ แม้ว่าอาคารทั้งหลายจะเสียหายมากเพียงไรก็ตาม
เทพอสูรทำลายอุปสรรคที่ขวางหน้ามันทุกอย่างและมุ่งหน้าไปอย่างไม่สนทิศทางราวกับลูกโป่งที่มีอากาศปล่อยออกมาได้อย่างไม่จำกัด พวกมันออกไปจากบริเวณหลังจากทำลายอาคารไปแล้วนับพันแห่ง ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยทหารฝ่ายตรงข้ามอยู่เล็กน้อยด้วยเหมือนกัน
แต่กระนั้นทัพร่วมทั้งสองก็ไม่มีเวลาที่จะมายินดีกับความเสียหายของอาณาจักรหมองหม่น
เพราะเทพอสูรในตอนนี้กำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขาแล้ว
ไม่ว่าเส้นทางการเคลื่อนที่ของมันจะส่งเดชเพียงไร แต่สุดท้ายแล้วทั้งสองร่างนั้นก็ตรงเข้ามาหาพวกเขาอยู่ดี
“ทุกคนถอยทัพ!” หลี่ฉงซานส่งเสียงร้องขึ้นเหนือสมรภูมิ
“ถอยทัพ! ถอยทัพเดี๋ยวนี้!!” เผ่าคนเถื่อนร้องขึ้นตามมา
ทั้งสองทัพพากันถอยพร้อมกับแยกจากกันไปคนละทาง
เหล่าทหารไม่ได้กำลังถอยไปเพื่อหนี แต่พวกเขากำลังปรับเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อให้มีพื้นที่ในการต่อสู้มากขึ้น
และก็เป็นอย่างที่คาดจริง ๆ… เทพอสูรทั้งสองแยกตัวออกจากกันตามไปด้วย การเคลื่อนที่ของมันดูไร้ทิศทางและต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่จะบอกได้ว่าร่างกลมได้แยกออกจากกันแล้วจริง ๆ
นั่นแปลว่า หากเทพอสูรพวกนี้ไม่ได้มีความสามารถอื่นใดซ่อนอยู่อีก ความเร็วในการเคลื่อนไหวก็ถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของมัน
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าในทางทฤษฎีแล้ว พวกเขาสามารถสังหารอสูรนี่ได้
“ไปเลย ดาบบิน!”
สิ้นคำสั่งของหลี่ฉงซาน ดาบบินหลายหมื่นเล่มก็ทะยานออกไปราวกับห่าฝนที่โหมกระหน่ำเข้าใส่ร่างของเทพอสูร
การโจมตีเช่นนี้อาจทรงพลังมากพอที่จะสังหารจักรพรรดิอสูรได้ในทันที แต่หลี่ฉงซานก็ฉลาดพอที่จะไม่คิดว่าดาบของเขาจะส่งผลเช่นเดียวกันกับเทพอสูร จุดประสงค์ในการโจมตีนี้ก็เพื่อที่จะสร้างบาดแผลขนาดเล็กจำนวนมากให้สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ บนร่างนั้นจนจบลงที่การตายโดยไม่สามารถทนพิษบาดแผลได้นั่นเอง
ทว่าในไม่ช้าเหล่าทหารก็พบว่าดาบของเขาไม่สามารถสร้างได้แม้กระทั่งรอยบาดเล็ก ๆ บนผิวหนังของเทพอสูรด้วยซ้ำ
ดาบหลายหมื่นเล่มนั้นไม่สามารถทะลวงผ่านเกราะป้องกันของมันไปได้!
การจู่โจมด้วยดาบนี้ก็ไม่ได้เป็นการโจมตีด้วยพลังด่านสู่พิสดารที่ธรรมดา ๆ เลยด้วยซ้ำ พลังของดาบทุกเล่มเพิ่มขึ้นมากจากค่ายกลที่ศิษย์ทั้งหลายเรียงแถวกันเข้าไป ดาบเหล่านั้นจึงอัดแน่นไปด้วยพลังของทหารทุกชีวิต ซึ่งถือเป็นวิธีการเปลี่ยนจำนวนคนที่มากให้เกิดเป็นคุณภาพได้อย่างดี
แม้พลังจะรุนแรงถึงเพียงนั้น แต่เทพอสูรกลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
หลี่ฉงซานและทุกคนต่างประหลาดใจ
หลี่ฉงซานร้องขึ้น “พลังสามสิบเท่า อีกครั้ง!”
โดยปกติแล้ว ดาบที่ทรงพลังนี้แกร่งกว่าดาบทั่วไปมากถึงสิบเท่า ดังนั้นพลังถึงสามสิบเท่าจึงถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และนั่นทำให้ต้องใช้พลังต้นกำเนิดมากขึ้นไปด้วย
แต่หากการโจมตีที่รุนแรงน้อยที่สุดก็ยังไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับศัตรูได้ ดังนั้นการผลาญพลังก็ไม่ได้จำเป็นเลยสักนิด
แสงดาบพุ่งเข้าใส่ร่างเทพอสูรอีกครั้งด้วยพลังที่รุนแรงกว่าเดิมถึงสามสิบเท่า
เมื่อแสงนั้นจางหายไป หลี่ฉงซานก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าผิวของเทพอสูรที่โจมตีนั้น ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
หนังหนาของเทพอสูรนี่ทนทายาดทีเดียว!
แม้ว่าหลี่ฉงซานจะรู้ว่าเทพอสูรเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีเทพอสูรที่ทนมือทนไม้ถึงเพียงนี้อยู่ด้วย
เทพอสูรโดยมากนั้นพึ่งพาพลังชีวิตจำนวนมหาศาลของมันเพื่อคงอยู่และฟื้นฟูบาดแผล อย่างคางคกพันพิษนั้นก็มีขนาดใหญ่มากจนลูกปืนจากปืนใหญ่ทลายสุริยันทำได้เพียงสร้างบาดแผลเล็ก ๆ ให้กับมันเท่านั้น
ถึงอย่างนั้น แม้แต่ดาบที่ทรงพลังกว่าดาบทั่วไปสิบเท่าก็ยังสามารถทำให้มันบาดเจ็บได้ เพราะฉะนั้นดาบที่แกร่งกว่าถึงสามสิบเท่าก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ทว่าเมื่อต้องต่อกรกับเทพอสูรประหลาดนี้ ดาบที่มีพลังมากกว่าถึงสามสิบเท่ากลับยังไม่เพียงพอ!
เทพอสูรตนนี้ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาญยิ่งนักในการป้องกันตัว
“แปดสิบเท่า!” หลี่ฉงซานตะโกน
พลดาบหนึ่งหมื่นชีวิตยกมือขึ้นก่อนจะฟันดาบในมือลงพร้อมกันอีกครั้ง ทว่าในคราวนี้จำนวนของแสงดาบที่ถูกส่งออกไปกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถโจมตีด้วยพลังระดับนั้นได้ ดังนั้นจำนวนดาบจึงลดลงจากหนึ่งหมื่นเหลือเพียงหนึ่งพัน เพื่อเป็นการทดแทนพลังของดาบที่ลดลง นี่คือวิธีที่พวกเขาใช้ในการปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งนั่นเอง
ดาบพันเล่มนั้นก็ถือเป็นจำนวนที่มากพอควรเช่นกัน
แต่กระนั้นเทพอสูรที่ทะลวงผ่านคมดาบที่โหมกระหน่ำเข้าใส่มันกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
เหล่าทหารเห็นดังนั้นก็แทบจะเสียสติให้ได้
เป็นไปได้อย่างไรกัน
หลี่ฉงซานกัดฟันกรอด “สามร้อยเท่า!”
ด้วยระดับของพลังที่สูงเช่นนี้ แสงดาบที่ถูกส่งออกไปจึงมีจำนวนเหลือเพียงหนึ่งร้อยเท่านั้น
อันที่จริงแล้วพลังในดาบแต่ละเล่มที่ถูกดันขึ้นจนถึงระดับนั้นทำให้ความสามารถในการทำลายลดลง พลังสิบเท่าถูกปลดปล่อยออกมาโดยทหารหนึ่งหมื่นคนนั้นเทียบได้กับพลังทั้งหมดหนึ่งแสนหน่วย ส่วนพลังสามสิบเท่าที่ถูกปล่อยออกมาโดยทหารหนึ่งหมื่นคนนั้นก็เท่ากับพลังทั้งหมดสามแสนหน่วย แต่พลังแปดสิบเท่าที่ถูกปล่อยออกมาโดยทหารหนึ่งหมื่นคนนั้นเทียบเท่ากับพลังทั้งหมดเพียงแปดหมื่นหน่วยเท่านั้น
และพลังสามร้อยเท่าที่ถูกปลดปล่อยโดยทหารหนึ่งร้อยคน ก็เท่ากับพลังทั้งหมดเพียงสามหมื่นหน่วยเท่านั้น
กลยุทธ์ในการสละพลังมวลรวมเพื่อเพิ่มพลังของทหารบางส่วนนั้นจะถูกใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
อย่างไรแล้วการโจมตีที่สามารถทะลวงร่างของสิ่งมีชีวิตที่เบื้องหน้าได้เท่านั้นที่จะเกิดผล หากไม่สามารถสร้างความเสียหายใด ๆ ให้มันได้ ไม่ว่าจะโจมตีทั้งหมดกี่ครั้งก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ทุกคนสิ้นหวังเหลือเกิน
แม้เทพอสูรจะถูกโจมตีด้วยแสงดาบร้อยเล่มที่มีพลังถึงสามร้อยเท่า มันก็ยังมีสภาพสมบูรณ์ทุกประการ การเคลื่อนไหวของมันยังคงเป็นปกติดีและอสูรร้ายยังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ซูเฉินก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
การรวมพลังเพื่อโจมตีในครั้งนี้เทียบได้กับวิชาอาร์คาน่าในตำนาน แต่ชาวนิกายไร้ขอบเขตก็ยังไม่สามารถทำให้เทพอสูรสะท้านได้เลยด้วยซ้ำ
เทพอสูรร่างเล็กนี้ถือว่าทนทานอย่างน่าเหลือเชื่อทีเดียว